วันเสาร์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 249

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 249 กลับบ้าน (1)

สามปีที่ไม่ได้พบหน้า ชายหนุ่มบนรถเข็นดูเติบโตขึ้นจากสามปีก่อน ให้ความรู้สึกที่เปลี่ยนไปอย่างมาก ตอนนั้นเขาดูลึกลับและแตกต่างจากคนอื่น ตอนนี้เขานำพาความรู้สึกอ่อนโยนราวกับสายลม ที่พัดเฉื่อยฉิวผ่านหมู่เมฆ ราวกับโลกนี้ไม่มีผู้ใดสั่นคลอนหัวใจเขาได้ แต่เขาก็ยังเป็นเขา เป็นคนที่ฉู่จิงเทียนรู้จักมานานกว่าสิบปี ทว่าในสามปีนี้หนิงเสวี่ยกลับไม่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย

หากพวกเขาไม่ได้เข้าเมืองเชียงหยุนก่อน ตอนนี้ฉู่จิงเทียนคงตะโกนร้องอย่างปิติ หากแต่ตอนนี้เขาเพิ่งตกใจกับข่าวการตาย ยิ่งกว่านั้นยังตายเมื่อสามปีก่อน ทุกคนต่างบอกว่าเย่หวูเฉินตกตายเป็นเสียงเดียวกัน เขายังโศกครวญและร่ำไห้ คนไม่คิดฝันว่าจะเจอเย่หวูเฉินในตอนนี้.... ฉู่จิงเทียนขยี้ตาซ้ำแล้วซ้ำอีก ตรวจสอบว่าตนเองไม่ได้ตาฝาด แอบหยิกเนื้อตัวเองอยู่หลายที จนกระทั่งเจ็บจี๊ดถึงเชื่อว่าตัวเองไม่ได้ฝันไป

เย่หวูเฉินยิ้มบางและกล่าว “พี่ใหญ่ฉู่ ไม่ได้พบเพียงสามปี หรือท่านจะจำข้ากับเสวี่ยเอ๋อร์ไม่ได้แล้ว?”

“เปล่าๆ” ฉู่จิงเทียนรีบโบกไม้โบกมือ เดินสองสามก้าวเพื่อตรวจสอบ “น้องเย่ เจ้ากับน้องหนิงเสวี่ยปรากฎตัวขึ้นที่นี่....เพื่อพบข้าอย่างนั้นเหรอ?”

เย่หวูเฉินประหลาดใจและกล่าวเรียบเรื่อย “ไม่ได้พบสามปี ท่านกลับเห็นข้าเป็นผีไปแล้วหรือ?”

“แต่เจ้ากับหนิงเสวี่ยตายแล้วนี่”

หนิงเสวี่ยยิ้มหวาน “พี่ต้าหนิว ท่านพี่กับข้ายังไม่ตายซะหน่อย!”

เย่หวูเฉินหัวเราะผสม “ท่านเห็นข้าตายกับตาหรือเปล่าล่ะ? หรือว่าเห็นศพของข้าแล้ว? ข้าจะตายจริงหรือไม่ ท่านเข้ามาดูใกล้ๆก็จะรู้เอง”

ฉู่จิงเทียนเดินหน้าเข้าไปอีก วางมือลงจับบนไหล่ของเย่หวูเฉิน ถึงตอนนี้เขาก็ยังคิดอยู่ว่าเย่หวูเฉินเป็นผีที่ปรากฎตัวขึ้นเพื่อพบเขาโดยเฉพาะ หลังชะงักไปครู่หนึ่ง เขาก็ตะโกนออกมาอย่างตื่นเต้นดีใจ “น้องเย่ เป็นเจ้าจริงๆเหรอ? เจ้ายังไม่ตาย? เจ้ากับหนิงเสวี่ยยังสบายดีใช่มั้ย? เจ้ารู้หรือเปล่า....ว่าข้ากับเจ้าหน้าน้ำแข็ง วันนี้ได้ยินมาว่าเจ้าตายไปแล้วเมื่อสามปีก่อน ข้าร้องไห้จนตาปูดตาบวม ที่แท้เจ้ากลับยังสบายดี นี่มันช่าง....ช่าง ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า....”

