ตอนที่ 43 ถีบส่ง!
เย่หวูเฉินพยักหน้าเล็กน้อย
แล้วหันไปหาหมอจาง หมอจางก็มองมาที่เขาเช่นกันพร้อมกับมีสีหน้าตกใจ เย่หวูเฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงมีเลศนัย
“ท่านหมอจางช่างมีสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์ ท่านอายุถึงขนาดนี้แล้ว
แต่กลับยังคงคึกคักดั่งมังกรผงาดช่างน่านับถือ แต่ท่านหมอจางนี่ก็ผ่านมาเกือบ 30 ปีแล้ว ท่านควรควบคุมกิจกรรมบางอย่างลงบ้าง
ไม่เช่นนั้นท่านจะล้มป่วยได้หลังจากผ่านไปอีกครึ่งปี”
หมอจางหน้าแดงฝาด หากแต่เขาไม่ปฏิเสธ เย่หวูเฉินกล่าวไม่ผิดเลย หมอจางลุกขึ้นยืนเบื้องหน้าเขา “นายน้อยเย่สายตาเฉียบแหลมยิ่งนัก ตัวข้าผู้นี้ นับถือท่านจนไม่อาจประมาณ”
พวกเขาอาจกล่าวได้ว่าทักถูกครั้งแรกอาจเป็นเรื่องบังเอิญ
แต่เมื่อมีครั้งที่สองและครั้งที่สามตามมาเล่า?
ก่อนหน้านี้หมอทั้งสามล้วนมีความไม่พอใจ
ทั้งนึกดูถูกและกระทั่งโกรธเคือง พวกเขากลับกลายเป็นต้องตกตะลึง และเปลี่ยนเป็นความนับถือชื่นชม
ในสายตาของพวกเขาเย่หวูเฉินราวกับเทพเทวะ นักศึกษาย่อมกระหายในความรู้
ส่วนชาวยุทธนับถือในพลัง ขณะที่คนผู้ร่ำเรียนศาสตร์แห่งการรักษาย่อมชื่นชมผู้เชี่ยวชาญที่เหนือล้ำตน
ในระหว่างที่นายน้อยล้มป่วย
พวกเขาเองก็มาเยี่ยมเยียนตระกูลเย่อยู่บ่อยครั้งเพื่อรักษา อาจกล่าวได้ว่าพวกเขาคุ้นเคยกับเย่หวูเฉินเป็นอย่างดี
แต่ตอนนี้เมื่อมองชายหนุ่มที่มีรอยยิ้มบางที่เบื้องหน้า
พวกเขาเกิดคำถามเดียวกันผุดขึ้นมาว่า ‘เขาคือนายน้อยตระกูลเย่ผู้อ่อนแอคนนั้นจริงๆหรือ?’ เขาเพียงแค่เหลือบแลมองเพียงผ่านๆ แต่กลับสามารถวินิจฉัยอาการเจ็บป่วยพร้อมสาเหตุได้อย่างถูกต้อง
ทั้งที่ขนาดพวกเขายังไม่อาจทำได้เลย อีกทั้งยังไม่คลาดเคลื่อนแม้เพียงนิดเดียว...
เขามีทักษะการแพทย์ที่ตะลึงโลกเช่นนี้ได้อย่างไรกัน
หมอทั้งสามมองหน้ากันอย่างหวาดหวั่น
ยามเผชิญหน้ากับเย่หวูเฉินพวกเขาเกิดความนับถืออย่างแปลกประหลาด
พวกเขาไม่ขุ่นเคืองกับความยโสโอหังของเขาอีกต่อไป กลับรู้สึกธรรมดาและสมควรแล้วที่เขาทำตัวเช่นนั้น
“ผู้ชรานี้ที่ผ่านมามั่นใจในทักษะการรักษาของตนเองมาตลอด
ว่ายอดเยี่ยมเหนือหล้าใต้สวรรค์ ข้าไม่คาดคิดเลยว่าเมื่ออยู่ต่อหน้านายน้อย
ข้าจะเป็นได้เพียง.... ฮ้า น่าละอายนัก
ขอเรียนถามนายน้อยสักข้อว่าเทพเช่นใดที่เป็นอาจารย์ของท่าน?”
