วันศุกร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 246

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 246 ยอมเจอพญายมราช , ไม่ยอมยุแหย่จักรพรรดิมาร (2)

ชางกวนอวิ๋นขยับถอยไปก้าวหนึ่ง ในใจมันสั่นสะท้าน ละล่ำกล่าวคำด้วยความยากลำบาก “เจ้า....บังอาจกล้าทำร้ายนายน้อยผู้นี้ เจ้า....คอยดูก็แล้วกัน ทางการจะต้องไม่ปล่อยเจ้าเอาไว้แน่....”

เมื่อกล่าวคำขู่คุกคามเสร็จ มันหวาดกลัวและลังเลเท้า ยังไม่ทันหันกายและก้าวกลับไป กลับพลันพบว่าบุรุษลึกลับค่อยๆเงยศีรษะขึ้นมา บางทีเพราะสิ่งที่เขาทำนั้นทำให้ผู้คนหันมาจับจ้อง ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องปิดบังอีกต่อไป

ชั่วขณะที่เขาแหงนเงยศีรษะ โรงเตี๊ยมเล็กๆก็เงียบเสียงสงัดลงฉับพลัน มันเงียบอย่างน่ากลัว ดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยประกายลึกลับ ทั้งยังแปรเปลี่ยนเป็นน่าหวาดหวั่น

นี่ไม่ใช่ใบหน้า หากแต่เป็นหน้ากากเงินบริสุทธิ์ใบหนึ่ง มันปกปิดใบหน้าอย่างมิดชิด เผยออกมาเพียงดวงตาลึกล้ำดำทมิฬ แผ่รังสีเย็นเยียบทำให้ผู้คนแทบไม่อาจหายใจ

“จักร....จักรพรรดิมาร!” ในโรงเตี๊ยม บางผู้คนไม่อาจอดได้นอกจากปากสั่นกล่าวคำด้วยฟันกระทบกัน พวกเขาเริ่มไม่อยากเชื่อว่าตนเองกลับอยู่ใกล้จักรพรรดิมารแค่เพียงปลายจมูก

อากาศภายนอกฉับพลันกลายเป็นเย็นเยือก ราวกับสายลมจากขุมนรกเยือกแข็ง ที่โบกพัดร่างกายให้เยียบชา จนสั่นสะท้านไปทั้งสรรพางค์กาย หน้ากากเงินเป็นสัญลักษณ์แห่งมาร คือปีศาจน่าสะพรึงที่ทุกคนในอาณาจักรต้าฟงต้องสั่นกลัว เป็นตัวตนที่แกร่งกร้าว ลี้ลับ และโหดเหี้ยม ไม่มีผู้ใดกล้ายุแหย่ ไม่มีใครทราบว่าเขามาจากไหน ไม่ทราบว่าถัดจากนี้อีกสิบห้านาทีเขาจะไปปรากฎตัวขึ้นที่ใด ทั้งไม่มีใครทราบตัวตนแท้จริงของเขา

หมวกใบกว้างของบุรุษลึกลับร่วงหล่นอย่างสงบ เผยเส้นผมยาวงามอันดำขลับ ชุดคลุมผืนใหญ่ร่วงลงเช่นเดียวกัน เผยชุดสีเงินกระเพื่อมเป็นประกาย เขาหยัดยืนอย่างนิ่งงัน ดวงตาสองข้างทำให้ผู้คนไม่กล้าสบมองโดยตรง ยามนี้ชางกวนอวิ๋นมีสภาพหวาดหวั่นขวัญหาย