ฉู่จิงเทียนตื่นเต้น กล่าวคำติดขัด ในที่สุดก็หัวเราะร่าเบิกบานใจ เขายังยิ้มและกล่าวพึมพำ “เจ้าไม่เป็นอะไร ช่างดีจริงๆ....”

ความดีใจที่ฉู่จิงเทียนแสดงออกมาห่ามๆทำให้เย่หวูเฉินรู้สึกอบอุ่นหัวใจ เขาเผยรอยยิ้มบางและกล่าว “ถึงแม้ข้าจะยังไม่ตาย แต่ในสายตาของบุคคลอื่น ข้านั้นได้ตายไปแล้ว”

“เกิดเรื่องอะไรขึ้น?” ฉู่จิงเทียนหยุดหัวเราะ หากสีหน้ายังเผยความดีใจโดยไม่อาจปิด เขาถามด้วยความใคร่รู้สุดแสน “พวกเราไถ่ถามมาหลายคน ทุกคนล้วนบอกว่าเจ้าตายในอาณาจักรต้าฟงเมื่อสามปีก่อน ถูกบีบคั้นพร้อมกับหนิงเสวี่ยให้.... ที่หุบเหวปลิดวิญญาณ”

“ถูกต้อง พวกเรากระโดดลงไป ข้ามผ่านแดนยมบาลในที่นั่น ตอนนี้ ข้ากำลังจะกลับบ้าน” เย่หวูเฉินค่อยๆกล่าว ใบหน้าไร้ระลอกอารมณ์ใดเป็นพิเศษ ราวกับกำลังพูดเรื่องธรรมดาของคนอื่น

“อย่างนั้นก็แปลว่า เจ้าถูกบีบคั้นให้ตกตายเหมือนที่คนอื่นเขาพูดกันจริงๆ แต่ว่าเจ้ากลับออกมาได้แล้ว?” ฉู่จิงเทียนเปลี่ยนมาใช้ความคิด ทันใดนั้นเขากล่าวอย่างแตกตื่น “เจ้าต้องพึ่งกลับออกมาจากที่นั่น ไม่อย่างนั้นด้วยชื่อเสียงของเจ้าแล้ว หากคนอื่นรู้ว่าเจ้ายังมีชีวิตอยู่ ข่าวนี้ย่อมแพร่สะพัดไปทั่วแล้ว”

เย่หวูเฉินมองด้วยรอยยิ้ม “จะว่าแบบนั้นก็ได้ เพราะนับแต่ที่ข้ากับเสวี่ยเอ๋อร์ตกลงสู่หุบเหวปลิดวิญญาณ ท่านคือบุคคลแรกที่เห็น ‘ข้า’ ”

“คนแรก?” ฉู่จิงเทียนจ้องตากว้าง เกาศีรษะแกรกๆและกล่าว “น้องเย่ เจ้าคงไม่ใช่เพียงแค่เพิ่งออกมาแล้วมาเจอพวกเราที่นี่ใช่ไหม? เจ้าสมควรรู้อยู่แล้วว่าพวกเราจากท่านปู่มา ถึงได้มารอพบพวกเราอยู่ที่นี่?”

เย่หวูเฉินหัวเราะ “พี่ใหญ่ฉู่ ท่านไม่คิดบ้างหรือว่านี่เป็นชะตาฟ้าลิขิตของพวกเรา?”

ฉู่จิงเทียนหัวเราะร่วม “เอาเถอะๆ เจ้ากับน้องหนิงเสวี่ยปลอดภัยก็ดีแล้ว เรื่องอื่นจะเป็นมายังไง ข้าไม่สนใจ” คิ้วของฉู่จิงเทียนขมวด เขาพลันเอ่ยด้วยความสงสัย “ร่างกายของเจ้า?”

