วันศุกร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 248

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 248 รวมตัวอีกครั้ง

เมืองเชียงหยุนตั้งอยู่ทางตอนเหนือของอาณาจักรเทียนหลง เพียงถูกกั้นจากเมืองเทียนหลงไว้ด้วยเมืองฉางจิง ไม่กี่วันต่อมา มีสองคนแปลกหน้าย่ำเท้าเข้าสู่เมืองเชียงหยุน

ในหมู่พวกเขา คนหนึ่งสูงใหญ่กำยำ สะพายกระบี่เล่มยาว สวมใส่เสื้อผ้าหยาบกร้าน เข้าเมืองด้วยดวงตาสองข้างเป็นประกาย ราวอาม่าชมสวนใหญ่ ราวเด็กบ้านนอกเพิ่งเข้าเมือง บางครั้งก็มีหญิงสาวหันขวับมามองอย่างสงสัย ด้วยไม่เคยเห็นคนประหลาดเช่นนี้มาก่อน จึงไม่อาจอดมองได้ คนขายของที่เห็นสารรูปของเขาก็ไม่คิดเสนอขายสิ่งใด ด้วยรู้คำตอบดีอยู่แล้ว

หากอีกคนที่อยู่ด้านข้างกลับผอมบาง สีหน้าเย็นชา ตลอดทางย่ำเดินไม่กล่าวคำ ผู้คนผ่านไปมาหากมีบางครั้งเผอิญสบตา จะรู้เย็นเยือกผุดขึ้นมาจากไขกระดูก ทำให้ต้องรีบผละสายตาออกไปด้วยความตระหนก และจากไปด้วยความเร่งรีบ

“เฮ้! เจ้าหน้าน้ำแข็ง เจ้ารู้แน่นะว่าเมืองเทียนหลงที่น้องเย่อาศัยนั้นตั้งอยู่ตรงไหน? เดินมาหลายวันแล้วกลับยังไม่ถึง สามปีที่เจ้าไม่ได้กลับมาสมควรลืมทางแล้วละมั้ง?” ฉู่จิงเทียนถามด้วยความกังขา ขณะที่ถามอยู่นั้นเอง ดวงตาสองข้างก็กวาดมองตั้งแต่ทิศตะวันตกจรดทิศตะวันออกด้วยความตื่นเต้น ใช่แล้ว! นี่คือความฝันของเขาที่จะได้ออกมาสู่โลกภายนอก!

เล่งหยาแค่นเสียงเย็นตอบคราหนึ่ง อาณาจักรเทียนหลงนั้นกว้างใหญ่ เจ้าวัวโง่เง่าที่ไม่เคยเห็นโลกสมควรไม่เข้าใจ

“...นี่มันกลิ่นอะไร ว้าว! ทำไมถึงได้หอมเช่นนี้?” ฉู่จิงเทียนทำจมูกฟุดฟิด เดินตามกลิ่นไปยังร้านอาหารที่อยู่ข้างถนน เขาอยู่จนโตป่านนี้ยังไม่เคยรู้จักว่าของอร่อยนั้นเป็นอย่างไร เล่งหยาตามไปรวดเร็วอย่างช่วยไม่ได้ ในร้านอาหารนั้นมีชายชรากำลังเล่าเรื่องอยู่ แม้จะรู้กันดีอยู่แล้วแต่ก็ควรค่าฟังซ้ำนับร้อยครั้ง คือเรื่องราวหวูเฉินแห่งตระกูลเย่ และตอนนี้เขากำลังเล่ามาถึงบทสรุป

“....โอ! กล่าวกันว่าหลังจากที่เย่หวูเฉินตายไป อาณาจักรต้าฟงบังเกิดสายฝนโถมกระหน่ำตลอดสามวัน กระทั่งสวรรค์ยังร่ำไห้แก่วีรบุรุษเยาว์วัยผู้จากไป....”

เพียงคำสั้นๆก็พลันทำให้ฉู่จิงเทียนและเล่งหยาตัวแข็งทื่อ เล่งหยาด้วยอารมณ์พลุ่งพล่านก็ไม่สนสิ่งใดอีก คนพลันถลาคว้าคอเสื้อของชายชรา สีหน้าทะมึนเย็นเยียบขณะกล่าวคำ “เมื่อกี้เจ้าพูดว่า....ใครตาย?”