จักรพรรดิมาร จอมจักรพรรดิแห่งสำนักมาร

หน้ากากเงินและชุดคลุมสีเงิน ล้วนคือสัญลักษณ์ของจักรพรรดิมาร ไม่มีผู้ใดที่กล้าแอบอ้าง นามนี้สร้างความหวาดผวาไปทั่วทั้งทวีปเทียนเฉิน ครั้งหนึ่งไม่ทราบมีกี่คนที่ลอกเลียนการแต่งกาย บ้างเพื่อประจบ บ้างเพื่อแอบอ้าง บางคนทำด้วยหัวใจที่ยกย่องชื่นชม บางคนเพียงต้องการละเล่นขบขัน หากแต่ไม่ว่าผู้ใดมีจุดประสงค์แบบใด เมื่อใดที่ลอกเลียนการแต่งกายเหมือนจักรพรรดิมาร สวมใส่หน้ากากเงินและชุดสีเงิน จะมีวันหนึ่งที่ตกตายโดยไม่ทราบสาเหตุ ข้างศพจะถูกสลักไว้ด้วยสองคำว่า ‘สำนักมาร’ โดยไม่มีข้อยกเว้น ราวกับว่าสำนักมารอันลึกลับมีดวงตาอยู่ทุกแห่ง คอยจดจ้องทวีปเทียนเฉินอยู่ทั่วทุกซอกมุม ทุกการเคลื่อนไหวไม่มีสิ่งใดรอดพ้นสายตา ครั้งหนึ่งมีบางคนลอกเลียนจักรพรรดิมาร ด้วยหวังให้สำนักมารหรือจักรพรรดิมารมาหา เพียงเพื่อจะสืบค้นข้อมูลของพวกมัน ทว่าสุดท้าย คนเหล่านั้นก็ตกตาย ทั้งยังไม่มีผู้ใดเห็นเงาสำนักมารแม้แต่ครึ่งคน

ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ไม่มีใครกล้าแอบอ้างเป็นจักรพรรดิมารอีก ทั้งยังไร้ผู้ใดคิดกล้าผลิตหน้ากากหรือชุดเงินออกมาใช้ ผู้มีอาภรณ์สีเงินต่างพากันนำออกมาเผาทิ้ง สำนักมารปรากฎตัวเพียงช่วงเวลาไม่นาน แต่เงามหึมากลับปกคลุมทั่วทั้งทวีปเทียนเฉิน

ทันใดนั้น ไร้ผู้ใดที่กล้าเปิดปาก เสี่ยวเอ้อถือถาดอาหารสั่นกราวอยู่ในมือ แรงสั่นทำให้ถาดพร้อมร่วงตกสู่พื้นได้ตลอดเวลา

ชางกวนอวิ๋นเมื่อเห็นหน้ากากเงินก็หวาดกลัวจนร่างแข็งทื่อ เมื่อครู่มันพึ่งหมิ่นหยามจักรพรรดิมาร มันไม่คิดฝันเลยว่าจักรพรรดิมารกลับเป็นคนที่อยู่ตรงหน้า ไม่อย่างนั้น ต่อให้มันขวัญกล้ากว่านี้อีกพันหรือหมื่นเท่า มันก็ไม่กล้ากล่าววาจาเหมือนเมื่อครู่แม้แต่ครึ่งคำ

ถูกดวงตาแห่งจักรพรรดิมารกวาดสำรวจ มันอึดอัดแทบไม่อาจหายใจ ราวลำคอถูกบีบด้วยมือเปื้อนเลือด ความกลัวทะลักล้ำนำพาความรู้สึกสิ้นหวัง แม้มันจะโอหังเทียมฟ้า เที่ยวกร่างหยามหมิ่นไปทั่วแห่งหน แต่มันมิได้โง่เขลาขนาดไม่รู้ความว่าหากยั่วยุจักรพรรดิมารจะมีชะตากรรมอย่างไร เวลานี้ขาสองข้างของมันอ่อนเปลี้ย สติแตกกระเจิดกระเจิง ร่างกายสั่นเทิ้ม มันกลับยอมทำทุกอย่างเพื่อให้มีชีวิตรอด