เย่หวูเฉินยิ้มและส่ายศีรษะ หากไม่ได้กล่าวคำใด ฉู่จิงเทียนมุ่นคิ้วขึ้นอีก สืบเท้าไปก้าวหนึ่ง วางฝ่ามือไว้เหนือทรวงอก ภายใต้พลังที่แผ่สำรวจ สีหน้าเขาพลันแปรเปลี่ยน เขาถอนมือกลับและกล่าวด้วยความตกใจ “ร่างกายของเจ้ากลับว่างเปล่า หรือว่าพลังทั้งหมดของเจ้า.... ไม่แปลกใจเลยที่เจ้าต้องนั่งอยู่บนนี้”

“ไม่ใช่เรื่องสำคัญ ตราบใดที่รักษาชีวิตเอาไว้ได้ ข้าก็พอใจอย่างที่สุด และข้าเองก็ไม่ได้ต้องการสิ่งใดไปมากกว่านี้” เย่หวูเฉินยังคงกล่าวอย่างไม่ใส่ใจเหมือนเช่นเคย

ฉู่จิงเทียนฝืนพยักหน้า กล่าวคำขณะทุบอก สบถสาบานอย่างจริงจัง “อย่าห่วงเลย เจ้าวางใจได้ นับจากนี้เมื่อมีข้า ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครรังแกเจ้าได้อีก! ข้าต้าหนิว.... แค่ก แค่ก ข้าฉู่จิงเทียนไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไปแล้ว!”

เย่หวูเฉินยิ้มบาง หากยังพยักหน้าอยู่เล็กน้อย หนิงเสวี่ยเงยศีรษะขึ้นแช่มช้าและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ขอบคุณพี่ต้าหนิว ท่านยังใจดีเหมือนเมื่อก่อนเลย”

“ฮี่ ฮี่” ฉู่จิงเทียนหัวเราะโง่งมคราหนึ่ง จากนั้นเหลือบมองทงซินที่ไม่พูดจาแม้สักคำ เขาถาม “น้องหญิงคนนี้คือ?”

“นางเรียกว่าทงซิน เป็นพี่สาวของข้าเอง พี่ทงซินนี่คือพี่ต้าหนิว เขาเป็นคนดีมากๆเลยนะ” หนิงเสวี่ยกล่าวแนะนำ

ฉู่จิงเทียนรีบเอ่ยทักทาย “ยินดีที่ได้พบน้องหญิง เจ้าจะเรียกข้าว่าพี่ต้าหนิวอีกคนก็ได้”

ทงซินปราดตามองวับหนึ่ง ทันทีที่เห็นร่างของเขาก็ถอนสายตากลับมามองเย่หวูเฉินต่อ ในวันนั้น นางที่รอคอยจนใกล้สิ้นหวังจู่ๆก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของเย่หวูเฉิน นางพุ่งทะยานตรงไปทางนั้นพันลี้ด้วยความบ้าคลั่ง น้ำตาหลั่งไหลด้วยความดีใจและโทษตัวเอง นางบอกกับเขาด้วยสายตา....ว่าจะไม่แยกจากเขาอีกต่อไป

ฉู่จิงเทียนเห็นนางเมินเฉยไม่สนใจตน เขาจึงได้แต่หัวเราะโง่งมอีกครั้ง

เย่หวูเฉินมองไปยังอีกคนที่ยืนนิ่ง เขายิ้มกล่าวกับเล่งหยาผู้ไม่กล่าวคำ “สามปีที่ไม่ได้พบ เจ้าก็ยังเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน แต่จากที่ข้าเห็น เจ้าไม่ได้ทำให้ข้าผิดหวังจริงๆ”

