ตอนที่ 48 กระบี่คร่าสายลม
ประสาทการได้ยินของหลินเสี่ยวนั้นยอดเยี่ยมอย่างมาก
เมื่อเขาเพ่งสมาธิจดจ่ออยู่กับการฟัง เขาได้ยินเสียงคำตอบของฮั่วฉุ่ยโหรว
เขาดีใจเป็นอย่างมากและหันไปยิ้มให้ฮั่วฉุ่ยโหรว ฮั่วฉุ่ยโหรวเบือนหน้าหลบด้วยความตกใจ
นางก้มศีรษะลงต่ำบนแก้มฝาดเป็นสีแดง
ปฏิกิริยาเขินอายของหญิงสาว ทำให้หลินเสี่ยวพึงพอใจเป็นอย่างมาก เขาตกหลุมรักฮั่วฉุ่ยโหรวตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นนาง เพราะไม่เพียงนางจะเป็นหญิงงามล่มอาณาจักรแต่นางยังมีอุปนิสัยอ่อนโยนที่บุรุษต่างปรารถนาถึง เขายังแอบลอบไปดูนางอย่างลับๆทุกสองสามวันโดยที่นางไม่รู้ตัว ฮั่วฉุ่ยโหรวทราบมานานแล้วว่าสามีในอนาคตของนางคือบุตรชายคนโตของตระกูลหลิน และวันนี้เป็นวันแรกที่พวกเขาได้พบหน้ากัน
มีเสียงร้องร่ำดังขึ้นมา
ฮั่วฉุ่ยโหรวลูบนกที่เกาะอยู่บนไหล่ของนาง น้ำเสียงเล็กๆของนางเอ่ย “ดูเหมือนเสี่ยวชิงจะเริ่มหิวแล้ว”
“น้องชายท่านนี้ช่างมีฝีมือ หากแต่ยังนับว่าอ่อนด้อยกว่าข้าอยู่บ้าง
น้องชายเพิ่งผ่านการประลองต่อเนื่องมาสองครั้ง ท่านอยากจะพักก่อนหรือไม่?”
หลินเสี่ยวกล่าวอย่างสุภาพ
เขาตอบกลับด้วยการโจมตีสวนด้วยกระบี่
หลินเสี่ยวยิ้ม มือขวาของเขาชักกระบี่อ่อนออกมาจากแขนเสื้อ
เขากวัดแกว่งกระบี่อย่างคล่องแคล่วรับกระบี่สั้นของเล่งหยาอย่างไม่มีปัญหา
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าหลินเสี่ยวก็ขอรับข้อได้เปรียบเล็กน้อยนี้เอาไว้”
ขณะที่ถูกปัดป้องกระบี่
แรงสั่นสะท้านผ่านเข้ามาจนกระบี่สั้นเกือบหลุดออกจากมือ เขาไม่ยอมถอยแม้เพียงก้าวเดียว
สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปอย่างน่ากลัวราวซากศพ เขาอาศัยพลังจากความเร็วที่เหนือล้ำ เขาเป็นยอดฝีมือที่มีความเร็วดุจสายฟ้า
อาศัยความเร็วเพื่อลอบทะลวงการป้องกัน และนำไปสู่การสังหารในทันที
อย่างไรก็ตามฝ่ายตรงข้ามกลับสร้างสถานการณ์บังคับให้เขาต้องเปิดหน้าสู้
เขาจึงสูญเสียตำแหน่งในการใช้จุดเด่นของเขา
หลินเสี่ยวยิ้มเล็กน้อย
มือขวาของเขากวัดแกว่างกระบี่อย่างใจปรารถนา
กระบี่ในมือก่อรูปเป็นข่ายโยงใยล้อมปิดร่างเล่งหยาเอาไว้ ผู้ชมต่างส่งเสียงชื่นชมระคนความแปลกใจ
ชายชราสองคนที่อยู่ข้างหลงหยินมีสีหน้ายอมรับและพยักหน้าพร้อมเอ่ย
“ก่อนหน้านี้นายน้อยหลินมีพลังระดับ 10 ขั้นกลาง
ตอนนี้พลังของเขาอยู่ระดับ 10 ขั้นปลายแล้ว ยิ่งกว่านั้น
ยังไม่มีสัญญาณบ่งชี้แม้เพียงน้อยว่าเขาจะมีขีดขั้นจำกัด
เขานับว่าเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์อย่างเหลือเชื่อ”
“ทรงพลัง!”