“ละ....ละเว้นข้าเถอะ....ยกโทษให้ข้าด้วย....” มันวิงวอนอย่างขลาดเขลา วันนี้มันได้พบจักรพรรดิมารในตำนาน เพียงสายตาปราดหนึ่งของฝ่ายตรงข้าม มันก็พลันตระหนักรู้ว่าอะไรคือความกลัวสุดก้นบึ้งนรก

“ได้....ได้โปรด....ละเว้นข้าด้วย....ละเว้นข้าเถอะ....” ด้วยหวาดกลัวท่วมท้น วาจาที่กล่าวจึงติดขัด ลืมความเจ็บปวดที่มือสิ้น หากสองคนที่ติดตามกลับดวงตาเบิกกว้างด้วยความกลัว วาจาครึ่งคำก็มิกล้ากล่าว ราวกับกลัวเป็นการกระตุ้นปีศาจผู้สงบ ให้หันมาทารุณโลหิตทางตน ไม่เพียงแค่พวกมันเท่านั้น ทั้งโรงเตี๊ยมยามนี้ไร้ซึ่งเสียงใด ไม่มีใครกล้า “แตกตื่น” ไม่มีใครกล้าสอดมือเข้ายุ่ง ไม่มีใครกล้าส่งเสียงพูดคุย กระทั่งหนีออกไปยังไม่มีใครกล้าทำ

จักรพรรดิมารเป็นเพียงบุคคลผู้หนึ่ง ทว่าอาศัยเพียงแค่คำเล่าลือ คนหลายสิบที่พบเห็นเป็นครั้งแรกกลับไม่กล้าหายใจแรง ราวกับว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าจักรพรรดิมาร พวกเขาก็เป็นได้เพียงฝูงมดที่พร้อมถูกเหยียบย่ำได้ทุกเวลา

กลิ่นฉุนลอยกระทบจมูก ใต้ร่างของชางกวนอวิ๋นไม่ทราบมีแอ่งน้ำเจิ่งนองตั้งแต่เมื่อไหร่ นายน้อยตระกูลชางกวนผู้สูงส่ง กลับหวาดกลัวรุนแรงได้ถึงเพียงนี้

จักรพรรดิมารยังคงนิ่งเงียบ สายตามองมันอย่างสงบ โลกของชางกวนอวิ๋นเริ่มสั่นสะเทือน สติมันเริ่มพร่าเลือน สายตาไม่แยแสคู่นั้นราวกับขอบคมโลหิต ประดุจดั่งเข้าตัดร่างของชางกวนอวิ๋น เชือดเฉือนลำคอของมัน ตัดขั้วหัวใจอย่างโหดเหี้ยม แล้วตัดร่างมันออกเป็นชิ้น.... รูม่านตาของมันเบิกโพลง มันกระทั่งไม่มีเวลาส่งเสียงวิงวอน การหายใจทำได้ยากยิ่ง....

ตุบ....ร่างของมันกลายเป็นปวกเปียก กลิ่นอายหายไปสิ้น ฟองฟอดค่อยๆไหลฟูมออกจากมุมปาก ดวงตายังคงเบิกกว้าง แสดงให้เห็นชัดว่าก่อนที่มันจะตกตาย มันได้ประสบความกลัวล้ำลึกถึงเพียงใด

จักรพรรดิมารถอนสายตาออก ไม่ได้มองไปที่ผู้ใดอีก เขาสืบเท้าก้าวเดินช้าๆ ฝีเท้าที่เหยียบย่ำไร้สุ้มเสียงใด ราวกับเป็นภูติผีและปีศาจ เมื่อเขาเดินไปถึงประตู เงาร่างสีเทาก็หายไปจากโรงเตี๊ยมอันเย็นเยียบ ผู้คนด้านในยังไม่ฟื้นจากความตระหนกและหวาดกลัว เป็นเวลาเนิ่นนานที่ไม่มีผู้ใดส่งเสียง

