ตอนที่ 11 ยังไม่ทันเริ่ม...ก็จบเสียแล้ว?
เวลาล่วงผ่านไปเงียบงันอย่างน่ากลัว
เงาดำในจิตใจยิ่งมายิ่งมืดทะมึน เมื่อสายลมเย็นเยียบโบกพัดมา มวลเมฆดำบนท้องฟ้าก็ค่อยๆถูกเป่าหายไป
ดวงดาวเริ่มส่องแสงระยิบระยับออกมา เพียงครู่เดียว พระจันทร์ก็ฉายแสงแจ่มจ้าทั่วผืนพงไพร
เย่หวูเฉินมองขึ้นไปบนท้องฟ้า จันทราพราวแสงเต็มดวงเด่นนภา เขาคิดอย่างเงียบงัน กลับกลายเป็นว่าดวงจันทร์ของโลกนี้มีขนาดใหญ่กว่า และสว่างยิ่งกว่าโลกที่เขา... จันทร์เต็มดวงอย่างนั้นหรือ? ในโลกก่อนหน้า พระจันทร์เต็มดวงเป็นตัวแทนของครอบครัวพร้อมหน้า ณ ที่แห่งนี้จะมีความหมายเดียวกันไหม? มีใครเป็นคนในครอบครัวข้าบ้าง? พวกเขาอยู่ที่ใดกัน?
เขาหยุดเท้าลงและจ้องมองยังพระจันทร์เต็มดวง
เหมือนถูกดึงดูดสายตาให้ติดตรึง หัวใจเขาเต้นรัวเร็วและเร็วขึ้น...
ในที่สุด เขายกมือขึ้นกุมบริเวณหัวใจ
แล้วทรุดเข่าลงกับพื้น ทั่วทั้งร่างสั่นสะท้าน บนหน้าผากผุดเหงื่อกาฬเย็นเยียบร่วงพราวอย่างรวดเร็ว
“อัก..อ๊าก..” แม้ว่าเขาจะพยายามกัดฟันแน่น
เสียงครางอย่างเจ็บปวดก็ยังคงเล็ดรอดออกจากปาก
“เจ้านาย! เกิดอะไรขึ้น?
ท่านเป็นอะไรไป?” หนานเอ๋อร์ที่ติดอยู่ในกระบี่จักรพรรดิใต้ตื่นตกใจร้องเรียกเขา
แต่ไร้การตอบกลับใดๆ ความเจ็บปวดแสนสาหัสได้พรากสติ , สายตา ,
การได้ยิน , สัมผัสทางใจ ทุกสิ่งทุกอย่างสับสนปั่นป่วน
ชั่วขณะที่เขามองพระจันทร์เต็มดวง
กระแสลมปราณในร่างหลายสิบสายก็ปั่นป่วนขึ้นมา ราวกับว่ากระแสลมปราณได้กระแทกกระทั้นอวัยวะภายในอย่างรุนแรง
แม้จะมีกระแสลมปราณอ่อนแอบางสายที่พยายามหยุดยั้ง หากแต่ก็ถูกทำลายไปอย่างรวดเร็ว
เขารู้สึกเจ็บปวดราวกับถูกมีดนับสิบๆเล่มทะลวงตัดอวัยวะภายใน
เหตุ....เหตุใดกระทั่งความรู้สึกเจ็บปวดเจียนตายยังรู้สึกคุ้นเคย...
หรือข้าเคย...ทนทรมานแบบนี้อยู่บ่อยๆเช่นนั้นหรือ?
ความเจ็บปวดเกินจะทานทน
สติของเขาได้หลุดลอยไป เขาฟุบล้มลงกับพื้นอย่างรุนแรงขณะที่มือยังคงกุมอยู่ตรงตำแหน่งหัวใจ
จบลงเช่นนี้หรือ….. ยังไม่ทันกระทั่งเริ่มเลย?
เขากระซิบแผ่วเบา
โลกทั้งใบเลือนรางลงเป็นสีเทา ไม่ปรากฎแสงสว่างอีกเลย
“เจ้านาย! ท่านเป็นอะไรไป....ฮือ....เจ้านาย
ได้โปรดตื่นขึ้นมาเถอะ อย่าทำให้หนานเอ๋อร์กลัวสิ”
“ฮือ....เจ้านาย โปรดตื่นขึ้นมาเดี๋ยวนี้
ได้โปรดอย่าล้อหนานเอ๋อร์เล่น”
“ฮือ....หนานเอ๋อร์ที่น่าสงสาร...ข้าเพิ่งจะได้พบกับเจ้านาย
แต่ตอนนี้เขากลับมาตายเสียแล้ว... ใครก็ได้ช่วยหนานเอ๋อร์ด้วย?”