หมอหลี่ถามอย่างนอบน้อม น้ำเสียงเต็มไปด้วยความชื่นชม
เขาไม่เชื่อว่าเย่หวูเฉินจะสามารถเข้าใจทักษะการแพทย์เหล่านั้นได้ด้วยตนเอง
เขาย่อมมีแพทย์เทวะผู้เหนือธรรมดาเป็นผู้คอยชี้แนะสั่งสอน
หมอหวังและหมอจางต่างกระหายแรงกล้าอยากรู้เช่นเดียวกัน
เย่หวูเฉินส่ายศีรษะกล่าวอย่างเคร่งขรึม
“อาจารย์ของข้ารังเกียจที่จะข้องแวะกับเรื่องทางโลกมานานแล้ว รวมทั้งไม่ต้องการถูกพบตัว
ดังนั้นขอผู้อาวุโสโปรดอภัย”
“ไม่เป็นไร
ผู้ชราคนนี้ถามโดยไม่ทันยั้งปาก ในเมื่อศิษย์ของท่านผู้นั้นยังมีความสามารถถึงเพียงนี้
อาจารย์ผู้น่าเคารพท่านนั้นสมควรเชี่ยวชาญระดับสวรรค์เป็นแน่แท้
หากอาจารย์ที่น่าเคารพของนายน้อยต้องการชื่อเสียง ก็คงเลื่องลือไปทั่วทั้งแผ่นดินตั้งแต่นานมา
ไม่น่าแปลกใจที่ร่างกายของนายน้อยเย่กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง ฮ้า ข้ารู้ว่ามีแพทย์เทวะอยู่บนโลก
แต่ข้าไม่อาจมีวาสนาได้พบ นับเป็นเรื่องน่าเสียใจที่สุดในชีวิต”
หมอหลี่กล่าวพร้อมกับทอดถอนใจ
หมอหวังและหมอจางทั้งสองต่างพยักหน้า
สีหน้าเต็มไปด้วยความปราถนาและความเสียใจ
หมอหลี่ยืนขึ้นแล้วกล่าว
“นายน้อยเย่ พวกเราต้องกล่าวอำลาแล้ว
ถ้าขนาดกระทั่งนายน้อยเย่และอาจารย์ผู้น่าเคารพยังไม่อาจฟื้นฟูความทรงจำของท่านได้
พวกเราทั้งสามยิ่งไม่จำเป็นต้องกล่าวถึง”
“ให้ข้าได้ส่งท่านหมอ แต่ข้าคงต้องขอรบกวนท่านหมอทั้งสามช่วยเก็บเรื่องนี้ของผู้เยาว์กับอาจารย์ไว้เป็นความลับด้วย”
เย่หวูเฉินกล่าวด้วยความเคารพ ริมฝีปากเขายกยิ้มอย่างมีเลศนัย
หวังเวิ่นชูหาวิธีเชิญหมอหลวงมาให้รักษาเขานั้นล้วนอยู่ในความคาดการณ์! เขาสามารถใช้วิธีนี้เพื่อลบข้อสงสัยในตัวเขาได้
เป็นการขว้างหินก้อนเดียวโดนนกสามตัว! และตอนนี้เขาได้เริ่มวางแผนนำหายนะมาสู่ตระกูลหลินแล้ว
“ได้สิ ตกลง!”
เพียงพวกเขาออกไปไม่นาน
เย่หวูเฉินก็ได้ยินหวังเวิ่นชูกับหมอทั้งสามคุยกันมีเสียงผ่านเข้ามาจากหลังประตู
“คุณนายเย่ หมอชราผู้นี้ละลายยิ่งนักที่จะบอกว่าเรื่องนี้เกินกำลังของพวกเรา”
“เรื่องนี้....”