เคร้ง.... ถาดในมือเสี่ยวเอ้อร่วงตกลงพื้นในที่สุด

ไร้สำเนียงและคำพูด ไร้การขยับเคลื่อนไหว มีเพียงผู้คนที่ยืนอยู่อย่างนิ่งงัน และร่างของนายน้อยผู้สูงส่งที่ขลาดกลัวจนตาย ทว่าไม่มีผู้ใดแปลกใจนัก เนื่องจากคนผู้นั้นคือจักรพรรดิมาร.... นับเป็นโชคดีที่ชางกวนอวิ๋นหวาดกลัวสายตาของจักรพรรดิมารจนดับดิ้นไปเอง มิใช่ตกตายด้วยมือ มันจึงยังคงเหลือสภาพศพครบถ้วน ไม่อย่างนั้นละก็....

จักรพรรดิมารมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกราวกับผีปีศาจ เห็นได้ชัดว่าเขาก้าวเท้าอย่างเชื่องช้า ทว่าหนึ่งฝีก้าวกลับเทียบเท่าสิบย่างก้าวของคนทั่วไป ความเร็วน่าตระหนกเหนือที่เปรียบ ที่ด้านนอกฝุ่นทรายสีเหลืองคละคลุ้งทุกแห่งหน ดวงตะวันแผดจ้าอยู่กลางฟ้า หากหน้ากากและชุดเงินกลับสะท้อนแสงตะวันออกมาอย่างเยียบเย็น สายลมโบกพัดรุนแรงทั่วทุกแห่ง แต่ฝุ่นทรายมิได้เปื้อนเส้นผมหรือชายผ้าแม้แต่น้อย

หลังผ่านพายุทรายมาหลายลูก เบื้องหลังจักรพรรดิมารมีเงาร่างสี่บุคคลไล่ตามมาถึงในที่สุด เมื่อคนทั้งสี่เห็นแผ่นหลังสีเงินของจักรพรรดิมาร อาศัยเพียงเห็นหนึ่งแผ่นหลังอันเดียวดายและเย็นเยียบ กลับทำให้พวกเขารู้สึกราวกับถูกขุนเขามหึมาสูงเสียดไม่เห็นยอดท่วมทับร่างกายและจิตใจ หัวใจพลันสั่นสะท้านล้ำลึก หวาดกลัวจนแทบจะล่าถอย

“พี่ใหญ่....จริงหรือที่พวกเราจะต้อง....” ในกลุ่มคนทั้งสี่ ชายกลางคนที่ดูเยาว์วัยสุดอายุราว 40 ปี กล่าวด้วยความสะท้านตื่นกลัว

ชายที่ดูสูงวัยที่สุดถอนหายใจ “ไม่มีทางเลือกแล้ว ในเมื่อพวกเราไล่ตามมาถึงที่นี่ ก็ไม่คิดที่จะมีชีวิตกลับไป ในเมื่อไม่กลัวความตายก็จงอย่าครั่นคร้ามสิ่งใด”

ความตาย.... ผู้คนมากมายอาจพูดพล่อยๆได้ว่าไม่กลัวตาย หากจะมีสักกี่คนที่กล้ากล่าวหลังจากได้เห็นจักรพรรดิมารสังหารผู้คน มีใครกล้ากล่าวบ้างว่าไม่กลัวตายด้วยน้ำมือจักรพรรดิมาร ชายกลางคนที่เยาว์วัยสุดอ้าปากจะกล่าวคำหากแต่ยังลังเล สุดท้ายเขาไม่ได้พูดสิ่งใด ในเมื่อไล่ตามมาจนถึงที่นี่และได้ตัดสินใจเลือกแล้ว ก็ไม่มีหนทางให้กลับตัวถอยหนี

