ตอนที่ 34 เย่ฉุ่ยเหยา
สวนของเย่ฉุ่ยเหยากับเย่หวูเฉินเพียงถูกกั้นแยกออกจากกันด้วยกำแพง
ในสวนของนางดูเรียบธรรมดาเกินความคาดหมายของเย่หวูเฉินไปบ้าง เพราะมันดูธรรมดากว่าสวนของเขาเสียอีก
พื้นลานว่างเปล่ามีเพียงโต๊ะหินและเก้าอี้ล้อมรอบอยู่ 4 ตัว
ที่ข้างๆมีสระน้ำใสสะอาด ในน้ำมีดอกบัวสีเขียวผุดดอกตูมอยู่ ซึ่งนอกจากสิ่งเหล่านี้แล้วที่เหลือก็ไม่มีอะไรเลย
ยิ่งไปกว่านั้นที่นี่ยังเงียบจนเกินไป เงียบราวกับว่าไม่มีใครอาศัยอยู่ที่นี่
เย่หวูเฉินมองไปรอบๆ
มุมปากของเขาเผยรอยยิ้มอบอุ่น เขาพาหนิงเสวี่ยก้าวตรงไปยังประตูห้องตรงกลางที่ปิดไม่สนิท
เขาค่อยๆผลักประตูเปิดเบาๆ
“ออกไป!”
เขายังไม่ทันได้ก้าวเข้าไปก็ได้ยินน้ำเสียงไร้อารมณ์เอ่ยมาจากด้านใน
จากนั้นความเงียบก็เข้าปกคลุมอีกครั้งและไม่มีเสียงใดๆอีก
หนิงเสวี่ยหยุดเดินและส่งสายตาถามพี่ชายนาง
เย่หวูเฉินดึงนางเบาๆเดินเข้าไปข้างในโดยไม่มีความลังเล
ราวกับว่าเขาไม่ได้ยินเสียงเย็นชาเมื่อครู่นี้
มีกลิ่นกายหอมของสตรีต้องจมูกเขาเบาๆ
เย่หวูเฉินสูดดมเบาๆขณะที่กวาดสายตาไปรอบๆห้องนอนของหญิงสาว และจากนั้น
เขามองไปยังด้านหลังของห้องและพบหญิงสาวคนหนึ่ง นางสวมใส่ชุดสีฟ้าที่ยาวปกคลุมขา
ผมดำขลับงดงามพาดประบ่า เอวของนางอ้อนแอ้นงดงาม นางสูงเพรียวไม่ต่ำไปกว่าเย่หวูเฉิน
เย่หวูเฉินอ้าปากค้างด้วยความชื่นชม
นางคู่ควรกับการถูกเรียกว่าเป็น 1 ใน 3 สุดยอดสาวงามของอาณาจักรเทียนหลง
ขนาดเขาเพียงแค่มองนางจากด้านหลังยังเพียงพอที่จะหยุดเวลาลง นางอายุเพียง 19
ปี แต่กลับมีเรือนร่างที่ยากจะหาได้ในสตรีใด
แม้ว่านางดูผอมไปหน่อยสำหรับเย่หวูเฉิน แต่ส่วนสูงของนาง.... คำนวณจากความทรงจำ
นางคงสูงราวๆ 175 เซนติเมตร
ในเวลานี้เองม้วนกระดาษขาวถูกคลี่กางออกที่เบื้องหน้านาง
มือของนางค่อยๆวาดอย่างนุ่มนวล นางได้ยินเสียงฝีเท้าหากแต่ไม่ได้หันไปมองและกล่าวเสียงเย็นชาซ้ำอีกครั้ง
“ออกไป!”
