วันศุกร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 247

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 247 ชุมนุมยุทธเวทย์แห่งเทียนเฉิน

เวลาเลื่อนไหลราวกับพัดผ่าน นับจากฤดูหนาวครั้งก่อนที่เย่หวูเฉินร่วงลงสู่หุบเหวปลิดวิญญาณ เวลาก็ผ่านไปเกือบจะครบสามปี

ทางทิศตะวันตกของอาณาจักรเทียนหลง ในดินแดนรกร้างเปล่าเปลี่ยว มีหญ้าวัชพืชขึ้นเต็ม ยากยิ่งที่จะพบเจอผู้คน ในเวลานี้เอง มีแนวขบวนขนาดใหญ่ ประกอบด้วยผู้คนจำนวนหมื่นหนึ่ง เหนือกลุ่มขบวนนั้น มีธงที่เขียนด้วยตัวอักษร “ชูเกอ” สะบัดโบกไว้

ในท่ามกลางขบวนทัพ ชูเกอหวูอี้มิได้แสดงสีหน้าโอ่อ่าวางอำนาจ เขาเพียงมองตรงไปยังเบื้องหน้า จนกระทั่งถึงปีนี้ จำนวนครั้งที่อาณาจักรต้าฟงจู่โจมยิ่งนานยิ่งน้อยลง ข่าวลือกล่าวว่ามีตัวตนลึกลับทรงพลังที่เรียกว่า “สำนักมาร” คอยรังควานพวกมันครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้พวกมันต้องคอยระวังป้องกันตัว แต่กระนั้นเขาก็ไม่อาจประมาทได้ เพื่อขับไล่กองทัพต้าฟงที่คอยก่อกวนหยั่งเชิงไม่รู้จักจบ เขาสวมชุดเกราะและมุ่งเข้าสู่สนามรบด้วยตัวเอง

หากกล่าวถึง “สำนักมาร” นามนี้ได้พลันปรากฎขึ้นเมื่อหนึ่งปีก่อน ใช้เวลาเพียงปีเดียวก็สร้างอิทธิพลฝังลึกในหัวใจผู้คน พลังเหนือล้ำของพวกมันทำให้ผู้คน “หวาดกลัว” จนถึงขั้นไม่อาจบรรยาย ขุมกำลังนี้ปรากฎขึ้นยามแรกในรูปแบบกลุ่มกอง คอยรับภารกิจสังหารพิเศษมากมายและค้าข้อมูล ภารกิจสังหารของพวกมันไม่มีครั้งใดที่ล้มเหลว กระทั่งข้อมูลที่พวกมันค้า หากมีปัญญาจ่ายตามราคาที่ตั้งไว้ ก็ไม่มีข้อมูลใดที่พวกมันไม่อาจหามา ทว่าภารกิจที่ทำให้สำนักมารกลายเป็นหนึ่งในตัวตนที่น่าหวาดหวั่นสูงสุด คือมันรับราคาสูงลิ่วเข้าล้างบางตระกูลหวงฟูแห่งอาณาจักรต้าฟง เพียงชั่วข้ามคืนมันได้สังหารตระกูลหวงฟูทั้งสูงชั้นและต่ำศักดิ์ ทั้งคนชราและเด็กทั้งหมดกว่า 300 ชีวิต ไม่มีผู้ใดเหลือรอดแม้สักคน

ตระกูลหวงฟูเป็นหนึ่งในห้าตระกูลเวทย์อันยิ่งใหญ่แห่งอาณาจักรต้าฟง ไม่ว่าจะเป็นยอดฝีมือหรืออิทธิพลของตระกูลล้วนแต่เลื่องชื่อลือชา ทว่าทั้งหมดกลับตกตายภายในคืนเดียว และที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้น ในคืนสังหารบริเวณโดยรอบกลับไม่มีผู้ใดได้ยินเสียงต่อสู้แม้แต่นิดเดียว อย่างไรก็ตาม เรื่องราวยังไม่จบลงเพียงเท่านั้น การสังหารผู้คนจำนวนมากย่อมต้องจ่ายราคาสูงลิ่วอย่างไม่ต้องสงสัย ทว่าผู้ที่จ้างวานสำนักมารให้สังหารตระกูลหวงฟู กลับเป็นตระกูลไป่ลี่หนึ่งในห้าตระกูลเวทย์แห่งต้าฟง พวกมันไม่คิดว่าสำนักมารจะทำภารกิจสังหารสะท้านฟ้านี้ได้สำเร็จ ดังนั้นจึงไม่อาจจ่ายค่าจ้างตามที่ได้ตกลงไว้ หลังจากนั้น ตระกูลไป่ลี่ถูกกวาดริบสมบัติภายในหนึ่งคืน คนในตระกูลกว่า 500 ชีวิตถูกสังหารจนหมดสิ้น

