ตอนที่ 14 เพื่อท่านพี่
“พุทโธ่ ผ่านมาตั้ง 5 ปี
จิตใจเจ้าควรสงบเยือกเย็น แต่พอเจ้ากลับมาแต่ละครั้งจิตใจกลับไม่อาจสงบลง เจ้า...
ไม่อาจขจัดสิ่งที่เรียกว่า ‘ความรัก’
ออกได้” ปู่หลงถอนหายใจ
หลงเจิ้งหยางเผยสีหน้าเจ็บปวด “ข้าไม่อาจลืมนางได้... ตั้งแต่ครั้งแรกที่ข้าพบนาง ข้าก็ไม่อาจลืมนางได้อีกเลย ข้าแอบมองนางอยู่เงียบๆโดยที่นางไม่รู้ตัวในทุกครั้งที่ข้าไปเมืองเทียนหลง ภายหลังข้าไม่สามารถเห็นหน้านางได้ แต่ข้ายังคงพอใจได้ยินเพียงแค่เสียงนาง ตราบเท่าที่นางยอมรับข้า ข้ายอมสละทิ้งทุกอย่างได้เหมือนเช่นที่ท่านเคยบอกข้า”
“ฮ่าฮ่า หญิงสาวที่ชื่อฉุ่ยเมิ่งฉานกลับทำให้เจ้าหลงงมงาย
นางย่อมไม่ใช่คนธรรมดาเป็นแน่ ข้าอยากจะพบเจอนางเพียงแต่ข้าไม่ยุ่งเรื่องทางโลก
วีรบุรุษทุกผู้คนต่างลุ่มหลงในความงาม เจ้าไม่ต้องตำหนิตัวเองหากเจ้าจะงมงายในรัก
แต่ว่า... เจ้าต้องพร้อมรับผลของมันด้วย” ปู่หลงเงยศีรษะมองฟ้าและถอนหายใจยาว
หลงเจิ้งหยางแตะหน้าผากแล้วสูดหายใจยาว
ใบหน้ายังคงขมขื่น เนื่องจากเขาลุ่มหลงในสตรีที่เขาไม่ควรหลงรัก
เขามาหาปู่ด้วยสองเหตุผล
หนึ่งคือฝึกฝนจิตใจ สองคือเพื่อหลีกหนีความรู้สึกและพยายามลืมมัน อย่างไรก็ตาม
ความรักนั้นดั่งยาพิษ ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา เขาไม่เพียงล้มเหลวที่จะลืม
แต่เขากลับยิ่งเศร้าเมื่อหวนคิดกลับไปถึงเรื่องราว
“หยางเอ๋อร์ เจ้าไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่นับจากวันพรุ่งนี้ จงกลับไปซะ เวลา 5 ปีถือว่านานพอแล้ว หากเจ้ายังขืนอยู่ที่นี่ต่อก็มีแต่จะเสียเวลา
และทำลายโอกาสของเจ้า”
หลงเจิ้งหยางมองลงต่ำก่อนจะกล่าว “ตกลง...เพียงแต่
ข้าเพียงไม่อยากจากท่าน ท่านปู่”
ปู่หลงตบบ่าเขาเบาๆแล้วยิ้ม “หากเจ้าเป็นห่วงข้า
เจ้าก็แค่กลับมาเยี่ยมข้าบ่อยๆเมื่อมีเวลา หยางเอ๋อร์ หากเจ้าไม่อาจลบนางออกจากใจ
หรือไม่อาจหลบหลีความรู้สึกที่แท้จริง เช่นนั้นก็จงอย่าหลบลี้ ฟังคำชายแก่ให้ดี
บุรุษที่แท้จริงไม่สะดุดเพราะความรัก... ฮ่าๆ ข้าล้อเล่น
หากบุรุษถึงคราไม่สมหวังในรักและยอมเลิกล้ม เช่นนั้นจึงเรียกว่าเป็นผู้แพ้ที่แท้จริง
เจ้าเข้าใจหรือไม่?”
