วันพฤหัสบดีที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 245

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 245 ยอมเจอพญายมราช , ไม่ยอมยุแหย่จักรพรรดิมาร (1)

ที่นี่เป็นเมืองเล็กๆแห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ตรงใจกลางอาณาจักรต้าฟง เฉกเช่นเมืองส่วนใหญ่ของต้าฟง ดินแดนแห่งนี้แห้งแล้งและเป็นสีเหลือง ตลอดปีเกิดพายุทรายโถมพัดจากทุกทิศทาง ทว่าหลายปีผ่านไปผู้คนจึงคุ้นชินกับมัน เมืองเล็กๆแห่งนี้นับว่าเล็กยิ่ง ผู้คนที่พักอาศัยมีอยู่เพียงนิดน้อย บ้านเรือนมีอยู่เพียงไม่กี่ร้อยหลังคาเรือน หากแท้จริงเนื่องจากเป็นที่ตั้งทำเลทอง ทุกวันจึงมีผู้คนสัญจรผ่าน ดังนั้น เมืองเล็กๆแห่งนี้จึงมีกิจการพักแรมที่รุ่งเรือง

นี่เป็นโรงเตี๊ยมชั้นเลิศสุดในเมืองเล็กๆที่กล่าว ยามนี้แม้เวลาเพียงใกล้เที่ยง แต่ที่นั่งก็เต็มไปด้วยผู้คน บ้างก็ดื่มกินบ้างก็เอ็ดตะโรหรือกระซิบกระซาบเสียงเบา ที่ตรงหน้าต่างของโรงเตี๊ยม มีคนนั่งอยู่ผู้หนึ่ง เขาใส่เสื้อคลุมสีเทาตัวใหญ่ สวมหมวกใบกว้างบังลงต่ำจนไม่อาจมองเห็นหน้าตาได้ถนัดด้วยถูกขอบหมวกบังอยู่ เขานั่งร่ำดื่มเพียงลำพัง ยามกระดกดื่มก็มิได้แหงนเงยศีรษะขึ้นมา ในสายตาของทุกผู้คนล้วนตัดสินว่าคนผู้นี้อย่างไรต้องไม่ใช่ธรรมดา ทั้งยังไม่มีผู้ใดกล้าลองดีทดสอบ เมื่อเสี่ยวเอ้อเข้าใกล้ยังรู้สึกแปลกพิกล พอวางอาหารและสุราลงเสร็จก็รีบออกห่างโดยไม่กล้าหยุดอยู่ ที่แห่งนี้มีคนหลากประเภทที่อาจปรากฎตัว ปกติแล้วย่อมไม่มีใครคิดวุ่นวายกับคนแปลกหน้า โดยเฉพาะกับคนประหลาดท่าทางแปลกๆ ในสมองย่อมสั่งการให้หลีกเว้นห่างไกล

“ได้ยินมาว่า สุสานบรรพชนแห่งอาณาจักรเทียนหลงถูกปล้นสะดม ไม่เหลือผู้คุ้มกันที่รอดชีวิตแม้สักคน และที่ยิ่งแปลกกว่านั้นก็คือ พวกปล้นสุสานพบเบาะแสจากแขนเสื้อชุดเหลืองของจักรพรรดิบรรพชน พวกมันค้นพบราชโองการลับที่บอกว่า ในกระบี่เหล็กที่จักรพรรดิบรรพชนทิ้งไว้มีแผนที่ของคลังสมบัติซ่อนอยู่ หากใครค้นพบสมบัติที่ซ่อนไว้จะร่ำรวยมหาศาลในชั่วข้ามคืน!” ที่เหนือโต๊ะสุราใกล้กับบุคคลลึกลับ มีคนผู้หนึ่งเสวนาอยู่กับอีกคนหนึ่ง น้ำเสียงไม่ดังหรือเบาเกินไป ทั้งไม่มีความคิดที่จะลดเสียงลง เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่เรื่องลับสลักสำคัญ

