วันอาทิตย์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 250

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 250 กลับบ้าน (2)

ถึงตอนนี้เย่เว่ยผ่านสนามรบมามากมาย กระทั่งมาปีนี้ เขานำทัพเข้ารบแต่ละครั้งล้วนใช้เวลาเพียงสั้นๆ เพราะการปะทะกับอาณาจักรต้าฟงมักราบลื่นอยู่เสมอ บางครั้งราบลื่นจนน่าประหลาดใจ เขาค่อยๆตระหนักได้ว่า มีกลิ่นแปลกๆเกี่ยวข้องกับสำนักมารที่พลันปรากฎกายขึ้นเมื่อปีก่อน บางครั้งเขาพบศพกองทัพต้าฟงขนาดใหญ่ ที่พื้นเขียนไว้ด้วยอักษรโลหิตสองคำว่า “สำนักมาร”

แม้ได้รับเกียรติยศยิ่งใหญ่ แต่เขาไม่ได้พอใจกับมันนัก ดังนั้นจึงไม่ประมาทหรือลำพอง อีกทั้งในปีที่ผ่านมา เขาเริ่มชื่นชมหญิงสาววัย 20 ปี ผู้มีสัมผัสการรบอันไร้ที่เปรียบ ทำให้เขาเข้าใจว่าการเอาชนะศัตรูด้วยการโจมตีไม่คาดฝันนั้นเป็นอย่างไร นางคือธิดาของชูเกอหวูอี้ – ชูเกอเสี่ยวหยู

ที่ชั้นบนสุดของบ้านหมอกฝัน ม่านสีเข้มถูกแง้มเปิด ด้านหลังของม่าน มีดวงตากระจ่างใสมองที่ร่างของเย่เว่ย เย่เว่ยพลันสัมผัสได้และมองกลับขึ้นไป นัยน์ตางดงามหลังม่านค่อยๆเบือนออกอย่างสงบ ม่านสีเข้มค่อยๆปิดกลับ เย่เว่ยถอนสายตาและลอบถอนใจ ที่พำนักอยู่ในนั้น คือธิดาคนเดียวของประมุขสำนักจักรพรรดิใต้ฉุ่ยเมิ่งฉาน อีกไม่นานนางจะเข้าวังเป็นชายาของจักรพรรดิ เรื่องนี้มีเพียงไม่กี่คนที่รู้ เขาไม่เคยเห็นฉุ่ยเมิ่งฉานตัวจริง แต่แม้เมื่อครู่จะเห็นจากหลังม่าน สายตางดงามกลับทำให้เขาอดไม่ได้จนต้องประหลาดใจ ถึงขนาดบดบังรัศมีธิดาของเขาเย่ฉุ่ยเหยา เป็นโฉมงามอันดับหนึ่งแห่งเทียนหลง หรือชื่อเสียงของนางไม่ได้กล่าวเกินจริง

ฉุ่ยเมิ่งฉานก้าวกลับมา นั่งลงหลังโต๊ะธูปหอม นางกล่าวเสียงเบา “ตระกูลเย่ ข้าควรทำอย่างไรกับพวกเจ้าดี”

ประตูถูกผลักเปิด เป็นสาวใช้ส่วนตัวของนาง ฉุ่ยหลิงเอ๋อร์ก้าวเข้ามาอย่างรีบร้อน ฉุ่ยเมิ่งฉานเลิกคิ้วงามขึ้นเล็กน้อย “เกิดอะไรขึ้น?”

“ทางทิศเหนือมีข่าวด่วนแจ้งเข้ามา! ว่าจู่ๆเย่หวูเฉินก็ปรากฎตัวขึ้นในเมืองฉางจิง ขณะนี้กำลังเดินทางตรงมายังเมืองเทียนหลง” หลิงเอ๋อร์รายงานด้วยความเร่งรีบ ในใจตื่นตระหนกสุดแสน

“ใครนะ?” ฉุ่ยเมิ่งฉานผุดลุกขึ้นยืน

“เป็นเย่หวูเฉิน! บุตรของเย่เว่ย!”