เย่หวูเฉินขมวดคิ้ว
สายตาของเขาละออกจากร่างของฮั่วฉุ่ยโหรวและจับจ้องยังกระบี่ที่อยู่ในมือของหลินเสี่ยว
ติดตามดูทุกการเคลื่อนไหวของกระบี่
ผ่านไปไม่กี่ชั่วลมหายใจ เล่งหยาที่ถูกต้อนอยู่ในสถานการณ์เช่นนั้น
ฉับพลันเขากระโดดสูงขึ้นอยู่เหนือหลินเสี่ยวไม่กี่เมตร
หลินเสี่ยวเสือกส่งกระบี่เข้าใส่ เล่งหยาบิดร่างหลบทันที
คมกระบี่เกือบแทงถูกหน้าอกเขา หลังจากที่เท้าเล่งหยาแตะพื้น
เขารีบถอยออกห่างจากรัศมีกระบี่และจ้องมองที่หลินเสี่ยวอย่างเย็นชาด้วยดวงตาสีดำสนิททอแสงอันตราย
เล่งหยาสองมือกำด้ามกระบี่แน่น
เปลี่ยนจากถือกระบี่มือเดียวเป็นสองมือ หลินเสี่ยวรอเขาอีกครั้ง
กระบี่ยาวชี้ไปตรงหน้าพร้อมแสดงใบหน้ายิ้มบาง หลังจากเงียบอยู่ชั่วขณะ
เล่งหยาฉับพลันก็ใช้เท้าเคลื่อนไถลไปบนพื้น กระบี่ในมือเคลื่อนรวดเร็วราวกับร่ายรำ
และหายไปจากสายตาติดตรึงยังศัตรู เขาสืบเท้าไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วไร้แบบแผน
เกิดเป็นภาพเงาเคลื่อนวับดับติดตาม ราวกับหลินเสี่ยวถูกโจมตีเข้ามาจากหลายทิศทาง
หลินเสี่ยวกุมกระบี่แน่น ดวงตาหรี่ลง
เขาไม่ขยับร่างกาย ภาพเงาที่เคลื่อนไหวหายไปในฉับพลัน
เกิดประกายแสงสีเงินระเบิดพุ่งเข้ามาจากทางด้านขวา
หลินเสี่ยวไม่แม้แต่จะขยับเคลื่อนเท้า
มือของเขาสั่นเล็กน้อยและกระบี่ยาวก็กลายเป็นเงารังสีกระบี่จำนวนมาก เกิดเสียง
“ติ้ง” ของปลายกระบี่ของทั้งสองที่ปะทะถูกกัน เล่งหยาผงะถอยหลังไปห้าก้าวและกลับมายืนอย่างมั่นคง
กระบี่สั้นหลุดกระเด็นออกจากมือร่วงลงบนพื้นเยียบเย็น
เหนือสนามประลองระเบิดเสียงชื่มชมอย่างกึกก้องพร้อมคำเยินยอที่หลากหลายเกินจริง
หลินเสี่ยวคล้ายแสดงความเสียใจ “ท่านฝึกทักษะการลอบสังหาร
ซึ่งอาศัยความเร็วและการลอบจู่โจม เมื่อปะทะกันซึ่งหน้าจึงไร้ประโยชน์และทำให้ตัวท่านเสียเปรียบ
ข้าชนะการแข่งนี้อย่างไม่ยุติธรรมเพราะมีข้อได้เปรียบ และไม่ได้เป็นเพราะฝีมือวรยุทธ
ดังนั้นผลการแข่งขันครั้งนี้ปรากฎชัดเจนแล้ว”
หลินเสี่ยวมองเล่งหยาที่ฉับพลันก็ปล่อยรังสีสังหารพุ่งพล่านออกมาปกคลุมร่างกาย เขาก้มศีรษะลงต่ำและคำราม แล้วพุ่งเข้าใส่หลินเสี่ยวด้วยมือเปล่าอย่างคาดไม่ถึง
หลินเสี่ยวสีหน้าตื่นตัวขึ้นมาทันที เขาไม่มีทางเลือกยกกระบี่ขึ้นชี้ระดับไหล่