คนที่นั่งตรงข้ามสีหน้าไม่มีเปลี่ยน มันกล่าวด้วยอาการเมากรึ่ม “เรื่องนี้ล้วนรู้กันทั่ว ยามนี้ผู้ไม่ทราบเรื่องราวนับว่าน้อยนัก ทั้งจากอาการของราชตระกูลเทียนหลง นี่สมควรมิใช่เรื่องหลอกลวง หากแต่ไม่ทราบว่าเป็นขุมกำลังใดที่ปล้นสะดมสุสานจักรพรรดิบรรพชนแห่งเทียนหลงได้อย่างเงียบเชียบ ก่อนหน้านี้ไม่รู้มีกี่คนที่ใจกล้าลองดี หากสุดท้ายกลับต้องล้มเหลวย่อยยับด้วยน้ำมือผู้คุ้มกัน”

“ได้ยินว่าราชตระกูลเทียนหลงถูกบุกรุกอยู่หลายครั้ง ทั้งยังคล้ายจักรพรรดิแห่งเทียนหลงกำลังเสาะหากระบี่เหล็กเล่มนั้นด้วยเช่นกัน อาณาจักรเทียนหลงไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงเป็นพิเศษ แสดงให้เห็นว่ากระบี่เหล็กไม่ได้อยู่ในมือของราชตระกูล ตอนนี้จึงไม่ทราบว่าเป็นผู้ใดมีวาสนาประสบความร่ำรวยมหาศาลนั้น”

“ถึงแม้จะร่ำรวยเพียงใด หากอย่างไรก็มีชะตาที่ต้องจ่าย ตรงกันข้าม ที่ข้ากลับสนใจกว่าก็คือการโจรกรรมในอาณาจักรต้าฟงและคุยชุย ผ่านมาแล้วหกเดือนก็ยังไม่อาจตามของกลับคืน เรื่องนี้สำหรับอาณาจักรต้าฟงและคุยชุยนับว่าน่าขายหน้าอย่างยิ่ง”

“ได้ยินว่าตราหยกราชวงศ์ของทั้งสองอาณาจักรถูกขโมยไปด้วยฝีมือของสำนักมาร”

“ถูกต้อง สำนักมารเป็นขุมกำลังที่น่าสะพรึงอย่างยิ่ง ทั้งผู้คนยังตื่นกลัวและหวาดหวั่น ไม่ต้องกล่าวถึงว่าพวกมันมองราชองครักษ์แกร่งกล้าแห่งวังหลวงเหมือนมิใช่อันใด ตราหยกราชวงศ์ของแต่ละอาณาจักรถือได้ว่าสำคัญสูงสุด สถานที่เก็บรักษาย่อมถูกปิดงำเป็นความลับ กระนั้นยังกลับถูกลักไปอย่างเงียบงัน ไม่ทราบว่าพวกมันหาพบได้อย่างไร บางทีอาจเป็นอย่างข่าวลือที่ว่าพวกมันทรงอำนาจไร้สิ้นสุด ยอมท้าทายเหนือใต้ ยังดีกว่าท้าทายสำนักมาร ทั้งราชวงศ์และตระกูลชั้นสูงผู้สยบร้อยลี้ล้วนได้รับบทเรียนช้ำเลือด หากประมุขแห่งสำนักมารมีชื่อรู้จักกันในนาม ‘จักรพรรดิมาร’ ผู้มีตัวตนประดุจดั่งปีศาจ อา...พอพูดถึงขึ้นมาตัวข้าก็สั่นไปทั้งร่าง”

“....ข้าก็ด้วย ในอาณาจักรต้าฟงของพวกเรา เมื่อใครเอ่ยนามนี้ขึ้นมาทั่วร่างกายย่อมรู้สึกเย็นยะเยือก”

ประตูไม้ที่มิได้ลงกลอนของโรงเตี๊ยมถูกกระแทกเปิด เป็นชายหนุ่มใบหน้าขาวซีดสวมชุดคลุมขาวท่าทางก้าวร้าวเดินเข้ามา เบื้องหลังมีสองผู้คุ้มกันที่เอวคาดกระบี่คอยติดตาม ชายหนุ่มมีใบหน้าแสนโอหัง ราวกับมองผู้คนแค่สามส่วนด้วยหางตา หลังจากก้าวเข้ามา มันได้ยินคนทั้งสองคุยกันอย่างประจวบเหมาะ มันพ่นลมแค่นเสียงออกจมูกคราหนึ่ง “น่าหัวร่อ เพียงจักรพรรดิมารกระจอกงอกง่อยกลับทำให้พวกเจ้าหวาดกลัวได้ถึงเพียงนี้ ไม่กลัวกลายเป็นที่ขายหน้าหรือยังไง”