ตั้งแต่นั้น ทุกผู้คนในทวีปเทียนเฉินจึงได้รู้จักนามของสำนักมาร เมื่อไหร่ก็ตามที่กล่าวสองคำว่า สำนักมาร หัวใจผู้คนจะกลายเป็นเย็นเยียบ บางคนถึงกับกล่าวว่าสำนักมารทรงพลังทัดเทียมกับสำนักจักรพรรดิใต้และเหนือ ถึงแม้ไม่มีผู้ใดคิดว่าสำนักมารแข็งแกร่งกว่าสำนักจักรพรรดิใต้และเหนือ หากแต่ความน่ากลัวของพวกมันนั้นเหนือล้ำไปไกล อย่างน้อยสำนักจักรพรรดิใต้และเหนือก็ไม่เคยก้าวก่ายเรื่องราวมนุษย์โลก ไม่เคยล้างบางสังหารหรือยึดทรัพย์สินของตระกูลใด

มีบางแหล่งข่าวรายงานว่า ครั้งหนึ่งสำนักจักรพรรดิใต้และเหนือเคยตัดสินใจไล่ล่าคนของสำนักมารเพื่อสืบหาเบาะแส แต่ผลลัพท์กลับกลายเป็นคว้าน้ำเหลว สำนักมารตั้งอยู่ที่ใดหรือมีสมาชิกกี่คนล้วนไม่มีผู้ใดทราบ ไม่มีใครเคยเห็นสมาชิกของสำนักมารแม้สักคน เล่าลือกันว่า ผู้นำของสำนักมารมีเพียงหนึ่งนามคือ “จักรพรรดิมาร” ตัวตนประดุจปีศาจที่สร้างความหวาดผวาแก่ผู้คน เขาจะปรากฎตัวและหายไปในอาณาจักรต้าฟงเท่านั้น กล่าวกันว่าไม่ว่าที่ใดที่เขาปรากฎตัวขึ้น แม้แต่คนขวัญกล้ายังต้องสั่นสะท้านด้วยความกลัว

ผู้มีปัญญาย่อมมองออกว่าสำนักมารสมควรมีความคับแค้นต่ออาณาจักรต้าฟงอยู่ไม่น้อย ภารกิจสังหารมากมายล้วนแต่เกิดขึ้นในอาณาจักรต้าฟง อีกสามอาณาจักรที่เหลือสำนักมารไม่เคยกล้ำกราย ผู้ที่ถูกสังหารมีเพียงคนชั่วช้าที่อยู่ฝ่ายทรราชย์ กองร้อยเล็กๆของอาณาจักรต้าฟงที่ตั้งอยู่รอบนอกถูกสังหารอยู่บ่อยครั้ง และทุกครั้งที่ข้างศพจะถูกเขียนด้วยโลหิตแดงฉานขนาดใหญ่ว่า “สำนักมาร”

เมื่อกองทัพแห่งอาณาจักรต้าฟงเกิดความระส่ำ การเคลื่อนทัพจึงเกิดความสับสนและลังเล การรบพุ่งดุเดือดจึงเหือดหาย ทำให้การรุกรานอาณาจักรเทียนหลงหยุดชะงักชักช้าลง

ทว่าเหตุผลสำคัญคือสำนักจักรพรรดิใต้เมื่อสามปีก่อน อาณาจักรต้าฟงจึงไม่ได้เคลื่อนทัพขนาดใหญ่ ยามนี้เมื่อครบกำหนดสามปี พวกมันสมควรกรีฑาทัพมาในไม่ช้า 