“นี่คือทั้งหมดที่ท่านจะพูดกับน้องชายของท่านหรือ? ท่านไม่รู้กระทั่งว่าข้าอยู่หรือตายตลอดปีที่ผ่านมา
แต่พี่สาวข้ากลับไม่ยินดีต้อนรับและขับไล่ข้าแทน ฮ้า
ช่างเป็นน้องชายที่น่าสงสารเสียจริง” เย่หวูเฉินชื่นชมแขนขาวราวหยกของนาง
เรือนร่างยโสและเพรียวบาง ลำคอระหงษ์ขาวหิมะอันละเอียดอ่อน ถึงเขาจะพูดดูน่าสงสาร
แต่เขาก็เรียกนางว่าพี่สาวอย่างง่ายดายทั้งๆที่ไม่ยอมเรียกคนอื่นๆว่าเป็นบิดามารดา
มือของหญิงสาวหยุดและในที่สุดนางก็หันมามอง
เย่หวูเฉินได้เห็นใบหน้านางในที่สุด ในชั่วขณะนั้นเอง
เขารู้สึกว่าจู่ๆโลกก็สว่างขึ้นมาทันใด ราวกับมีก้อนหินโยนลงไปในทะเลสาบและก่อระลอกคลื่นกระเพื่อมไหวในจิตใจ
ใบหน้าของนางละเอียดละออไร้ที่เปรียบ คิ้วนางเรียวยาว และนางมีร่างกายที่งดงาม
ดวงตางดงามสูงส่งราวกับมองเขาลงมาจากเบื้องบน ราวกับนางฟ้ากำลังมองดูโลกโสมม
แม้ว่าชุดสีฟ้าของนางดูจะใหญ่ไปบ้าง แต่หน้าอกของนางก็ยังคงนูนผงาดให้เห็นชัดเจน
เย่หวูเฉินไม่อาจหยุดสายตามองอยู่ครู่หนึ่งจนหัวใจเต้นผิดจังหวะ
หากแต่โทสะที่ปกคลุมอยู่บนหน้าของนางไม่ใช่เล็กน้อย
นางปล่อยรังสีเย็นเยียบและห่างเหินออกมา กระทั่งยามที่นางพบกับน้องชายที่เชื่อกันว่าตายไปเป็นปี
นางกลับยังคงไม่มีวี่แววความดีใจบนใบหน้าแม้แต่น้อย คิ้วของนางกลับขมวดมุ่นแทน
เพราะว่าไม่เคยมีบุรุษคนใดเคยเข้ามาในห้องของนางมาก่อนแม้กระทั่งพี่ชายและพ่อของนาง
ยิ่งกว่านั้น นางยังมีความรู้สึกแปลกๆกับน้องชายที่ยืนอยู่ต่อหน้า
ราวกับว่าเขาเปลี่ยนไปเป็นคนละคน
“ดีแล้วที่เจ้ากลับมา เอาละ
ออกไปได้”
นางมองเย่หวูเฉินกับหนิงเสวี่ย
จากนั้นก็หันไปทางอื่นแล้วกล่าวคำสั้นๆอย่างเย็นชา นางหันกลับไปอีกครั้ง
แม้กระทั่งผมสีขาวของหนิงเสวี่ยยังไม่อาจดึงดูดสายตาของนาง
ราวกับว่าไม่มีสิ่งใดในโลกสามารถทำให้จิตใจนางกระเพื่อมไหวได้
เย่หวูเฉินยักไหล่.....
มารดาของเขาบอกไว้แล้ว แต่พี่สาวของเขากลับเทียบได้กับประติมากรรมน้ำแข็ง
ยิ่งกว่านั้นยังยากที่จะละลายเสียด้วย
เขาไม่อาจไม่นึกถึงเรื่องที่หลงเจิ้งหยางเคยบอกก่อนหน้า
แม้ว่าเขาเป็นถึงองค์ชาย เย่ฉุ่ยเหยากลับไม่เคยเหลียวมองเขาซ้ำสองอีกเลย
ในเวลานี้เอง
นางเริ่มลงมือวาดภาพอย่างนุ่มนวล พู่กันของนางตวัดวาดราวกับร่ายรำ
ปรากฎภาพของยอดเขาสูงตระหง่านงดงามบนกระดาษ นางลากเส้นจากรากฐานเขา
จากล่างขึ้นบนกระดาษ หน้าผาสูงชันปรากฎในฉาก นี่เป็นเพียงหญิงสาวอายุ 19 ปี หากไม่คำนึงถึงเส้นที่ลากหรือหมึกเงาดำ
ท่วงท่าของนางนับได้ว่าเข้าขั้นจิตรกรยอดฝีมือ ใต้มือของนาง
ยอดเขาสูงเด่นตระหง่านดูโอ่อ่า หากผู้คนมองที่มัน