มุมปากของเล่งหยาขยับเล็กน้อย หากยังไม่ส่งเสียงใด

“บิดาของเจ้า ฟงเฉาหยางตกตายใต้คมกระบี่ของข้า เจ้าเคียดแค้นข้าหรือไม่?” เย่หวูเฉินระงับสีหน้าแห่งความยินดี ถอนใจบางขณะถาม ในสถานการณ์ยามนั้น หากฟงเฉาหยางไม่ตกตาย ก็เป็นเขากับหนิงเสวี่ยที่ต้องตายแทน เพียงแต่ผลลัพธ์ในครั้งนั้น กลับพลิกผันความคาดหมายของผู้คน กลับเป็นฟงเฉาหยางที่ดับชีพแทน

บรรยากาศพลันเงียบสงัด ฉู่จิงเทียนที่อยู่ระหว่างกลางเหลียวซ้ายมองขวา สุดท้ายเขาฉลาดเลือกและไม่กล่าวคำใด สังหารบิดานับเป็นความแค้นสูงสุด เขาไม่อาจกล่าวปลอบเล่งหยา และไม่อาจปล่อยเล่งหยาทำร้ายเย่หวูเฉิน อย่างไรก็ตามสิ่งที่เขาอยากรู้อย่างยิ่งก็คือ เย่หวูเฉินใช้วิธีใดถึงเอาชนะฟงเฉาหยางได้ นั่นคือเทพสงคราม คือยอดฝีมือไร้ต้าน เป็นตัวตนระดับเดียวกับปู่ของเขาฉู่ชางหมิง

“เหตุใดข้าต้องแค้นเจ้าด้วย” เล่งหยาค่อยๆเดินเข้ามา หยุดยืนอยู่ข้างฉู่จิงเทียนตรงเบื้องหน้าของเย่หวูเฉิน “พวกเจ้าไม่ได้เป็นปรปักษ์ต่อกัน เขาต่อสู้เพราะคำสัญญา เจ้าต่อสู้เพื่อชีวิตตนเอง ทุกคนไม่มีผู้ใดผิด แต่ระหว่างพวกเจ้าจะต้องมีคนหนึ่งตกตาย....” เขาสูดหายใจเข้าลึก “ผลลัพธ์กลายเป็นเขาที่ตกตาย ข้าทำได้เพียงยอมรับเท่านั้น เจ้าปลิดชีพของเขา แต่ช่วยชีวิตข้าไว้ ฉะนั้นชีวิตข้าและบิดาจึงหักล้างกัน และนั่นย่อมคู่ควร! เพราะวันหนึ่งข้าจะต้องก้าวข้ามบุคคลผู้นี้!”

“หมายความว่า นับจากนี้พวกเราไม่มีสิ่งใดติดค้างต่อกัน?” เย่หวูเฉินถาม

“ไม่! ข้ายังคงติดค้างเจ้าอยู่.... ข้าติดค้างชีวิตของแม่ข้า รวมไปถึงดวงตาของนางด้วย” เล่งหยากล่าวด้วยความเย็นชา

เย่หวูเฉินปิดตาลงกึ่งหนึ่ง เขาส่ายศีรษะเบาๆ “ฝืนยืนกรานแม้กับตัวเอง ถึงภายนอกของเจ้าจะดูไม่แยแส แต่ภายในไขกระดูกกลับกล้าหาญ เป็นบุตรสืบทอดเชื้อสายวิญญูชนอย่างแท้จริง แต่เจ้ามั่นใจเพียงใด ว่าจะทนเผชิญหน้ากับศัตรูผู้สังหารบิดาของเจ้าได้?”

เล่งหยาสายตายังคงสงบนิ่งขณะกล่าว “เขาตายเพื่อสัญญาที่ให้ไว้ ไม่ใช่เพราะถูกกลอุบายหรือความอาฆาต เขาย่อมตายอย่างไร้ความเสียใจ เขาคือเทพสงคราม มีเกียรติภูมิแห่งเทพสงครามค้ำจุนอยู่ หากข้าแก้แค้นให้เขา มีแต่จะเหยียบย่ำความภาคภูมิของเทพสงคราม ข้าคือบุตรของเขา จึงไม่อาจทำลายเกียรติของเขาได้”