“.....เป็นไปไม่ได้ เมื่อสามปีก่อนเขาตายไปแล้วนี่ มีคนมากมายที่เห็นเป็นพยาน ทหารที่รอดกลับมาหมื่นนายล้วนยืนยันว่าเขาตาย เขาจะปรากฎตัวขึ้นในตอนนี้ได้อย่างไร สมควรเป็นบุคคลที่หน้าตาเหมือนกัน” เสียงกล่าวของฉุ่ยเมิ่งฉานยังคงนุ่มนวล

“เดิมพวกเขาก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน แต่ที่อยู่ข้างกายของเย่หวูเฉินกลับเป็น.... สาวน้อยผมขาวที่ตกลงสู่หุบเหวปลิดวิญญาณพร้อมกับเขา ใบหน้านางมีรอยแผลเป็น ลักษณะเช่นนี้ไม่มีทางเป็นอื่นสอง นี่ย่อมไม่ใช่เรื่องบังเอิญ นอกจากนั้น สาวน้อยชุดดำที่เป็นสตรีเทพพิโรธยังอยู่ข้างกายเขาด้วยอีกคน นอกจากพวกเขาแล้ว ยังมีเล่งหยาที่หายตัวไปเมื่อสามปีก่อน กับอีกคนที่ตัวสูงใหญ่ ฟังจากการสนทนาจึงรู้ว่าเขามีแซ่ฉู่ คนผู้นี้ไม่เคยปรากฎกายมาก่อน แต่ที่หลังของเขาเห็นได้ชัดว่าสะพายกระบี่เทพชางหมิงอยู่ กระบี่เล่มเดียวกับที่เทพกระบี่ฉู่ชางหมิงเคยใช้ในอดีต”

ฉุ่ยเมิ่งฉาน “.......”

“องค์หญิง นั่นต้องเป็นเย่หวูเฉินอย่างไม่ต้องสงสัย อย่างไรก็ตาม สภาพของเขายามนี้ดูเหมือนคนพิการ เพราะเขานั่งอยู่บนรถเข็นแทนที่จะเดิน ส่วนเหตุการณ์แท้จริงเป็นอย่างไรนั้นยากที่จะทราบได้” หลิงเอ๋อร์รายงานต่อ

ด้านนอกเสียงยังคงดังอยู่ แต่เสียงก็ดังอยู่เพียงภายนอกเท่านั้น ไม่อาจดังเข้ามาถึงข้างใน เมื่อหลิงเอ๋อร์กล่าวรายงานจบ ในห้องก็ไร้เสียงใดๆอีก กระทั่งเสียงลมหายใจยังไม่อาจได้ยิน

ฉุ่ยเมิ่งฉานนั่งลงอย่างนิ่งงัน เป็นเวลาเนิ่นนานจึงถอนใจกล่าว “นั่นต้องเป็นเขาอย่างไม่ต้องสงสัย เรื่องนี้สำหรับพวกเราเป็นทั้งข่าวดีและข่าวร้าย ก่อนหน้าพวกเราไม่ได้จริงจังกับเขาเท่าใด ทุกคนล้วนถูกเขาตบตา ครั้งนี้เขากลับมาอย่างเปิดเผย การกลับมาของเขาย่อมไม่ใช่ธรรมดา พวกเราจะต้องเตรียมตัวให้พร้อม ต่อให้เขาเป็นเพียงคนพิการคนหนึ่งจริงๆ ข้าก็ไม่อาจคลายกังวลได้”

นางกับเย่หวูเฉินเคยคุยกันเพียงสั้นๆสองครั้งเท่านั้น ทว่าหลังจากที่เย่หวูเฉิน “ตาย” สิ่งที่เขาเผยออกมากลับทำให้นางต้องตื่นตะลึงกระทั่งหวาดกลัว การตายของเขาทำให้นางทั้งเสียใจและยินดี คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะกลับมาอีกครั้ง

“เขาปรากฎตัวขึ้นที่ใด?”