ด้วยวาจาถึงเพียงนี้ของมัน ทุกสรรพเสียงในโรงเตี๊ยมฉับพลันสงบเงียบลงทุกทิศ ทีละคนเริ่มส่งสายตามองตัวโง่เง่าไปทางมัน จากลักษณะและนิสัยของชายคนนี้ รวมถึงวาจาอวดโอ่น่าหัวร่อที่พ่นออกมา ทำให้ผู้คนพอจะคาดเดาได้ถนัดว่า มันย่อมเป็นนายน้อยแห่งตระกูลชั้นสูงสักตระกูล ยิ่งกว่านั้นมันอาศัยตระกูลคิดว่าตนสูงส่ง ไม่คิดเห็นหัวของผู้ใด มันย่อมเป็นพวกเหลวไหลไม่มีแก่นสาร

คนทั้งสองที่เพิ่งคุยกันตวัดสายตามองปราดหนึ่ง จากนั้นกล่าวเหยียดหยัน “ยอมท้าทายสำนักจักรพรรดิเหนือและใต้ ยังดีกว่าท้าทายสำนักมาร ยอมเจอพญายมราช ไม่ยอมยุแหย่จักรพรรดิมาร เจ้ายังเยาว์นักกลับกล้ากล่าววาจาอวดดี”

พบคนใช้น้ำเสียงแบบนี้กับมันโดยไม่คาดคิด ชายหนุ่มสีหน้าทะมึนลงและแค่นเสียงกล่าว “ในสายตาของนายน้อยผู้นี้ จักรพรรดิมารอะไรนั่นได้แสดงให้เห็นถึงความจริงสิ่งหนึ่ง คือมันเป็นหัวขโมยเล็กจ้อยมีสันดานไม่กล้าเปิดเผยตัวตน หากข้าได้พบเจอย่อมสังหารมันทิ้ง ที่พวกเจ้าสั่นกลัวเพราะเป็นตัวไร้ประโยชน์และขี้ขลาด”

สีหน้าของพวกเขาบังเกิดความแปรเปลี่ยนเล็กน้อย อีกคนหนึ่งถือจอกสุรารสเลิศ หรี่ตาลงและค่อยๆกล่าว “ชางกวนปิงฉวนช่างสั่งสอนบุตรชายได้ดีเสียจริง เล่าเรียนทักษะได้ไม่ถึงหนึ่งในสิบส่วน กลับอวดโอหังเกินฝีมือถึงสิบเท่า เจ้าถอนคำพูดผยองของตัวเองเสียดีกว่า จักรพรรดิมารมิใช่ตัวตนที่เจ้าสามารถยั่วยุได้ หากเรื่องของเจ้าในวันนี้ได้ยินไปถึงหูของจักรพรรดิมาร อย่าว่าแต่บิดาของเจ้าเลย ต่อให้ทั้งตระกูลชางกวนก็ไม่อาจรับประกันในตัวเจ้าได้ หากจักรพรรดิมารคิดสังหารเจ้า แม้ตระกูลของเจ้าก็ไม่กล้าแม้แต่จะผายลม” เขากล่าวเหยียดหยามและไม่สนใจมันอีก ดูจากกระบี่ที่มันพกมา เขาเดาได้ถูกต้องว่านี่คือคนของตระกูลชางกวน หนึ่งในห้าตระกูลใหญ่แห่งอาณาจักรต้าฟง คือบุตรชายคนโตนามว่าชางกวนอวิ๋น แต่น่าสมเพชที่มันเป็นเพียงขยะอันผู้คนดูหมิ่น ตอนนี้เขาไม่สนใจว่ามันจะตอบสนองอย่างไร

“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าบิดาของข้าคือชางกวนปิงฉวน?” ชายหนุ่มที่ชื่อชางกวนอวิ๋นท่าทางแปลกใจ