ไม่มีผู้ใดได้ยินเสียงนางเรียกอยู่ในป่าเงียบงัน
แสงจันทร์สาดส่องลงบนร่างเย่หวูเฉิน ไร้สัญญาณของชีวิตบนร่างกาย เมื่อเวลาล่วงผ่านไป
พระจันทร์ก็เคลื่อนคล้อยไปทางทิศตะวันตก
ในที่สุด ม่านรัตติกาลก็จางหายไป
ขณะที่แสงวันใหม่ยามรุ่งสางปรากฎขึ้น เหล่าสิ่งมีชีวิตกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง เว้นแต่เย่หวูเฉินที่ยังคงไม่ขยับเขยื้อนราวกับเขาได้ตายไปแล้วจริงๆ
เย่หนิงเสวี่ยวิ่งมาตลอดทาง
นางไม่กล้าแม้แต่จะพัก ไม่กล้ากระทั่งจะหยุด เพราะหากนางหยุดเมื่อไหร่ นางกลัวว่าจะไม่อาจตามพี่ชายของนางได้ทันอีกเลย
ตลอดเส้นทาง ไม่ทราบว่านางล้มคะมำไปกี่ครั้ง ที่มือเท้าและใบหน้าไม่รู้ว่ามีกี่แผล
ที่ถูกบาดด้วยกิ่งไม้และใบคม แต่ละครั้งที่ล้มลง นางจะรีบลุกขึ้นและอดกลั้นความเจ็บปวดกับน้ำตา
นางปาดเช็ดน้ำตาพร้อมกับเรียกชื่อพี่ชาย และออกวิ่งตามกลิ่นอายของพี่ชายนางต่อไป
หลังจากวิ่งมาตลอดวันตลอดคืน
ใบหน้านางมีแต่รอยขีดข่วน รอยแล้วรอยเล่า นางเจ็บปวดจนไม่อาจรู้สึกเจ็บปวดได้อีก ตลอดวันและคืนนางไม่กินหรือดื่มสิ่งใด
ในที่สุด โลกที่ปรากฎเริ่มเลือนรางเป็นสีเทา นางไม่อาจมองเห็นได้ชัด
ความปรารถนาสูงสุดในเวลานี้คือได้เห็นเงาร่างของพี่ชายนางปรากฎขึ้นในครรลองสายตา
ฟุ่บ!
นางสะดุดเข้ากับบางสิ่งและล้มลงบนพื้นอีกครั้ง
แต่ความเจ็บปวดทำให้สตินางแจ่มชัดขึ้นมาเล็กน้อย นางพยายามใช้มือน้อยๆฝืนพยุงร่างกายขึ้น
หากแต่นางก็ล้มฟุบลงไปอีกครั้งทันที ในครั้งนี้ นางได้เห็นสิ่งที่สะดุดไปอย่างชัดเจน
ในศีรษะนางว่างเปล่าอย่างฉับพลัน
เพราะสิ่งนั้นคือพี่ชายของนาง ผู้ที่นางไล่ตาม
แม้เขาจะนอนอยู่บนพื้นและไม่อาจเห็นใบหน้า แต่จะลบความคุ้นเคยกับเสื้อผ้าและเส้นผมของเขาได้อย่างไร?
นางลืมความเจ็บปวดเหนื่อยล้าของร่างกาย
ด้วยความกลัวจับจิตนางจึงกัดฟันยืนและพาร่างตรงไปที่เขา นางเขย่าร่างและร้องเรียกด้วยน้ำเสียงปานขาดใจ
“ท่านพี่ เกิดอะไรขึ้นกับท่าน พี่ชาย? ได้โปรดตื่นขึ้นมา นี่หนิงเสวี่ยเองนะ!”
“ท่านพี่ ได้โปรดอย่าทำให้ข้ากลัว...
ท่านพี่ ตื่นขึ้นมาเถอะ ได้โปรด!”
“ฮืออออ......!”