“ตอนนี้ยังไม่ทราบแน่ชัด เท่าที่พวกเรารู้ก็คือ เขาปรากฎตัวขึ้นทางใต้ของเมืองเชียงหยุน ด้านเหนือของเมืองฉางจิง” หลิงเอ๋อร์กล่าวตอบ

“แล้วสตรีเทพพิโรธออกไปตั้งแต่เมื่อไหร่?” ฉุ่ยเมิ่งฉานถาม เย่หวูเฉินสามารถออกมาได้ในวันนี้? นางไม่อาจเชื่อลง

“สตรีเทพพิโรธมีพลังแข็งแกร่งเกินไป คนของเราไม่กล้าเข้าไปตรวจสอบ และถึงแม้จะเข้าไปใกล้ แต่นางจะไปแห่งใดพวกเราก็ไม่อาจรู้ได้” หลิงเอ๋อร์ตอบ

“โดยปกติสตรีเทพพิโรธจะอยู่กับเย่ฉุ่ยเหยาใช่หรือไม่? ช่วงนี้นางมีสิ่งใดที่เปลี่ยนไปบ้าง?”

หลิงเอ๋อร์ครุ่นคิดครู่หนึ่ง จากนั้นสั่นศีรษะ “ไม่เลย ยังคงยากนักที่นางจะออกไปไหน แต่ว่ามีอยู่สิ่งหนึ่ง ประมาณหนึ่งปีก่อนนางเริ่มเข้าไปก่าวก่ายกิจการภายในของตระกูลเย่ คงตระหนักได้ว่าสมบัติตระกูลทั้งหมดกำลังจะตกอยู่ในมือของเย่หวูหยุน นางจึงเริ่มเรียนรู้และจัดการกิจการภายในของตระกูล”

ฉุ่ยเมิ่งฉานลุกขึ้นยืน แง้มม่านผ้าเปิด นัยน์ตางดงามมองออกไปนอกหน้าต่าง ขบวนของเย่เว่ยตามกันเป็นสายไปยังทิศทางของราชวัง ในที่สุดถนนบริเวณนี้ก็ไร้เสียงอึกทึก นางกล่าวเสียงเบา “ตระกูลเย่ พวกเจ้าถูกช่วยไว้อีกครั้ง ดูเหมือนความภักดีของพวกเจ้าทำให้สวรรค์อำนวยพร”

“รายงานข่าวไปยังบิดาข้า แจ้งทุกสิ่งให้ครบถ้วน สำหรับคนอื่นๆอย่าพึ่งเคลื่อนไหว ให้รอดูว่าโลกนี้จะตอบสนองอย่างไร”

......................

......................

ในราชวังเทียนหลงมีบรรยากาศอันชื่นมื่น หลงหยินนำบรรดาขุนนางนายพลนับร้อยมาต้อนรับตั้งแต่หน้าประตูวัง หลังจากตบรางวัลอย่างหนัก พวกเขาก็เข้าไปข้างใน มีงานฉลองจัดเตรียมไว้ มีการขับร้องและร่ายรำ เสียงหัวเราะดังไปทั่วบริเวณ ชูเกอเสี่ยวหยูแอบหนีออกจากงานเหมือนเช่นทุกครั้ง นางกลับไปบ้านอ้อนมารดาเหมือนเด็กเอาแต่ใจ

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า สงครามครั้งนี้ขับไล่ศัตรูออกไปได้นับไม่ถ้วน ทั้งพวกมันยังสูญเสียเป็นจำนวนมาก นึกย้อนกลับไปเมื่อก่อน ตอนที่อาณาจักรต้าฟงข่มขู่อาณาจักรเทียนหลงของพวกเรา คุยโอ่ว่าพวกมันแกร่งกล้าเพียงไหน แท้จริงกลับเป็นเพียงพวกดาดๆ มีจำนวนมากกว่าพวกเราแล้วยังไง? ทุกวันนี้ไม่ทราบถูกทุบตีพ่ายแพ้ไปแล้วกี่ครั้ง”

“ผิดแล้ว ผิดแล้ว ไม่ใช่ทัพของอาณาจักรต้าฟงที่อ่อนด้อย หากแต่เป็นทัพอาณาจักรเทียนหลงของพวกเราที่แกร่งกล้าเกินไป ขุนพลเว่ยหลงของพวกเรานั้นเก่งกล้าสามารถ ในหมู่ศัตรูทั่วหล้า เขานับว่าไร้พ่าย!”