“ท่านพ่อ ท่านกำลังคิดสิ่งใดอยู่?” ข้างกายของชูเกอหวูอี้ เป็นบุคคลสวมใส่ชุดเกราะหนัก กุมจับลำทวนเล่มยาว ร่างกายเพรียวบางเมื่อเทียบกับทหารทั่วไป น้ำเสียงที่กล่าวกดลงต่ำ แม้จะฟังดูหยาบกระด้าง ทว่ากลับผสมน้ำเสียงแหลมสูง ที่ฟังดูแล้วเหมือนกับเสียงสตรี

ในสามปีนี้นางได้เข้าสู่สนามรบเคียงข้างชูเกอหวูอี้ ที่คอยฝึกฝนชูเกอเสี่ยวหยูจากสงครามน้อยใหญ่ ปีนี้นางอายุครบ 20 ปี ทั้งลดความอวดดีและไร้เหตุผลลงไปหลายส่วน แทนที่ด้วยความเฉียบแหลม , สุขุม และภาคภูมิ จากเคยเอาแต่ใจเป็นสาวน้อยผู้ยิ่งใหญ่ในโลกหล้า หลังครั้งแรกที่ได้เห็นการต่อสู้ในสมรภูมิ ได้เห็นชีวิต ความตาย และโลหิตหลายต่อหลายครั้ง นางก็ค่อยๆเปลี่ยนไปเป็นคนละคน คันคิ้วโก่งงามดุจพระจันทร์เสี้ยว ดวงตาเป็นประกายดุจเพชร ริมฝีปากรูปกระจับแห้งผากอย่างเห็นได้ชัด เกราะหนักบนร่างอันบอบบางแทนที่จะดูไม่เข้ากัน มันกลับขับส่งสง่าราศีแห่งวีรสตรี

ในกองทัพไม่มีผู้ใดไม่รู้ว่านางคือผู้หญิง คือธิดาแห่งชูเกอหวูอี้ หากแต่ไร้ผู้ใดที่เอ่ยถึงมัน หลงหยินที่ทราบเรื่องก็ไม่เคยเอ่ยถึง เพราะความสามารถอันเด่นล้ำของนางในตลอดสามปี ทำให้ไม่มีผู้ใดอยากให้นางถอดเกราะและออกจากสนามรบในขณะที่ต้าฟงกำลังจะยกทัพมา

ชูเกอหวูอี้มองไปเบื้องหน้าและทอดถอนใจ “สามเดือนแล้วที่ไม่ได้กลับบ้าน มารดาเจ้าสมควรเป็นห่วงอย่างมาก ฮ่าย หากรู้ว่าจะมีวันนี้ บิดาจะไม่สั่งสอนหญิงสาวอย่างเจ้าให้ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องพรรค์นี้เลย” เขายิ้มขมขื่นขณะกล่าว “เพียงแต่ว่า ยามนี้บิดาไม่อาจขาดเจ้าได้แล้ว”

เมื่อได้ยินคำชื่นชมจากชูเกอหวูอี้ ชูเกอเสี่ยวหยูพลันร่าเริงและฉีกยิ้มกล่าว "ท่านจะกังวลไปไย? เมื่อท่านจบการรบครั้งนี้และขับไล่พวกมันออกไปแล้ว พวกเราก็จะได้กลับบ้านกัน ข้าจะได้ทานอาหารอร่อยๆให้อิ่มหนำ”

ชูเกอหวูอี้ลูบศีรษะนางด้วยรอยยิ้ม เขากล่าว “เจ้ามักผ่อนคลายสบายใจอยู่ตลอด ไม่รู้จักกับคำว่ากลัว ตราบใดที่ยังอยู่ในสนามรบ จะต้องใส่ใจอยู่ตลอดทุกเวลา การคำนวณผิดพลาดแม้เล็กน้อย ย่อมนำไปสู่อันตรายถึงชีวิต”

“เฮอะ! มีสิ่งใดต้องกลัวกับทัพต้าฟงขี้โม้พวกนั้น ก็แค่พวกธรรมดาที่วิ่งหนีเป็นพายุเมื่อถูกข้าทุบตีแต่ละครั้ง” ชูเกอเสี่ยวหยูกล่าวด้วยความมั่นอกมั่นใจ