ม่านตาเขาหดลงเพราะในมือของของเล่งหยาปรากฎแสงสีเขียวแปลกประหลาดวาบออกมา
เพียงชั่วขณะที่หลินเสี่ยวชะงักมือ แสงสีเขียวก็พุ่งทะลวงกระบี่ตรงเข้าหาหน้าอกเขา
หลินเสี่ยวเกือบหลบการโจมตีนี้ไม่ทัน
แม้ว่าร่างกายเขาจะไร้รอยแผล แต่เสื้อของเขาถูกเสียบเป็นรูเล็กๆ ส่วนกระบี่ยาวในมือแตกเป็นเสี่ยงกลายเป็นเศษกระบี่
ก่อนหน้านี้
หลินเสี่ยวใช้กระบี่ส่ายสะบัดปกคลุมร่างของเล่งหยาทำให้เขามีพลังปราณและโลหิตปั่นป่วน
ยามนี้ เขาระเบิดพลังออกอีกครั้ง แต่ก็ไม่สามารถฉกฉวยโอกาสจากการโจมตีได้
เล่งหยาเป็นบุรุษที่หยิ่งทรนง เขาไม่อาจปล่อยให้ตัวเองพ่ายแพ้ได้ แต่เขาก็ไม่อาจทำให้หลินเสี่ยวเกิดบาดแผลแม้เพียงเล็กน้อยได้
ในทางตรงข้าม แม้ว่าหลินเสี่ยวจะปลดอาวุธของเล่งหยาจนหลุดกระเด็นไป แต่เขาก็ยังไม่ยอมแพ้
หลินเสี่ยวถอนหายใจ
เขาเสียใจที่เห็นกระบี่ของตนถูกทำลาย “ช่างเป็นศาสตราที่คมกล้านัก
สมควรเป็นอาวุธที่มีชื่อโด่งดัง”
ในมือของเล่งหยา แม้จะเป็นเพียงกระบี่ยาวเพียงห้านิ้ว
ตัวกระบี่มีสีเขียวอมฟ้าอย่างประหลาด มีแสงเย็นเยียบยามกระบี่สั้นกระทบสัมผัสแสงตะวัน
เวลานี้เองเสียงผู้คุมการแข่งขันก็ดังขึ้น “กระบี่คร่าสายลม!”
น้อยคนมากที่จะรู้จักชื่อกระบี่คร่าสายลม
แต่น้ำเสียงของชายชราทำให้ผู้คนสับสนทั่วทั้งสนาม
“เจ้าเกี่ยวข้องอะไรกับฟงเฉาหยาง!”
ฟงเฉาหยาง!? เทพสงครามแห่งอาณาจักรต้าฟง!
ทั้งสนามแตกตื่นขึ้นมาในทันที ชื่อนี้มีใครบ้างในทวีปเทียนเฉินที่ไม่รู้จัก? มีใครบ้างไม่เกรงกลัวชื่อนี้?
ในปีนั้น เขาและเทพกระบี่ฉู่ชางหมิงแห่งเทียนหลงต่างยอมรับในฝีมือซึ่งกันและกัน
เมื่อเข้าสู่วัยกลางคนเขาก็เอื้อมไปแตะยังขอบเขตเทวะ
เขากระทั่งยังบรรลุขอบเขตเทวะได้ก่อนเทพกระบี่ฉู่ชางหมิง
ผู้คนในอาณาจักรเทียนหลงต่างรู้สึกไม่เป็นมิตรเมื่อได้ยินชื่อนี้
เนื่องจากอาณาจักรต้าฟงพยายามนำหายนะมาสู่อาณาจักรเทียนหลงหลายต่อหลายครั้ง
และเป็นที่รู้กันทั่วว่าฟงเฉาหยางเป็นเทพปกปักษ์ของอาณาจักรต้าฟง
“เทพสงครามฟงเฉาหยางใช้กระบี่คร่าสายลมเป็นอาวุธ
เหตุใดกระบี่คร่าสายลมของเขาถึงมาอยู่ในมือเจ้าได้? เจ้าต้องการอะไรจากเมืองเทียนหลงของข้ากันแน่!” เสียงดังมาจากชายชราที่อยู่ข้างหลงหยิน
เล่งหยายังคงเงียบ
สองมือที่สั่นเล็กน้อยจับกระบี่ไว้แน่น
“เจ้ามาจากอาณาจักรต้าฟงงั้นหรือ?”