“คุณนายเย่
หมอชราผู้นี้ไม่มีหน้าจะอยู่ต่อนาน ดังนั้นพวกเราขอตัวลา”
“...... ท่านหมอโปรดรักษาตัว”
ยามเช้าเขาออกไปเดินเล่นในเมืองเทียนหลง
ต่อมาก็พูดคุยกับชายชราทั้งสามอยู่พักใหญ่
หลังจากนั้นหวังเวิ่นชูก็ดึงเขามาอยู่ข้างๆเพื่อพูดคุยกันตามประสา ‘แม่ลูก’ อยู่เป็นเวลานาน ในที่สุดเมื่อเขาว่างและเป็นอิสระ
เวลาก็ล่วงเข้ายามบ่ายแล้ว
เย่หวูเฉินไม่ได้กลับไปที่สวนน้อยของตนเองในทันที
หลังครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาหันไปทางสวนของเย่ฉุ่ยเหยาแทน
เมื่อเขาเพียงเพิ่งไปถึงสวน ก็ได้ยินเสียงของบุรุษดังมาจากข้างใน
เขามุ่นคิ้วเนื่องจากชัดเจนว่าน้ำเสียงนั้นเป็นของเย่หวูหยุน
อ่า....นี่สิถึงจะน่าสนใจ เย่หวูเฉินเผยรอยยิ้มไร้ยางอายออกมาในขณะที่เดินเนิบนาบเข้าไป
ไม่มีสาวใช้สักคนในสวนของเย่ฉุ่ยเหยา
และเป็นเรื่องธรรมดาที่ไม่มีใครอยู่ในบริเวณรอบๆ
“น้องหญิงฉุ่ยเหยา ข้าได้รับเทียบเชิญพิเศษนี้มา
นอกจากน้องหวูเฉินแล้วทุกคนในตระกูลต่างก็จะไปร่วมชมด้วยกัน
น้องหญิงเจ้าไม่ควรเอาแต่อยู่ในบ้าน เจ้าควรออกไปเดินเล่นข้างนอกบ้างนานๆครั้ง”
“ออกไป!”
“น้องหญิง
พี่ชายผู้นี้อยากถามเจ้ามาตลอด ว่ามีเรื่องใดที่ทำให้เจ้าเป็นกังวล? ไม่ใช่เรื่องเสียหายอันใดหากเจ้าเล่าออกมา
เพราะบางทีข้าอาจจะพอช่วยเหลือเจ้าได้”
“ข้าบอกว่าออกไป!” น้ำเสียงเย็นชาของเย่ฉุ่ยเหยาดูคล้ายเริ่มหมดความอดทน
“พี่สาวข้าบอกให้เจ้าออกไป
เจ้ายังจะขืนอยู่ต่ออีกทำไม หรือบางทีเจ้าอาจอยากรอให้ข้าโยนเจ้าออกไป?”
เย่หวูเฉินก้าวเท้าเข้ามาไม่เร่งรีบ พวกเขาอยู่ในห้องหนังสือของเย่ฉุ่ยเหยา
เขาไม่คาดคิดเลยว่าเย่หวูหยุนจะกล้าเข้ามาในห้องของนางเหมือนตัวเขา
แม้ได้ยินเสียงนี้ เย่ฉุ่ยเหยาก็ยังคงไม่เงยศีรษะของนางขึ้นมา
แต่เห็นได้ชัดว่าคิ้วละเอียดอ่อนของนางมุ่นลงเล็กน้อย
กล้ามเนื้อบนใบหน้าเย่หวูหยุนบิดกระตุกเล็กน้อย
เขากล่าวอย่างสงบ “น้องหวูเฉิน เห็นได้ชัดว่าเจ้าออกจะพูดเกินไปหน่อย
พี่ชายเจ้าเพียงแค่พูดเพื่อประโยชน์ของน้องหญิง”
“หึ?”