ชูเกอหวูอี้ไม่ได้กล่าวขัด ชูเกอเสี่ยวหยูราวกับเกิดมาพร้อมสัมผัสการรบอันไร้ที่เปรียบ สามารถคิดแผนรับมือศัตรูอย่างเหมาะสมและรวดเร็ว ทั้งยังเต็มไปด้วยกลเม็ดเด็ดพราย ทุ่มโถมโจมตีโดยที่ศัตรูไม่ทันตั้งตัว

“ช้าก่อนท่านพ่อ!” ชูเกอเสี่ยวหยูร้องออกมากะทันหัน คิ้วขมวดมุ่นมองตรงไปเบื้องหน้า ชูเกอหวูอี้เมื่อได้ยินคำก็โบกมือขึ้นทันที “หยุดทัพ”

ขบวนทัพขนาดใหญ่หยุดเท้าในทันที ชูเกอหวูอี้เชื่อมั่นในตัวลูกสาวอย่างยิ่ง เขาเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “หยูเอ๋อร์ เจ้าพบสิ่งใด?”

ชูเกอเสี่ยวหยูมองสำรวจสถานการณ์โดยรอบ จากนั้นกล่าว “ให้พลธนูเคลื่อนไปอยู่เบื้องหน้า ตระเตรียมลูกธนูเพลิง ให้ทหารม้าติดตามระหว่างกลาง แบ่งทหารด้านหลัง 3,000 นาย ให้ขึ้นไปบนเนินเขาห่างออกไปสองลี้ ให้เร่งเคลื่อนทัพโดยไว ข้าจำได้ว่าที่ตรงนี้ในแผนที่คือตรอกทางแคบ”


ชูเกอหวูอี้พยักหน้า รอฟังนางอธิบายต่อ

ชูเกอเสี่ยวหยูชี้นิ้วไปเบื้องหน้าแล้วกล่าวอย่างจริงจัง “ถัดจากเนินเขาไป เบื้องหน้าหลายร้อยเมตรเป็นหญ้าแห้งทุกแห่ง ความสูงท่วมหัวของบุคคล สมควรมีแมลงฤดูใบไม้ร่วงอยู่นับไม่ถ้วน ทว่าเมื่อขบวนทัพของเราเคลื่อนมาถึงตรงนี้กลับไม่มีฝูงนกแตกตื่น ในป่าหญ้าแห้งจะต้องมีกองกำลังซุ่มซ่อนอยู่ อาศัยพงหญ้าคอยบดบังร่างกาย รอโจมตีพวกเราที่ไม่ทันตั้งตัว หากแต่ตำแหน่งของพวกมันกลับเป็นจุดอับถูกบดบัง พวกเราสามารถอาศัยตรอกอ้อมไปอยู่เบื้องหลังของพวกมัน จากนั้นเผาด้วยลูกธนูไฟ เมื่อพวกมันปั่นป่วนเสียรูปขบวน ก็ค่อยเข้าโจมตีพร้อมกัน การรบนี้หากไม่มีสิ่งใดผิดพลาด ก็ไร้สิ่งใดให้ต้องกังวล”

ชูเกอหวูอี้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นยิ้มและพยักหน้า “หนทางที่หยูเอ๋อร์แสดง เห็นทีพวกเราคงต้องเดินตาม เพราะเจ้ารู้ทุกสิ่งตั้งแต่เริ่มจนจบ”

“ท่านพ่อเคยสอนข้าไว้นานแล้ว ไม่ว่าบนสนามรบจะผันแปรไปอย่างไร แต่ภูมิประเทศนั้นไม่อาจเปลี่ยนแปลง สิ่งแรกที่ต้องเตรียมพร้อมคือทำความรู้จักภูมิประเทศให้ถ่องแท้ ดังนั้นทุกครั้งก่อนการออกรบ ข้าจะศึกษาแผนที่เป็นอย่างดี แต่ถึงแม้จะไม่มีข้า ท่านพ่อก็สมควรมองออกด้วยเช่นกัน ท่านรีบสั่งการเร็วเข้า”

ชูเกอหวูอี้หัวเราะ เขาคิดทบทวนอย่างรอบคอบ ก่อนจะหันกายและสั่งการ “ถ่ายทอดคำสั่ง....”