ความเร็วของเล่งหยาเหนือล้ำราวกับวายุ ผู้คนเพียงเห็นเป็นเงาวับผ่าน จากนั้นปรากฎร่างบุคคลขึ้นเบื้องหน้าชายชรา คว้าจับคอเสื้อของเขาแล้วถาม บรรยากาศดูคล้ายจะบิดเบี้ยวในฉับพลัน

ชายชราตื่นตระหนกอย่างเห็นได้ชัด ด้วยสายตากระเหี้ยนหือของเล่งหยา ชายชราใจสั่นหวั่นไหว ไม่ว่าผู้ใดที่ประสบกับสายตานี้ เขาย่อมอดไม่ได้และคิดว่ากำลังเผชิญหน้ากับคนบ้ากระหายเลือด เขากล่าวด้วยความหวาดผวา “เป็น....เป็นเย่หวูเฉินที่ตกตาย ทุกคนล้วนรู้ว่าเป็นเขา....”

มือของเล่งหยาบีบแน่นขึ้นหลายส่วน จนเท้าของชายชราแทบจะลอยขึ้นจากพื้น ใบหน้าเย็นชาของเล่งหยาบิดเบี้ยวอย่างน่ากลัว “เป็นเย่หวูเฉินไหน!”

“นะ...แน่นอนว่าแห่งตระกูลเย่ ตระกูลที่แกร่งกล้าที่สุดแห่งอาณาจักรเทียนหลงของพวกเรา หลานชายของขุนพลชราเย่ บุตรแห่งขุนพลเว่ยหลง” ชายชราไม่กล้าขัดขืน กล่าวอธิบายด้วยเสียงสั่นเครือ

(โน๊ต: ฉายาของเย่เว่ย คือ ขุนพลเว่ยหลง – หลงที่แปลว่ามังกร)

เล่งหยารู้สึกราวกับถูกน้ำเย็นรดราดศีรษะ ผิวกายทั่วร่างเย็นจับไปถึงจิต เขาปล่อยมือจากชายชราอย่างอ่อนแรง พึมพำด้วยเสียงแผ่วเบา “ตาย เขาตาย... เขากลับตายไปแล้ว....”

ฉู่จิงเทียนที่อยู่ด้านหลังยืนค้างอยู่ตรงประตู เขาตะโกนโหยหวน “น้องเย่ตายแล้ว น้องเย่จะตายแบบนี้ได้ยังไง ไม่นะ ไม่ อ๊า... หากรู้ว่าจะเป็นแบบนี้ ข้าควรจะออกมาพร้อมกับพวกเขา....”

ชายชราลูบลำคอตนเอง ถอยหลังออกไปหลายก้าว ขณะเดียวกัน ผู้คนส่งสายตามองพวกเขาราวกับตัวโง่เง่า เรื่องนี้สามปีก่อนล้วนรู้กันทั่วโลก เจ้าสองคนนี้...มันโดดออกมาจากรอยแยกแผ่นหินหรือยังไง?

“แล้ว....น้องหญิงหนิงเสวี่ยล่ะ? นางเป็นยังไงบ้าง?” ฉู่จิงเทียนพลันคิดถึงบางสิ่งออก จึงรีบตรงเข้าหาแล้วคว้าชายชราผู้น่าสงสารขึ้นแบบเดียวกับเล่งหยา “หนิงเสวี่ยเป็นยังไง? ตอนนี้นางอยู่ที่ไหน?”

“หนิงเสวี่ย.... ข้าไม่รู้ ข้าไม่รู้จักนาง” ชายชราโบกมือพัลวัน

“คนที่ผมสีขาว สาวน้อยที่มีแผลเป็นสองรอยอยู่บนใบหน้า!” ฉู่จิงเทียนตะโกนอย่างกระวนกระวาย

“อ้า! ข้ารู้แล้ว ในอดีตเย่หวูเฉินกอดสาวน้อยผมขาวกระโดดลงสู่หุบเหวปลิดวิญญาณ พวกเขาตกตายไปพร้อมกัน”

ฉู่จิงเทียนปล่อยมือจากชายชรา และร้องไห้ออกมาราวกับเด็ก

ในอดีต? เล่งหยาพลันเข้าใจถึงบางสิ่ง เขาถามเสียงต่ำ “พวกเขาตายเมื่อไหร่ รีบพูดมาเร็ว!”

“เมื่อ...เมื่อสามปีก่อน ในอาณาจักรต้าฟง”

สามปีก่อน? ไม่ใช่ว่าเป็นเวลาที่เขาออกจากเมืองเทียนหลงเพราะคำของเย่หวูเฉินหรอกหรือ? เวลาที่เขาออกตามหาฉู่ชางหมิง เย่หวูเฉินกลับตกตายไปเมื่อสามปีที่แล้ว....

จิตใจของเล่งหยาสับสนและเย็นเยียบ น่าหัวเราะที่เขาปรารถนาตอบแทนหนี้ที่ติดค้างมาโดยตลอด ทั้งคิดติดตามด้วยหัวใจ เย่หวูเฉินกลับจากไปแล้วถึงสามปี.... แล้วเหตุผลที่เขามุ่งมั่นยืนกรานฝึกฝนมาตลอดสามปี ทั้งความหวังและเป้าหมายของเขายามนี้จะมีแต่ไหน?