หลงเจิ้งหยางผงกศีรษะอย่างเคร่งขรึม
“ข้าเข้าใจแล้ว ท่านปู่ ข้าจะไม่มีวันยอมแพ้”
“ฮ่าฮ่า เอาละ
ข้าเองก็มีจุดประสงค์อื่นที่รับเย่หนิงเสวี่ยมาเป็นหลาน หากวันหนึ่งนางได้ไปยังเมืองเทียนหลง
นางย่อมถูกปฏิเสธเพราะเส้นผมสีขาวและรอยแผลเป็นน่าเกลียด แต่ด้วยสถานะเช่นนี้จะสามารถปกป้องนางได้
ยิ่งกว่านั้น ตอนนี้เจ้านับว่าเป็นพี่ชายนางจึงควรปกป้องไม่ให้นางถูกใครรังแก
ไม่เช่นนั้น ข้าเองก็ไม่อาจอยู่อย่างมีความสุข”
หลงเจิ้งเทียนผงกศีรษะอีกครั้ง “ข้าจะจดจำใส่ใจไว้อย่างดี
ข้าจะไม่ยอมให้ใครรังแกนาง เพราะว่านางคือน้องสาวข้า”
ปู่หลงพยักหน้าจากนั้นมองตรงไปที่บ้าน
“เจ้าหนุ่มนั่นไม่อาจมีชีวิตอยู่รอดจนถึงพรุ่งนี้ได้ หลังจากพรุ่งนี้
ปล่อยเย่หนิงเสวี่ยให้อาศัยอยู่กับข้า หากวันหนึ่งข้างหน้านางต้องการจากไป ข้าจะให้นางไปเริ่มต้นที่เมืองเทียนหลง”
แววตาเขาล้ำลึก...
จากประสบการณ์ชีวิตและสถานะในสังคม ทำไมเขาถึงได้รับใครบางคนมาเป็นญาติได้ง่ายๆ? เหตุผลที่แท้จริงกระทั่งเขายังสับสน
มันเหมือนมีเสียงบอกเขาว่านี่เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด ที่เก็บเด็กหญิงประหลาดผู้นี้ไว้ใกล้กับตัว
หากแต่...พวกเขาประเมินความดื้อรั้นยืนกรานของเย่หนิงเสวี่ยต่ำเกินไป
ในคืนนั้น
ระหว่างที่ปู่หลงกับหลงเจิ้งเทียนนอนหลับอยู่ในบ้าน เย่หนิงเสวี่ยอยู่กับเย่หวูเฉิน
ในยามดึก เงาสีขาวน้อยๆแอบเปิดประตูห้องออกมา แล้วรีบวิ่งตรงไปทางทิศตะวันตก ไปสู่ที่ตั้งของภูเขาเทียนเล่ย
นางไม่ทำให้เกิดสุ้มเสียงใดๆ
เพราะนางรู้ดีว่าหากนางถูกพบ นางจะถูกหยุดเอาไว้
นางรู้แค่เพียงว่ายังมีความหวังเล็กน้อยที่จะช่วยพี่ชายเหลืออยู่
หากพี่ชายนางจากไป นางก็ไม่ต้องการมีชีวิตอยู่อีกต่อไป
เย่หนิงเสวี่ยไม่ทันได้สังเกต ว่าริมฝีปากของเย่หวูเฉินสั่นเล็กน้อยในขณะที่นางกำลังแอบออกไป...
เพราะว่า เขาต้องการเรียกให้นางกลับมา
แม้ว่าเขาจะยังไม่ได้สติ
แต่เขาก็ไม่อาจห้ามร่างกาย วิญญาณเขาล้วนรับรู้ ว่าเย่หนิงเสวี่ยวิ่งตามเขามาด้วยทุกสิ่งที่นางมี
นางสะดุดกับร่างของเขา ดึงเขาออกจากป่าด้วยร่างอ่อนแอของสตรีอยู่หลายชั่วยาม
จนกระทั่งพบกับท่านปู่หลง... เขาได้ยินทุกถ้อยคำที่พวกเขาคุยกัน ได้ยินทุกคำแม้ว่าจะเบาแค่ไหน
ได้ยินกระทั่งเสียงหยาดน้ำตาของเย่หนิงเสวี่ย และนั่นทำให้หัวใจเขาแทบแตกสลาย
ในเวลานี้
นางกำลังไปที่ภูเขาเทียนเล่ยเพื่อขโมยไข่ของนกเทียนเล่ย นางยอมใช้ชีวิตนางเพื่อช่วยยืดชีวิตเขาออกไปอีกเพียงไม่กี่อาทิตย์
กระแสลมปราณยังคงตีกลับปั่นป่วนอยู่ในร่างกายเขา
ราวกับกระแสลมปราณเหล่านี้พยายามจะฉีกทำลายร่างของเขาออกเป็นชิ้นๆ
นี่ย่อมเป็นความเจ็บปวดทรมานเจียนตาย
หากแต่ไม่อาจเทียบกับหัวใจที่ร้าวรานของเขาได้เลย
เสวี่ยเอ๋อร์...เขาเอ่ยชื่อของนางอย่างแผ่วเบา
หัวใจที่เฉยชาของเขากลับค่อยๆมีบางสิ่งเติมเต็มเข้ามาทีละน้อยๆ
พื้นดินสว่างทั่วเมื่ออาบไล้ด้วยแสงจันทร์บนฟากฟ้า
ค่ำคืนเหน็บหนาวเหมือนสายน้ำเย็น เงียบสงบหากแต่ดูน่ากลัว
เป็นไปได้อย่างไรที่เด็กหญิงตัวเล็กๆอายุ
10 ขวบจะไม่กลัว?