ในที่สุดนางก็ไม่อาจทานทนและร้องไห้อย่างสิ้นหวัง
ด้วยดวงใจที่แตกสลาย
………………………………………………..
ณ เมืองเทียนเล่ย
เป็นพื้นที่ที่อยู่ห่างไกล มีบ้านเรือนผู้คนตั้งอยู่ประปราย
เป็นสถานที่ที่เหมาะจะใช้ชีวิตอยู่อย่างสันโดษหรือเป็นที่หลบภัย เนื่องจากสงครามจะไม่ลุกลามมาถึงยังที่แห่งนี้
หากแต่ยังคงมีเรื่องยากลำบากที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เนื่องจากขาดแคลนสินค้าและผลผลิต
คนท้องถิ่นจะไม่ค่อยอยากออกไปจากที่นี่เท่าใดนัก เนื่องจากบนท้องฟ้ามีอสูรนภาทรงพลังอยู่
นกเทียนเล่ยที่อาศัยอยู่ห่างจากเมืองไม่เกิน 10 ลี้ และเพราะว่านกเทียนเล่ย
ภูเขาที่มียอดไม่สูงเท่าใดนักนี้จึงเรียกว่าเขาเทียนเล่ย และเมืองแห่งนี้จึงเรียกว่าเมืองเทียนเล่ย
อสูรปีศาจระดับสวรรค์
จะมีผู้ใดหาญต่อกรกับมันได้? นอกเสียจากอัจฉริยะจำนวนน้อยนิดผู้บรรลุขอบเขตสวรรค์และขอบเขตพระเจ้า
สำหรับคนธรรมดาทั่วไป อสูรนภาเป็นเหมือนกับเทพผู้พิทักษ์ พวกเขาตั้งรกรากเป็นปึกแผ่นมั่นคงเพราะมั่นใจว่านกเทียนเล่ยอสูรนภาจะปกป้องพวกเขา
เพราะเหตุนี้ ประชากรในเมืองจึงค่อยๆเพิ่มขึ้นทีละน้อย และมีผู้คนหลากหลายทุกประเภท
ในยามเช้า ชายชราผู้หนึ่งอายุราว 60 ปี สะพายตะกร้าไว้บนหลังแล้วมุ่งหน้าเข้าสู่ป่าทางเหนือของเมือง
เขาดูเป็นคนใจดีและดูคล้ายนักปราชญ์อยู่บ้าง แต่ดูจากคิ้วของเขา ดูเหมือนเขากำลังกังวลกับบางสิ่งอยู่
“นี่ก็ผ่านมา 20 ปีแล้ว
เมืองเทียนหลงจะยังคงเป็นเหมือนเมื่อก่อนอยู่รึปล่าวนะ?” เขากล่าวกับตนเองและแหวกสุมทุมพุ่มไม้อย่างต่อเนื่อง
มองหาวัตถุดิบผสมยาที่เขาต้องการ
ในขณะนั้นเอง มีเสียงเคลื่อนไหวของพุ่มไม้ดังอยู่ไกลๆ
ชายชราขมวดคิ้วและเตรียมซุกมือเข้าในตะกร้า แต่ตัวเขากลับแข็งค้างในทันที
เด็กหญิงผู้หนึ่งมีบาดแผลขีดข่วนทั่วใบหน้าและลำแขน
กระทั่งรองเท้าขาวสีขาวหิมะของนางยังเปื้อนไปด้วยเลือดครึ่งใบ
นางลากชายหมดสติคนหนึ่งมาทีละน้อยๆอย่างยากลำบาก
นางไม่รู้ว่าลากเขามานานเท่าไหร่
ด้วยความพยายามอย่างสุดแสน นางรวบรวมเรี่ยวแรงทุกหยดหยาดจากร่างอ่อนแอ เพราะนางไม่อาจปล่อยให้เขาตายและนางจะต้องช่วยชีวิตเขาให้ได้
เมื่อมองเห็นชายชรา ดวงตาสิ้นหวังของเย่หนิงเสวี่ยสาดประกายในที่สุด
ด้วยแรงเฮือกสุดท้ายนางคุกเข่าลงบนพื้นและกล่าวด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “ท่านปู่...
ท่านปู่... ได้โปรด... ช่วย... เขาด้วย..”
มองดูใบหน้าซีดขาวของพี่ชายครั้งสุดท้าย
ในที่สุดนางก็ล้มลงบนพื้นดิน