กองทัพเริ่มแปรรูปขบวนในทันที ด้านหน้าแทนที่ด้วยพลธนูกลุ่มใหญ่ ด้านหลังของทุกคนสะพายซองลูกธนู ในมือถือกำมะถันไว้จุดไฟ ทัพที่อยู่ด้านหลังเคลื่อนออกไปอย่างเงียบงัน

กองทหารเคลื่อนไปเบื้องหน้า บนเนินเขาเล็กๆที่สูงเพียงห้าเมตรกระจายเกลื่อนด้วยทหาร ชูเกอเสี่ยวหยูมุ่นคิ้วอีกครั้ง หากนางคาดการณ์ได้ถูกต้อง เบื้องหน้าสมควรมีกองกำลังซุ่มอยู่เพียงหนึ่งทัพ เวลานี้นางยกมือขึ้น ชูเกอหวูอี้ตะโกนสั่งการอย่างชัดคำ “พลธนูไฟเตรียมพร้อม ยิงได้!”

ลูกธนูถูกจุดติด จากนั้นปล่อยยิงออกไปอย่างรุนแรง ธนูเพลิงพุ่งโค้งข้ามเนินเขา มันลิ่วไปไกลและปักลงบนป่าหญ้าแห้ง ทันใดนั้นไฟลุกติดอย่างรวดเร็ว แผ่ลามเร็วด้วยสายลม เพลิงลุกโหมกระหน่ำในพริบตา

เสียงร้องโหยหวนของเหล่าเหยื่อดังระงม กองทัพที่ซ่อนอยู่ป่าหญ้าดิ้นพล่านอลหม่าน ต่างหนีตะกายในทุกทิศทาง เพียงเวลาสั้นๆพวกมันก็ถูกบีบให้ล่าถอย

เมื่อได้ยินเสียง ชูเกอเสี่ยวหยูก็ยกยิ้มมุมปาก “นั่นไง เสร็จพวกเราแล้ว!”

กองทหารม้าเข้าล้างบางเป็นกลุ่มแรก เสียงร้องโหยหวนดังไปทั่ว ด้วยกองกำลังไร้ต้าน เพียงเข้าปะทะคราเดียวก็สังหารทหารต้าฟงจนแตกตื่นเสียขบวน พวกมันดิ้นรนหลบหนี หากแต่ทันใดนั้นเอง กลับพลันปรากฎกองทัพเทียนหลงออกมาปิดกั้นเส้นทางถอยหนี เข้าทำลายสังหาร ทะลวงผ่านเกราะและหมวก เสียงร่ำไห้ดังระงมไปทั่วฟ้า....

ที่ระยะทางไกล บนยอดเนินเขามีเงาบุคคลยืนอยู่สองร่าง ร่างที่ตั้งกายตรงยืนอยู่เบื้องหน้า สวมใส่ด้วยอาภรณ์สีเงิน ใต้รัศมีแสงตะวันสะท้อนแสงเงินไหววับ ใบหน้าของเขาสวมใส่หน้ากากเงิน มีเพียงสองรูที่เผยนัยน์ตาอันน่าหวั่นกลัว เขาไพล่สองมือไว้เบื้องหลัง ยืนนิ่งมองดูการสังหารบนสนามรบเพียงข้างเดียว บางครั้งที่สายลมโชยผ่าน หญ้าแห้งโน้มเอียงปลิวไหว ทว่าชายเสื้อของเขาไม่ขยับไหวแม้แต่น้อย ที่ยืนอยู่เบื้องหลังของเขา เป็นบุคคลสวมใส่ชุดดำทั่วร่าง บนหน้าสวมใส่หน้ากากดำ จากเรือนร่างที่เพรียวบางและหน้าอกนั้น ทำให้เห็นได้ชัดเจนว่านางคือสตรี