“ไหนเลย ไหนเลย ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า.....”

หากกล่าวถึงเย่เว่ยล้วนไม่มีผู้ใดตระหนี่ในคำยกย่อง ผ่านมาหลายปีตอนนี้เขากลายเป็นตัวเอกในหมู่ขุนนาง ทุกวันนี้ไม่มีใครไม่รู้จักนามของขุนพลเว่ยหลง ในช่วงเวลาที่สงบสุข ตระกูลหลินสามารถเปรียบเทียบทัดเทียมกับตระกูลเย่ แต่เมื่อสงครามอุบัติขึ้น ทุกสายตา , ทุกความคาดหวัง , ทุกความนับถือและชื่นชม ล้วนจับจ้องไปที่ตระกูลเย่ ตระกูลหลินยามนี้นับว่าอับแสงเป็นอย่างยิ่ง

นอกจากนั้น การที่เย่หวูเฉินสังหารเทพสงครามในอดีต ทำลายล้างกองทัพศัตรูนับหมื่น ได้กลายเป็นพลังส่งเสริมให้แก่ขุนพลเว่ยหลง กระทั่งเด็กสามขวบในอาณาจักรเทียนหลงยังรู้จักนามของตระกูลเย่ ส่วนตระกูลหลินเอาแต่มุ่งเน้นกิจการภายใน เกียรติยศและชื่อเสียงไม่มีสิ่งใดคู่ควรเปรียบเทียบกับตระกูลเย่

หลงหยินยังคงมีอารมณ์ชื่นมื่นอยู่ตลอด จักรพรรดิกระดกดื่มอย่างมีความสุข สีหน้าดูเปล่งปลั่ง ขณะที่งานฉลองดำเนินไปด้วยชีวิตชีวา เย่ซานแห่งตระกูลเย่ก็วิ่งเข้ามาอย่างเร่งร้อน ไม่ทันกล่าวคำคารวะก็รีบเข้าไปกระซิบที่ข้างหูของเย่เว่ย

เกิดเสียงดัง “โครม” เย่เว่ยตะลึงราวกับถูกฟ้าฟาด ผุดลุกขึ้นยืนจนถ้วยสุราและจานอาหารแตกเกลื่อน เขาไม่แม้กระทั่งกล่าวคำลาต่อหลงหยินและเหล่าขุนนาง ตรงไปที่ประตูด้วยความเร่งรีบ ขณะก้าวออกไปยังสะดุดขอบประตูที่นูนสูงขึ้นมาจากพื้น

บรรดาขุนนางมองหน้ากันด้วยความงุนงง ไม่ทราบมีเรื่องสำคัญแบบไหนที่ทำเย่เว่ยผู้มักสงบเร่งรีบได้ถึงเพียงนี้ หลงหยินยกมือขึ้นหยุดการร่ายรำ เขามุ่นคิ้วลงแล้วเอ่ยถาม “เกิดอะไรขึ้น?”

เย่ซานก้มลงหมอบกราบ กล่าวคำด้วยความนอบน้อม “ทูลฝ่าบาท มีคนพบเห็นนายน้อยของตระกูลกระหม่อมในเมืองฉางจิง เขายังไม่ตาย ตอนนี้กำลังเดินทางตรงมายังเมืองเทียนหลง”

“อะไรนะ!?” หลงหยินพรวดลุกขึ้นยืน บรรดาขุนนางต่างตกตะลึง ใบหน้าคนแตกตื่นราวกับได้ยินเสียงอัสนีลั่นสะเทือนฟ้า

มีอีกคนที่พุ่งออกไปราวกับศรธนูเพลิง นอกจากเย่เว่ยแล้วยังมีฮั่วเจิ้นเทียนที่เป็นกังวลไม่ต่างกัน

.....................