“พูดได้ดี พูดได้เยี่ยม เจ้าหน้าน้ำแข็ง เจ้าเองกลับมีด้านที่น่าชมอยู่ด้วยเช่นกัน” ฉู่จิงเทียนถอนหายใจโล่งอก หลังจากใจคอไม่ดีตอนนี้เขาเบาใจขึ้นมาก น้ำหนักที่กดทับอยู่ตอนนี้ถูกปลดออก

“เจ้าหน้าน้ำแข็ง?” เย่หวูเฉินรู้สึกทึ่ง อดไม่ได้ที่มุมปากจะเผยร่องรอยแห่งความสุข

เล่งหยาแค่นเสียงเย็น เบือนหน้าออกสบถเสียงต่ำ “เจ้าวัวหน้าโง่”

เย่หวูเฉิน “........”

คนทั้งห้าร่วมเดินทาง ค่อยๆมุ่งตรงไปยังเมืองฉางจิง หากผ่านเมืองฉางจิงไปแล้วก็จะถึงเมืองเทียนหลง ตลอดทางเย่หวูเฉินเล่าเรื่องเมื่อครั้งออกจากดินแดนถูกผนึก ถูกเข้าใจผิดว่าเป็นบุตรชายตระกูลเย่ ถูกอาณาจักรต้าฟงบีบคั้นให้กระโดดลงสู่หุบเหวปลิดวิญญาณ ฉู่จิงเทียนที่ฟังก็ตะโกนอย่างมีอารมณ์ ถัดจากนั้น ก็ถึงคราวของฉู่จิงเทียนเล่าเรื่องราวบ้าง ต้องอยู่กับเล่งหยาที่ไม่พูดจาจนได้ชื่อว่าเจ้าหน้าน้ำแข็ง เขาเล่าไปตื่นเต้นไป ทั้งยังบ่นรำพันถึงความลำบากให้เย่หวูเฉินฟัง ว่าต้องทนทุกข์ยากแค่ไหนตลอดสามปีที่ผ่านมา

เมืองเทียนหลง

วันนี้เมืองเทียนหลงวุ่นวายเป็นอย่างยิ่ง ฝูงชนเต็มไปทั่วท้องถนนในยามนี้ ผู้คนกระโดดโลดเต้นด้วยใบหน้าปิติยินดี บางแห่งกระทั่งขับร้องและเต้นรำ ราวกับว่ามีงานเฉลิมฉลองครั้งใหญ่ บางกลุ่มบนท้องถนนเตรียมดอกไม้และริ้วธง ผู้คนชะเง้อมองไปทางทิศตะวันตก รอคอยบางสิ่งด้วยความตื่นเต้นอยู่

วันนี้เป็นวันที่ขุนพลเว่ยหลงกลับมาพร้อมชัยชนะอีกครั้ง ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ขุนพลเว่ยหลงแทบจะเรียกว่าไร้พ่าย หลายครั้งที่รุกประชิดจนกองทัพต้าฟงถอยร่นไป ชื่อเสียงและเกียรติภูมิเด่นล้ำเป็นอันดับหนึ่ง ทุกผู้คนล้วนยอมรับว่าเขาไม่ด้อยไปกว่าเย่หนู่เมื่อครั้งอดีต

เพียงล่วงเข้าสู่ช่วงกลางวัน ประตูเมืองทางทิศตะวันตกก็เกิดเสียงเชียร์ดังกึกก้อง เหล่าทหารและม้าศึกขบวนใหญ่ค่อยๆเคลื่อนเข้ามา มีทหารม้านำหน้าคอยเปิดทาง ข้างถนนผู้คนในเมืองเทียนหลงเรียงรายต้อนรับนับไม่ถ้วน เย่เว่ยสวมใส่ชุดเกราะทอง ในมือถือคันทวนเล่มยาว ใบหน้าแสดงรอยยิ้มแก่ผู้คน กลีบดอกไม้หลากสีสันถูกโปรยพรม ผู้คนมากมายต่างตะโกนเรียกขานนามขุนพลเว่ยหลง



<<<PREV    .    NEXT>>>