“นางเติบโตขึ้นแล้ว” บุรุษชุดเงินถอนหายใจบาง นี่ไม่ใช่ทั้งเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ เขาไม่จำเป็นต้องดูอีก เขาหมุนกายไปและถอนหายใจบาง “คุ้มกันนางต่อไป”

จากนั้น ร่างของบุรุษชุดเงินกลับเหินบินไปราวกับนกตัวใหญ่ เพียงฉับพลันก็หายลับไปจากเส้นสายตา

สตรีชุดดำหันมองไปยังทิศนั้นด้วยความเทิดทูน เมื่อชายชุดเงินหายลับไปไกล สายตาของนางก็กลับกลายเป็นคมกล้า จ้องมองไปยังชูเกอเสี่ยวหยู หากเมื่อใดมีภัยมากล้ำกลายนาง สตรีชุดดำจะทะยานร่างเป็นสายฟ้าเข้าป้องกัน

.................................

.................................

อาณาจักรเทียนหลง ดินแดนที่ถูกลืม

“25 ปี ในที่สุดก็มาถึง” ฉู่ชางหมิงเงยศีรษะขึ้นกึ่งหนึ่ง ไม่ทราบกำลังครุ่นคิดสิ่งใดอยู่ ไม่ทราบมีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับสองบุคคลที่อยู่ข้างหน้าหรือไม่
“มีอะไรกับ 25 ปีงั้นเหรอ?” ฉู่จิงเทียนเกาหัวแกรกๆขณะถามด้วยความงุนงง เวลานี้เมื่อเทียบกับสามปีก่อน ร่างของเขากำยำใหญ่โตขึ้น ดวงตาสดใสเป็นประกายไม่อาจปิดบังความกระตือรือร้น ที่หลังสะพายด้วยกระบี่ยาวน่าประทับใจ ฝักกระบี่เป็นสีน้ำเงินเข้ม ด้านข้างเขา เป็นเล่งหยาที่เติบโตเป็นผู้ใหญ่หากยังคงผอมบาง ทว่ากลิ่นอายที่แผ่ออกจากร่างเปลี่ยนไปอย่างใหญ่หลวง สามปีเขากลายเป็นกระบี่ที่คมกริบ แผ่กลิ่นอายเย็นเยียบรุนแรงผิดธรรมดา ตอนนี้สีหน้าของเขาไร้ชีวิตและอารมณ์ ดวงตาที่คล้ายปิดอยู่ครึ่งหนึ่งฉายประกายคมกล้ายิ่งกว่ากระบี่ ทำผู้คนสั่นกลัวเย็นเยียบไปทั่วร่าง

“ครั้งล่าสุดที่งานชุมนุมยุทธเวทย์แห่งเทียนเฉินถูกจัดขึ้นคือเมื่อ 25 ปีก่อน เวลา 25 ปี....ทวีปเทียนเฉินนับว่ามีชีวิตสงบสุขยิ่ง ไร้หายนะภัยใดๆปรากฎ  หากแต่กลับทำให้ยุทธเวทย์เสื่อมถอยลง ในช่วงเวลานี้รุ่นเยาว์ที่แข็งแกร่งขาดการพัฒนาก้าวกระโดด ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด สมควรยังเป็นคนชราอย่างพวกเรา” ฉู่ชางหมิงพึมพำกับตนเอง

“งานชุมนุมยุทธเวทย์แห่งเทียนเฉิน?” เมื่อได้ยินชื่อนี้ ดวงตาของฉู่จิงเทียนก็เป็นประกายเจิดจ้าอย่างไม่อาจควบคุม “ที่นั่นมียอดฝีมือเยอะหรือเปล่า? ทุกคนสามารถเข้าร่วมได้ใช่มั้ย?”