ทว่าสองคนนั้นไม่คิดสนใจมันอีก เมื่อคนที่มันคุยด้วยไม่แม้แต่จะปรายตามอง ชางกวนอวิ๋นมิใช่คนที่โง่เง่าเกินไป เมื่อเห็นคนทั้งสองยังคงแสดงท่าทีเช่นนี้กระทั่งหลังรู้สถานะของมัน มันจึงตระหนักได้ว่าสองบุคคลนี้มิใช่ธรรมดา มันแค่นเสียงเย็นชาและฝืนกดข่มโทสะ ตวัดสายตามองเข้าไปในโรงเตี๊ยม จากนั้นขมวดคิ้วมุ่นเป็นปม เห็นได้ชัดว่ากำลังระคายตากับความเรียบง่ายของที่นี่

มันมองไปที่หน้าต่างบานหนึ่ง เดินตรงเข้าไปเอาด้ามกระบี่กระแทกโต๊ะและกล่าว “ไอ้หนุ่ม ข้าอยากนั่งตรงนี้ เจ้าออกไปให้พ้นซะ”

บุรุษผู้นั่งอยู่ที่โต๊ะตัวนั้นคือบุคคลที่สวมเสื้อคลุมตัวใหญ่ หมวกใบกว้างที่สวมอยู่ไม่เปิดเผยใบหน้าอันลึกลับ เมื่อสิ้นเสียงของชางกวนอวิ๋น เขาก็ยังไม่แหงนเงยขึ้นมา สายตามิได้ปรายมอง เขายังคงร่ำดื่มกับตัวเอง ราวกับว่าไม่ได้ยินสิ่งที่มันพูดโดยสิ้นเชิง

เมื่อเสี่ยวเอ้อเห็นท่าไม่ดี จึงเร่งรีบก้าวเท้าเข้ามาแล้วกล่าว “นายน้อยท่านนี้ ในโรงเตี๊ยมยังมีโต๊ะเหลืออยู่อีกสองที่ ยังไงท่าน....”

“หุบปาก” ชางกวนอวิ๋นแค่นเสียง มันเพิ่งกดข่มโทสะมาจากคนทั้งสอง ยามนี้เมื่อสบโอกาสพบคนให้ระบายอารมณ์ มันจึงกล่าวด้วยเสียงทะมึน “หากเจ้าอยากเห็นโรงเตี๊ยมแหลกเป็นเศษ นายน้อยผู้นี้จะมอบให้อย่างสมเกียรติ เสี่ยวเอ้อเจ้าจะว่ายังไง ข้านายน้อยจะนั่งโต๊ะนี้ในวันนี้!”

เสี่ยวเอ้อรู้ดีว่าบุคคลแบบใดยุ่งได้และแบบใดไม่ควรยุ่ง มันไม่กล้าขัดขืนและแลมองคนลึกลับวับหนึ่ง เมื่อไม่กล้าเอ่ยคำวิงวอน ดังนั้นจึงกล่าวอย่างขลาดกลัว “หากนายน้อยกับลูกค้าท่านนี้จะเสวนากัน เช่นนั้นข้าก็ไม่ขอรบกวน” กล่าวจบมันรีบจ้ำเท้าออกห่างอย่างเร่งรีบ ด้วยไม่อยากถูกลากให้ข้องเกี่ยว ไหนเลยมันจะมองไม่ออกว่าคนผู้นี้กำลังจงใจหาเรื่อง

“เฮ้ย นายน้อยของข้าบอกให้เจ้าลุกออกไป เจ้าหูหนวกหรือยังไง!” ผู้ติดตามที่อยู่ด้านหลังของชางกวนอวิ๋นก้าวออกมาเอ็ดเสียงลั่น ตามด้วยใช้เท้าเตะกระแทกขาโต๊ะ

บุรุษลึกลับยังคงสงบนิ่งเหมือนไม่ได้ยิน ราวกับว่าพวกมันไม่มีตัวตน ทว่าการตอบสนองเช่นนี้ กลับทำให้ชางกวนอวิ๋นตื่นเต้นอยากระบายโทสะ มันกล่าวด้วยรอยยิ้มทะมึน “ไอ้หนุ่ม อย่าได้คิดมองข้ามหัวของนายน้อยผู้นี้ คนกระด้างขวัญกล้าเทียมฟ้าอย่างเจ้า จะต้องถูกทรมานทารุณเสียบ้าง จะได้เจียมตัวไม่กล้ากระทำผายลม วันนี้ตกถึงมือของข้านายน้อย นับว่าเจ้าถึงคราวเคราะห์แล้ว! ต้าเปา ถอดหมวกมันออก!”