.....................

ราชวังเทียนหลงเกิดปั่นป่วนเนื่องจากข่าว ตัวละครผู้เป็นสาเหตุยังคงมุ่งหน้าตรงมายังเมืองเทียนหลง แม้ร่างกายของเขาจะพิการ แต่ใบหน้าก็มิได้แสดงความสิ้นหวังหรือขัดเคืองใจ กลับคล้ายจักรพรรดิที่ถูกรายล้อมบนบัลลังก์ เพียงผู้คนชำเลืองมองไปที่เขา ก็พลันเกิดความรู้สึกต้อยต่ำกว่า สามารถนำพาความรู้สึกเช่นนี้ได้ ในโลกนับว่ามีอยู่น้อยยิ่ง

“มีหลายคนข้างหลังแอบตามพวกเราอยู่นาน พวกเขาสมควรตามมาเพราะน้องเย่” ฉู่จิงเทียนอ้าปากหาวและถามยิงฟัน พวกที่ตามมาไม่มีจิตมุ่งร้ายแม้แต่น้อย

“ให้ข้าสังหารพวกมันมั้ย?” เล่งหยาเอ่ยถามสั้นๆ

“ปล่ายพวกเขาตามต่อไป หากไม่มีคนตามมา นั่นถึงจะนับว่าแปลก” เย่หวูเฉินกล่าวพลางโบกมือ จากนั้นไม่สนใจอีก

ฉู่จิงเทียนถูมือสองข้างและกล่าว “ข้าออกมาตั้งนานแล้ว ได้เล่นกับแค่หมีดำสองตัว พอไม่ได้ต่อสู้ มือข้าก็ชักคันขึ้นมาบ้างแล้ว เอ่อ อีกไกลแค่ไหนจึงจะถึงเมืองเทียนหลง? น้องเย่ หรือให้ข้าแบกเจ้าไปดี รถเข็นนี่เคลื่อนไปได้ช้านัก”

ฉู่จิงเทียนเหลือบมองสาวน้อยดำและขาวที่ผลักรถเข็นด้วยกัน ไม่ว่าเขาจะถามเท่าไหร่ สาวน้อยสองคนก็ไม่ยอมให้เขาผลักรถเข็น ราวกับว่าหน้าที่นี้เป็นเฉพาะของพวกนางเท่านั้น ผู้อื่นห้ามแตะ

“ไม่นานหรอก อีกประเดี๋ยวก็จะมีคนมาหาพวกเรา”

เพียงสิ้นเสียงของเย่หวูเฉิน เบื้องหน้าทางไกลก็ปรากฎฝุ่นตลบ เสียงเกือกม้ายิ่งดังใกล้เข้ามา มองด้วยสายตาน่าจะมีอยู่ร้อยคน เมื่อเข้ามาใกล้ขึ้น ก็เห็นเย่เว่ยนำหน้ามาแต่ไกล ควบตะบึงหวดแส้สุดแรงเหวี่ยง เสียงม้าร้องร่ำด้วยความเจ็บปวด ห้อทะยานตรงมาดุจพายุ

พอเห็นกองทัพรุดตรงเข้ามาอย่างกะทันหัน ฉู่จิงเทียนเบิกตาวัวจ้องกว้าง ย่างเท้าออกมาเบื้องหน้า ใช้แผ่นหลังทรงพลังบังเย่หวูเฉิน หากมีใครคิดกล้าทำร้าย เขาจะส่งพวกมันปลิวไป ทว่าก่อนที่เขาจะทันหยุดยืน ก็ได้ยินเสียงเล่งหยาแค่นเสียงออกจมูก “เจ้าวัวโง่”

“.....ข้าทำอะไรผิดไปเหรอ?” พอเห็นเย่หวูเฉินยิ้มด้วยอีกคน ฉู่จิงเทียนก็เอามือตบหน้าผาก คนพลันตระหนักรู้เรื่องราว “ข้าเข้าใจแล้ว นั่นคือคนที่น้องเย่เพิ่งพูดถึงว่าจะมา”



<<<PREV    .    NEXT>>>