“ชุมนุมยุทธเวทย์แห่งเทียนเฉินจัดขึ้นทุกๆ 25 ปี เป็นการประลองของสุดยอดผู้เข้มแข็งในทวีปเทียนเฉิน เป็นงานตัดสินผู้เป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้า ในอดีตตัวข้า , ฟงเฉาหยาง , หวู่เชียวชุย และ เสวี่ยหนี่ ได้กลายเป็นเทพทั้งสี่แห่งเทียนเฉินจากการเข้าร่วมงานชุมนุมยุทธเวทย์ในครั้งนั้น เวลา 25 ปี....มีชีวิตมากมายที่เกิดขึ้น ผู้ที่มีพลังแกร่งกล้าถึงระดับหนึ่งย่อมไม่เหี้ยมหาญพอที่จะพลาดมัน ในงานประลองแต่ละครั้ง จะมีตัวตนแกร่งกล้าแท้จริงปรากฎตัวออกมาดั่งหมู่เมฆ” ฉู่ชางหมิงกล่าวด้วยน้ำเสียงลึกล้ำ

“ใช่แล้ว” ฉู่จิงเทียนผงกศีรษะสุดแรง ถูมือสองข้างด้วยความตื่นเต้น “ท่านปู่ ท่านบอกว่าอยากจะให้พวกเรา....”

“ตลอดสามปีที่ผ่านมา ข้าเฝ้ามองพัฒนาการอันน่าตระหนกของเจ้า งานประลองในครั้งนี้ เป็นโอกาศดีที่เจ้าจะได้ทดสอบตัวเอง หวังว่าเจ้าจะไม่ทำให้ข้าต้องผิดหวัง” ฉู่ชางหมิงเอ่ยคำเนิบนาบขณะกล่าว

“ข้าไม่มีวันทำให้ท่านปู่ต้องผิดหวังอยู่แล้ว” ในกระดูกของฉู่จิงเทียน โลหิตพุ่งพล่านด้วยกระหายการต่อสู้ คนปรารถนาอยากลงแข่งเสียในวันพรุ่งนี้ กระบี่คือชีวิตของเขา ทว่าเขากลับต้องติดอยู่ในที่แห่งนี้ ความฝันของเขาคือการได้ประลองกับยอดฝีมือ

“ท่านปู่ แล้วท่านจะลงแข่งด้วยหรือเปล่า?” ฉู่จิงเทียนถามอย่างตื่นเต้น

“ข้าเหนื่อยแล้ว ไม่ไปหรอก” ฉู่ชางหมิงโบกมือ “นี่ก็ดึกแล้ว พวกเจ้าไปพักผ่อนเถอะ พรุ่งนี้จงเริ่มออกเดินทางไปจากที่นี่ โลกอันกว้างใหญ่รอพวกเจ้าอยู่ จะไม่มีใครล่ามโซ่ตีตรวนจำกัดอิสระของพวกเจ้าอีกต่อไป”

“เยี่ยม!!” ฉู่จิงเทียนหมุนกายขวับ เตรียมวิ่งกลับเข้ากระท่อมของตนอย่างตื่นเต้น

“ข้าอยากกลับไปที่เมืองเทียนหลงก่อน” เล่งหยาที่ไม่พูดจาเงยศีรษะขึ้นกล่าว ตลอดสามปีเขาเป็นห่วงมารดาของตนอยู่ทุกวัน

“ฮี่ ฮี่ เจ้าวางใจได้ว่ายังมีเวลาพอ” ฉู่ชางหมิงเผยรอยยิ้มที่หาได้ยาก แสดงความชื่นชมกับความกตัญญูของเขา

“ดีเลย! ข้าเองก็อยากพบน้องเย่กับน้องหญิงหนิงเสวี่ย หลายปีที่ไม่ได้เจอกัน ข้าคิดถึงพวกเขานัก” ฉู่จิงเทียนหัวเราะกล่าว

ฉู่ชางหมิงเมื่อได้ยินคำก็ระบายลมหายใจออก “ไปเถอะ ไปดูเอาเองก็ดีเหมือนกัน....แต่เจ้าจงจำไว้อย่างหนึ่ง ยามก้าวเดินในโลกหล้า ย่อมประสบพายุและเมฆหมอกไม่คาดฝันอยู่บ่อยครั้ง ฉะนั้นต้องเตรียมตัวให้พร้อมอยู่เสมอ”

ฉู่จิงเทียนผู้หัวทึบจำต้องผงกศีรษะรับ จากนั้นกลับเข้ากระท่อมหลับไหลไปด้วยความงัวเงีย



<<<PREV    .    NEXT>>>