หลินเสี่ยวขมวดคิ้วถาม
“ไม่แปลกเลยที่เจ้าจู่โจมอย่างป่าเถื่อน
ดูเหมือนเป้าหมายที่เจ้ามายังเมืองเทียนหลงของข้าจะไม่ใช่เรื่องธรรมดา ฮึ่มม!” หลินเหยียนพรวดลุกขึ้น
สีหน้าเขาซีดคล้ำ ท่าทางของเขาแสดงให้เห็นว่าอยากกระโดดเข้าไปในสนามประลอง
สีหน้าของหลงหยินทะมึนลง “ก่อนอื่นถามเขาว่ามีความสัมพันธ์อันใดกับฟงเฉาหยาง!”
“พะยะค่ะ ขออนุญาตให้ข้าได้จับตัวเขาก่อน”
“ช้าก่อน!”
หลินเสี่ยวโบกมือห้ามแล้วกล่าว
“ฝ่าบาท ท่านปู่สอง ตอนนี้ผลการแข่งขันยังไม่ปรากฎ
โปรดอนุญาตให้ข้าได้เอาชนะเขาก่อน
หากการแข่งของเมืองเทียนหลงต้องล้มเลิกลงเพียงเพราะคนจากอาณาจักรต้าฟงเพียงคนเดียว
คนภายนอกจะหัวเราะเยาะพวกเราได้ นอกจากนั้น
ก่อนหน้านี้เขายังทำร้ายผู้เยาว์ของอาณาจักรเทียนหลงเราไปหลายคน
หากพวกเราไม่เอาชนะเขาอย่างยุติธรรม ผู้คนจะดูแคลนอาณาจักรเทียนหลงของพวกเราได้
หลังจากที่ข้าเอาชนะเขาแล้ว
ฝ่าบาทและท่านปู่สองสามารถจัดการกับเขาต่อได้ตามที่พวกท่านต้องการ”
หลินเหยียนนิ่งเงียบ
ขณะที่หลงหยินพยักหน้าและยิ้ม “ที่เจ้ากล่าวนั้นถูกต้อง คงต้องทำตามที่เจ้ากล่าวมา!”
เสียงผู้ชมดังขึ้นทั่วบริเวณสนามแข่งขัน
“นายน้อยหลิน
ท่านกล่าวได้ถูกต้องแล้ว!”
“ใช่แล้ว
ต้องแสดงให้เห็นว่าพวกเราเอาชนะเขาได้อย่างยุติธรรมและเท่าเทียม ให้อาณาจักรต้าฟงได้เห็นถึงจิตวิญญาณของอาณาจักรเทียนหลง
ให้พวกมันได้ซาบซึ้งถึงพลังของพวกเรา!”
เย่หวูเฉินลอบแค่นเสียง
“ฉวยประโยชน์จากสถานการณ์ได้ดี” ด้วยคำพูดเหล่านั้น
การแข่งขันที่ไร้ค่านี้ได้กลายเป็นการประชันเกียรติภูมิระหว่างสองอาณาจักร และหากเขามีชัยเหนือการแข่งครั้งนี้ก็ย่อมได้รับคำชื่มชมและชื่อเสียงอย่างล้นหลาม
ดูเหมือนข้าคงต้องพาตัวเองขึ้นไปอยู่บนเวทีเสียแล้ว
ในเมื่อโอกาสได้มาหาข้าถึงขนาดนี้แล้ว ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า เขาหัวเราะอย่างเจ้าเล่ห์