พวกเขาย่อมรู้สึกราวกำลังยืนอยู่ต่อหน้าขุนเขา และแหงนศีรษะขึ้นมองอย่างชื่นชม
เย่หวูเฉินไม่อาจหักห้ามตัวเองให้ลอบส่ายศีรษะ
แม้ว่านางจะเปี่ยมทักษะในการวาด แต่ยังคงขาดจิตวิญญาณของสายลม
และถึงแม้ภาพของนางจะดูสมจริงอย่างยิ่ง หากยังดูแข็งกระด้างไปบ้าง
บางทีผู้คนส่วนใหญ่ของโลกใบนี้รวมทั้งพี่สาวนางฟ้าของเขาจะไม่รู้จักการแหกคอก
“หญิงสาวมักชื่นชอบการวาดดอกไม้และสายน้ำ
แต่พวกนางหายากที่ชื่นชอบวาดภูเขา ภาพภูเขาเด่นตระหง่านภาคภูมิอาจดูไม่ค่อยเหมาะสมกับท่าน
หากท่านปรารถนาจะเห็นภูเขาที่สงบและสันโดษ น้องชายของท่านสามารถพาท่านออกไปชมได้
ไม่มีความจำเป็นต้องอยู่แต่ในห้องคอยแต่วาดรูป”
เย่หวูเฉินกล่าวอย่างนุ่มนวลและส่ายศีรษะพร้อมถอนหายใจ “พี่หญิง แม้ว่าทักษะการวาดรูปของท่านจะเข้าขั้นสมบูรณ์แบบ และมีคนไม่มากที่เหนือกว่าท่าน
แต่ว่า....โชคไม่ดี ที่มุมมองทางศิลปะของท่านยังคงห่างไกลจากความน่าหลงใหล
เย่ฉุ่ยเหยาปิดการรับรู้เสียงของเขา
มือของนางยังคงวาดต่อ แต่คิ้วของนางมุ่นเล็กน้อยอยู่แวบหนึ่ง
ทันใดนั้นมีเงาวาบผ่านเบื้องหน้านาง
มีมืออ่อนนุ่มกุมมือของนางไว้ นางดึงมือออกไม่รู้ตัวและเกือบอุทานออกมา
นางพบว่าพู่กันของนางอยู่ในมือเย่หวูเฉินแล้วเรียบร้อย
นางไม่ทราบว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่โต๊ะของนางเต็มไปด้วยภาพวาดชิ้นที่ยังไม่เสร็จดี
“เมื่อวาดภาพภูเขาและยอดเขาสูง
หากท่านวาดผืนดินและแผ่นฟ้า ท่านไมจำเป็นต้องวาดรูปภูเขาที่สมบูรณ์”
ในขณะที่กล่าว
มือขวาของเขาก็เริ่มต้นตวัดพู่กันอย่างรวดเร็ว สายตาเขามองต่ำ สีหน้าเขาเงียบสงบ และเขามีรอยยิ้มบางเบาบนใบหน้า
เย่ฉุ่ยเหยาเผลอเปิดใจอยู่ชั่วขณะ และนางไม่กล่าวสิ่งใด
ขณะที่สายตานางตกลงบนภาพวาด แววตานางเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง
เย่ฉุ่ยเหยาดวงตาแวววาวในทันที
เขาไม่ได้วาดภูเขาและยอดเขาสูง และเขาเพียงแค่วาดกลุ่มเมฆปรากฎรางๆตรงยอดเขา
แต่ผู้คนสามารถจินตนาการได้ว่าสันเขานี้สูงชันเพียงใดด้วยการนำสายตาของกลุ่มเมฆ
เมื่อเทียบกับรูปของนางที่วาดยอดเขาลงไป กลับกลายเป็นแค่ภูเขาสูงตระหง่านธรรมดา
แค่มุมมองด้านศิลปะที่ต่างออกไปกลับให้ผลลัพท์แตกต่างราวฟ้ากับดิน
อีกทั้งภาพที่เขาวาดยังใช้เวลาน้อยกว่าหนึ่งนาที
“ความลับของภูเขาอยู่ที่เส้นขอบของก้อนเมฆ
มันดีกว่าวาดภูเขาสูง 10,000 จั้ง! เพื่อจะวาดภูเขา
ท่านต้องเริ่มวาดที่เมฆก่อน” เย่หวูเฉินยิ้มเล็กน้อย
เขาจุ่มปลายพู่กันแล้วยื่นให้กับเย่ฉุ่ยเหยา และตอนนี้เอง มือของเขาลูบหลังมือนางไปเอง
มือของนางนุ่มราวหิมะและอุ่นเหมือนหยก