หัวใจนางเจ็บปวดเมื่อนึกถึงภาพตอนที่นางขดคู้อยู่ในอ้อมแขนของพี่ชายและนอนหลับไปอย่างมีความสุข
เพิ่งผ่านมาแค่เมื่อวานซืนเท่านั้น คิดเช่นนี้แล้ว นางจึงเร่งฝีเท้าขึ้นไปอีก
เมื่อนางมาถึงตีนเขาหลังจากวิ่งมาหนึ่งชั่วยาม
ทั่วร่างนางก็ชุ่มไปด้วยเหงื่อ หลังจากร่วงตกลงมาอยู่หลายครั้ง นางพยายามหาทางขึ้นไปทีละนิดโดยไม่ให้มีสุ้มเสียง
เนื่องจากสัตว์อสูรทุกตัวบนเขาเทียนเล่ยตอนนี้กำลังหลับอยู่ นางจะตกอยู่ในอันตรายหากปลุกพวกมันให้ตื่นขึ้นมา
ภูเขาไม่ได้สูงหรือชันมากนัก
สัตว์อสูรส่วนใหญ่ไม่ได้ดุร้าย แต่ไม่มีทั้งมนุษย์และสัตว์อสูรใดๆกล้าขึ้นไปยังยอดเขา
เนื่องจากที่นั่นเป็นอาณาเขตของนกเทียนเล่ย ถึงแม้จะกล่าวกันว่านกเทียนเล่ยไม่จู่โจมมนุษย์
แต่ก็ไม่มีผู้ใดกล้าลองเอาชีวิตพวกมันไปเสี่ยง สำหรับพวกสัตว์อสูร
เฉพาะพลังกดดันของอสูรสวรรค์ก็ทำให้พวกมันไม่กล้าเข้าใกล้แล้ว
หินแหลมคมและพุ่มหนามบาดใบหน้าเย่หนิงเสวี่ยและทิ้งรอยแผลไว้
นางพยายามรั้งน้ำตาไม่ให้ไหลออกมาแม้ว่าจะเจ็บปวดเพียงใด นางปีนสูงขึ้นไปเรื่อยๆและยืนกรานจะไม่ถอยหลังกลับ
ราวกับเทพีแห่งโชคชะตาประทานพรให้นาง
เนื่องจากนางไม่ได้ปลุกหรือเจอสัตว์อสูรใดๆในระหว่างทางเลย นางรู้สึกเหนื่อยล้าขณะที่ใกล้จะถึงยอดเขา
แต่นางก็ยังคงรั้งลมหายใจไม่ให้หอบแรงและเผลอไปปลุกบางอย่างตื่นขึ้นมา
เย่หนิงเสวี่ยซ่อนอยู่หลังหินก้อนใหญ่
และแอบมองสำรวจไปรอบๆยอดภูเขา เป็นพื้นที่ราบกว้างอยู่บนยอดภูเขานั้น
รังนกขนาดใหญ่ตั้งอยู่ตรงพื้นลานกว้าง
อย่างไรก็ตามไม่มีนกตัวโตอยู่ในรังอย่างที่นางจินตนาการไว้
มีเพียงลูกกลมๆสีขาวต้องสะท้อนอยู่ใต้แสงจันทร์
เย่หนิงเสวี่ยหัวใจเต้นระรัว
นางค่อยๆเดินเข้าไปที่รังนกอย่างเงียบเชียบ
จากนั้นนำไข่มาอุ้มไว้ในอ้อมแขนและยิ้มด้วยความพอใจ
ทันใดนั้น มีเสียงโกรธเกรี้ยวของนกดังลั่นจากบนท้องฟ้า
เงามืดปกคลุมแสงดวงจันทร์ เย่หนิงเสวี่ยกอดไข่อสูรสวรรค์ไว้แน่น เพราะนี่เป็นสิ่งเดียวที่จะช่วยพี่ชายได้
นางแหงนมองขึ้นไปบนฟ้า สีหน้าขาวซีดด้วยความหวาดกลัว