คนที่ชื่อ “ต้าเปา” รับคำคราหนึ่ง จากนั้นสืบเท้าออกมาหนึ่งก้าว หมายคว้าหมวกใหญ่ที่ปิดบังใบหน้าของคนลึกลับ อย่างไรก็ตาม เพียงกำลังเหยียดยื่นมือออก ปากมันก็ตะเบ็งกรีดร้องโหยหวน คนทั่งร่างร่วงทรุดลงนั่งเป็นอัมพาตอยู่บนพื้น มือซ้ายกุมมือขวาที่เจ็บปวดชำแรกจนแทบชา มือขวาของมันมีเลือดออก ฝ่ามือมีตะเกียบเสียบไว้อยู่ ตะเกียบยาวปักลึกเข้าไปเกือบมิดด้าม ทว่ากลับไม่มีผู้ใดเห็นถนัดว่าตะเกียบนี้ออกมาตอนไหน และมันเสียบเข้าไปได้อย่างไร ราวกับมันพลันปรากฎออกมาจากอากาศว่าง

สายตาของผู้คนโดยรอบจับจ้องมายังทางนี้ มีเพียงบุรุษลึกลับที่ยังคงสงบเหมือนแต่ต้น ไม่มีการตอบสนองแม้แต่น้อย

ชางกวนอวิ๋นฉับพลันรู้สึกเย็นวาบไปทั่วร่าง มันอดไม่ได้นอกจากตัวสั่น จากนั้นมันดึงกระบี่หยกหลิววัตถุล้ำค่าสูงสุดของตระกูลออกมา แล้วเสือกส่งเข้าใส่บุรุษลึกลับ

ติ้ง....

กระบี่ที่แทงใส่ราวกับกระทบเหล็กกล้า ไม่ทราบว่ากี่เท่าของความแรงที่สะท้อนกลับ ทำให้ชางกวนอวิ๋นตะโกนร้องโหยหวน กระบี่หยกหลิวปลิวกระเด็นขึ้นสูง จากนั้นลอยตกลงพื้นห่างออกไปหลายเมตรเบื้องหลังมัน.... ในแววตาที่ตื่นตระหนกของผู้คน กระบี่เลื่องชื่อแห่งต้าฟงได้แตกออกเป็นชิ้นๆเมื่อกระทบถึงพื้น ทว่าที่ข้างเศษกระบี่ กลับมีตะเกียบสภาพสมบูรณ์ตกอยู่ข้างๆ

สายตาทั้งหมดตวัดกลับมาที่บุรุษลึกลับ แม้เขาไร้การเคลื่อนไหวตั้งแต่เริ่มจนจบ แต่ไม่มีผู้ใดสงสัยว่าเรื่องประหลาดครั้งนี้เป็นเขากระทำ ทำลายโลหะโดยใช้ไม้ ต้องมีอย่างน้อยพลังขอบเขตสวรรค์ถึงจะสามารถกระทำ.... บุรุษลึกลับที่พึ่งเผยเพียงเศษเสี้ยวของพลัง แท้จริงแล้วเขาจะน่ากลัวขนาดไหน

ชางกวนอวิ๋นมือสั่นด้วยกระบี่ถูกสะบัดออกรุนแรง โลหิตหลั่งไหลออกมาเป็นสาย มันพลันตระหนักรู้ตัวว่าได้ล่วงล้ำบุคคลที่ไม่ควรล่วงเกิน จากความเร็วที่ไม่มีผู้ใดมองทัน ทั้งยังหักมือและทำลายกระบี่หยกหลิวด้วยตะเกียบไม้ธรรมดา กระทั่งปู่ของมันที่แข็งแกร่งที่สุด นายหัวชราผู้นำแห่งตระกูลชางกวนก็ยังไม่อาจเป็นคู่มือของบุรุษผู้นี้



<<<PREV    .    NEXT>>>