“ผู้ใดสังหารเขา?” สองหมัดของเล่งหยากำแน่น ถ้อยคำที่กล่าวไม่เร่งรีบและชัดเจน คำเย็นเยียบลอดไรฟันอย่างลำบาก บังเกิดความเกลียดชังอันน่าตระหนก จิตสังหารรุนแรงถูกปล่อยออก ร้านอาหารฉับพลันราวกับตกสู่หลุมน้ำแข็ง เหล่าคนที่สีหน้าปกติยามนี้ต่างตื่นตระหนกด้วยกลิ่นอายน่าหวาดหวั่น รอบบริเวณไม่มีผู้ใดกล้าหายใจแรง กระทั่งคนธรรมดาที่ไร้วรยุทธยังบอกได้ว่าชายหนุ่มเย็นชาคนนี้มีพลังอันน่ากลัว

ชายชราผู้น่าสงสารรู้สึกเหมือนถูกจับจ้องโดยอสรพิษร้ายกาจ พร้อมถูกฉกกัดหากขยับเพียงนิดน้อย หลังเห็นเหตุการณ์ก็ไม่มีผู้ใดกล้าก้าวเท้าออกมา ชายชราฝืนกลืนน้ำลายและเริ่มเล่าเรื่องการตายของเย่หวูเฉิน

เขาราวกับเป็นหนังสือ เรื่องที่เย่หวูเฉินต่อสู้ในอาณาจักรต้าฟงไม่ทราบว่าเขาเล่ามาแล้วกี่หน คุ้นเคยจนไม่อาจคุ้นเคย เพียงเริ่มเล่าอารมณ์ก็เริ่มลุกโชน ลืมสิ้นว่าเล่งหยากำลังจ้องอยู่ เขาเล่าถึงเย่หวูเฉินที่ช่วยพี่สาวจากราชวังต้าฟงโดยตัวลำพัง ต่อต้านสังหารเทพสงครามฟงเฉาหยาง ตามด้วยทำลายกองทัพศัตรูนับหมื่น.... ด้วยการเล่าอันเปี่ยมชีวิตชีวา ทำให้ผู้คนที่ได้ฟังราวกับเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์ด้วยตัวเอง

เมื่อฉู่จิงเทียนและเล่งหยาออกจากเมืองเชียงหยุน ภายในใจต่างรู้สึกหนักหน่วง ฉู่จิงเทียนไร้ความตื่นเต้นเหมือนก่อนหน้า สีหน้าแววตาดูโดดเดี่ยวขึ้นหลายส่วน เช่นเดียวกับหัวใจที่รึงรัดอัดแน่น

“ก่อนหน้าที่พวกเราจะออกมา ท่านปู่ได้กล่าวไว้ว่า ‘ยามก้าวเดินในโลกหล้า ย่อมประสบพายุและเมฆหมอกไม่คาดฝันอยู่บ่อยครั้ง ฉะนั้นต้องเตรียมตัวให้พร้อมอยู่เสมอ’ ท่านปู่สมควรรู้อยู่แล้วว่าน้องเย่ตาย เพื่อไม่ให้พวกเราเกิดความไขว้เขว จึงไม่ได้บอกแก่บอกเรา” ฉู่จิงเทียนถอนหายใจคราหนึ่ง “ในตอนนั้นที่น้องเย่และน้องหญิงหนิงเสวี่ยเที่ยวไปมาด้วยกัน นั่นคือความทรงจำแสนสุขที่สุดสำหรับข้า ไม่คิดเลยว่าพวกเขากลับจากไปในเวลาอันสั้น.... ไม่น่าเลย”

เล่งหยา “.......”

“เฮ้ เจ้าหน้าน้ำแข็ง พวกเรายังจะไปเมืองเทียนหลงอยู่หรือเปล่า?”

เล่งหยา “.......”

“หากข้าเดาไม่ผิด เจ้าคงกังวลเกี่ยวกับแม่เจ้ามากสินะ? วางใจเถอะ นางจะต้องไม่เป็นไร ยังไงแวะเคารพน้องเย่ก็ดีเหมือนกัน อย่างน้อยๆยังดีที่ก่อนน้องเย่จะตาย เขาได้พบครอบครัวตัวเองพร้อมหน้า หลังสังหารผู้คนไปมากมาย ตอนนี้ไม่มีผู้ใดไม่รู้จักนามของเขา เขาย่อมตายไปอย่างไม่เสียใจ ข้าคิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะพบพ่อแม่ได้ไวถึงเพียงนี้ เดิมทีที่ปู่ของข้าเก็บเขามาในตอนนั้น เขายังมีอายุเพียงเจ็ดขวบ ข้ามองดูเขาเติบโตขึ้นในแต่ละวัน เขาพบพ่อแม่ตัวเองได้ยังไงกันนะ? อีกอย่างที่ข้าคิดไม่ถึงคือ น้องเย่กลับแข็งแกร่งได้ถึงเพียงนี้ กระทั่งฟงเฉาหยางที่แข็งแกร่งเทียบเท่ากับปู่ของข้ายังถูกเขา....”

เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ ฉู่จิงเทียนก็พลันชะงักหยุดคำ เหลือบมองการตอบสนองของเล่งหยาอย่างลับๆ หากกลับพบว่าสีหน้าของเล่งหยายังคงเย็นชาไร้ชีวิต ไม่ปรากฎเศษเสี้ยวอารมณ์ใด

“เฮ้ เจ้าหน้าน้ำแข็ง เจ้าจะเอาไงต่อ?”

“......”

“พูดออกมาเถอะน่า!” ฉู่จิงเทียนตบเบาๆด้วยแขน

“ไปที่เมืองเทียนหลง!” เล่งหยามองตรงไปเบื้องหน้า กล่าวสี่คำออกมาในที่สุด ชื่อที่ฉู่จิงเทียนเรียกเขาว่า “เจ้าหน้าน้ำแข็ง” ถึงตอนนี้เขาชินกับมันมานาน มีเพียงฉู่จิงเทียนที่เรียกเช่นนี้ หากเป็นผู้อื่นที่กล้าเรียก เขาจะทำให้มันรู้ว่าอะไรคือความเสียใจ

“ข้ารู้ว่าต้องไปเมืองเทียนหลง แต่หลังจากที่ไปเมืองเทียนหลงล่ะ? เจ้ายังมีมารดาให้ปกป้อง แต่น้องเย่ของข้าไม่อยู่แล้ว ข้าหวังจะได้เที่ยวติดตามน้องเย่ ท่านปู่เคยบอกว่าเขาคือคนที่จะเคลื่อนแผ่นฟ้า แต่ตอนนี้กลับ....”

เสียงของฉู่จิงเทียนชะงักขาดห้วง ดวงตาเบิกกว้าง ปากอ้ากลมโต เล่งหยาหยุดฝีเท้าเช่นกัน ทั่วร่างแข็งค้าง ม่านตาหดลีบจดจ้องไปเบื้องหน้า

ที่ตรงนี้ห่างจากเมืองเชียงหยุนและใกล้ถึงเมืองฉางจิง แม้ถนนเบื้องหน้าจะทอดยาว หากช่วงเขตป่ายังยากที่จะเห็นผู้คนสัญจรผ่าน ทว่าที่อยู่เบื้องหน้าของพวกเขา กลับมีคนอยู่อย่างน่าประทับใจ ใบหน้าฉายไปด้วยรอยยิ้ม ยินดีที่ได้พบกันอีกครั้งหลังจากกันไปนาน เขาไม่ได้ยืนแต่นั่งอยู่บนรถเข็นไม้ ที่ยืนอยู่ขนาบข้างกายเป็นสาวน้อยสองคน คนหนึ่งทางขวาอายุราวสิบขวบ ตัวเล็กบอบบางมีผมสีขาว ทั้งผิวพรรณและเสื้อผ้าล้วนเป็นสีขาวดุจหิมะ ใบหน้าฉาบทาด้วยรอยยิ้มร่าเริง มีรอยแผลเป็นร้ายแรงตัดกันอยู่ สาวน้อยด้านซ้ายต่างออกไปโดยสิ้นเชิง นางมีผมสีดำ สวมใส่อาภรณ์ดำ ดวงตาดำทมิฬ หากผิวของนางยังมีสีขาวบริสุทธิ์ดั่งน้ำนม ดวงหน้าของนางงามล้ำเลิศ เพียงวัยสิบสามขวบปีกลับปล่อยเสน่ห์ร้ายกาจอันทำผู้คนตะลึงค้าง

“พี่ต้าหนิว ไม่ได้พบกันเสียนาน” สาวน้อยผมขาวโก่งคันคิ้ว เผยรอยยิ้มแห่งความสุข นอกจากเย่หวูเฉินก็มีฉู่จิงเทียนที่เป็นคนแรกในโลกที่ดีต่อนาง เด็กหญิงคนนี้....กลับคือหนิงเสวี่ย!

น้ำเสียงอ่อนหวานปลุกฉู่จิงเทียนขึ้นจากภวังค์ หากปากยังคงอ้ากว้าง ยังคงตกใจยิ่งยวดขณะมองชายที่อยู่บนรถเข็น เขากล่าวคำตะกุกตะกัก “เจ้า.... เจ้าคือน้องเย่....กับ น้องหญิงหนิงเสวี่ยใช่ไหม? นี่มัน ข้า....”



<<<PREV    .    NEXT>>>