“พวกเราล้มเหลวในการคุ้มกันนายน้อย ทำให้เขาตกตายด้วยน้ำมือของจักรพรรดิมาร หากตอนนั้นพวกเราไม่ปล่อยปละละเลย เขาย่อมไม่ก้าวล่วงจักรพรรดิมาร.... พวกเราไม่มีหน้ากลับไปพบกับนายหัวผู้นำตระกูล ความผิดพลาดในครั้งนี้ พวกเราจะต้องชำระล้างด้วยตนเอง ยามที่พวกเราสี่พี่น้องร่วมมือกันกระทั่งนายหัวตระกูลยังพ่ายแพ้ แม้จักรพรรดิมารจะแกร่งกล้า แม้ว่าพวกเราจะไม่อาจเอาชนะ แต่ก็ต้องทำให้เขาบาดเจ็บได้แน่.... นี่ย่อมนับเป็นเกียรติยศก่อนที่พวกเราจะตกตายแล้ว” เขาระบายลมหายใจยาวคราหนึ่ง “ลงมือ”

บุรุษกลางคนทั้งสี่ระงับความกลัวในจิตใจลงไปได้หลายส่วน พวกเขานำศาสตราประจำกายออกมา ตะโกนกู่ร้องคำหนึ่งขณะทะยานร่างเข้าจู่โจมจักรพรรดิมารอย่างพรักพร้อม สี่กระบี่สาดพลังล้ำลึกสี่สาย ตั้งฉากเล็งตรงไปที่แผ่นหลังของจักรพรรดิมาร

จักรพรรดิมารยังคงวิ่งไปเบื้องหน้าอย่างเชื่องช้า ราวกับว่าไม่อาจสัมผัสการโจมตีของพวกเขาที่เข้ามาใกล้ ยามปราณกระบี่แผ่พุ่งเข้ามาใกล้กาย มือของเขาก็เคลื่อนไหวในที่สุด เขาขยับมือเคลื่อนไปด้านหลังอย่างแช่มช้า....

ฟู่มม.....

วายุแกร่งกล้าม้วนขึ้นมาตรงเบื้องหลัง พลิกฝุ่นทรายกระจายว่อนทุกแห่งหน ปราณกระบี่สี่สายถูกทำลาย หายไปในวายุน่าหวาดหวั่นอย่างไร้ร่องรอย ในขณะเดียวกันนั้น คนทั้งสี่กำลังจะได้ประสบความตายด้วยน้ำมือจักรพรรดิมาร พวกเขาถูกมหันตภัยวายุไร้ต้านหมุนล้อม เสียงกรีดร้องทรมานค่อยๆหายไปในวายุหมุน

จักรพรรดิมารไม่หันศีรษะมามองแม้แต่น้อย เขามุ่งตรงไปอย่างเงียบงัน และหายไปในฝุ่นทรายสีเหลืองอันไร้เขตแดน

ไม่ทราบว่านานเท่าใด วายุหมุนจึงเริ่มอ่อนกำลังลง ละอองเลือดและเศษผ้าปลิวพรมไปในอากาศ ร่างของคนทั้งสี่แหลกเป็นเศษชิ้นในสายลม ไร้หนทางฟื้นฟู ไม่อาจมีใครจดจำพวกเขาได้ ยอดฝีมือสี่คนลั่นวาจาว่าจะทำให้จักรพรรดิมารบาดเจ็บ หากกลับต้องพบว่าตนเองต้องสำนึกเสียใจ เพราะแม้กระทั่งเพียงใบหน้าของจักรพรรดิมารยังไม่อาจได้เห็น

ใต้น้ำมือจักรพรรดิมารไม่อาจมีสภาพร่างครบถ้วน กระทั่งเศษศพยังไม่หลงเหลือ ผู้คนจำนวนมากมิได้กลัวความตาย หากแต่กลัวร่างของตนถูกแยกเป็นชิ้นๆ ยิ่งคิดยิ่งน่าสยดสยอง จะมีกี่คนที่ไม่กลัวจักรพรรดิมารจอมปีศาจ พลังกร้าวแกร่งมิใช่สิ่งที่ผู้คนหวาดกลัว หากแต่เป็นวิธีสังหารที่แม้แต่ภูติผีและเทวายังต้องสั่นสะท้าน



<<<PREV    .    NEXT>>>