เย่หวูเฉินแค่นเสียงและมองเขาด้วยหางตา “คำว่า ‘น้องหญิง’
เจ้าคู่ควรที่จะใช้เรียกนางอย่างนั้นรึ? ข้าจะช่วยบอกเจ้าให้เข้าใจในสถานะของตนเอง
ชีวิตของเจ้าถูกช่วยไว้โดยตระกูลเย่ของข้า
ตระกูลเย่ยังอุปถัมภ์ค้ำชูและมอบสถานะในวันนี้ให้กับเจ้า เจ้าคิดจริงๆหรือว่าตนเองเป็นนายน้อยคนโต?
เจ้า... มันก็ไม่ต่างไปจากสุนัขข้างถนนที่ตระกูลเย่ข้าเก็บเอามาเลี้ยง
อย่าได้สำคัญผิดคิดว่าตนเองเป็นมนุษย์ จงทำตัวเป็นสุนัขที่ดีต่อไป เรื่องในตระกูลเย่ของข้าไม่ใช่ธุระกงการของเจ้าที่จะจัดการ”
เย่ซีได้พูดถึงเรื่องนี้ในตอนเช้า
เรื่องที่ทุกคนในตระกูลเย่ต่างทราบดีว่านายน้อยคนโตต้องการผูกสัมพันธ์กับคุณหนูใหญ่
ทั้งตระกูลเย่เองก็ไม่เคยขัดขวาง กระทั่งยังพยายามสนับสนุนส่งเสริม
เนื่องจากพวกเขาได้ยอมรับในตัวบุตรบุญธรรม และหวังให้เขากลายเป็นบุตรเขย
ซึ่งจะทำให้เขากลายเป็นครอบครัวเดียวกันอย่างแท้จริง
พวกเขายังเชื่อมั่นในตัวตนและความสามารถของเย่หวูหยุน
“เจ้า....”
เย่หวูหยุนใบหน้าบิดเบี้ยว กระทั่งองค์พระปฏิมายังอาจมีโทสะ
ถึงแม้เขาจะมีความยับยั้งชั่งใจ
แต่ก็ไม่อาจระงับความโกรธเมื่อต้องถูกเหยียดหยามถึงเพียงนี้
“เจ้ายังไม่ไสหัวออกไปอีก! ได้....
งั้นข้าจะช่วยส่งเจ้าออกไป”
ในฉับพลันเย่หวูเฉินยกเท้าขึ้นโดยปราศจากคำเตือนใดๆ
เขาเตะเข้าที่ท้องของเย่หวูหยุน เย่หวูหยุนครางอย่างเจ็บปวดขณะที่ร่วงลงพื้น
เย่หวูเฉินเตะเข้าไปอีกครั้งจนตัวเขากลิ้ง การเตะเขากลิ้งออกประตูช่างเป็นเรื่องดีจริงๆ
พวกเขาได้ยินเสียง ‘แกร๊ก’ ของประตูห้องที่ปิดลง เย่หวูเฉินหัวเราะแล้วกล่าว “เอาละพี่หญิง
ตอนนี้ก็กลับมาสงบสุขแล้ว”
ผ่านไปครู่หนึ่งพวกเขาก็ได้ยินเสียงก้าวเท้าค่อยๆออกห่างจากประตู
เสียงฝีเท้าฟังคล้ายตุปัดตุเป๋อยู่เล็กน้อย เย่หวูเฉินสมควรมีสีหน้าประหลาดใจ
แต่เขาไม่มีความสนใจที่จะมอง
“เจ้าทำเกินไปแล้ว”
เย่ฉุ่ยเหยานั่งอยู่หน้าโต๊ะ นางมองที่ภาพวาดทิวทัศน์โดยไม่แม้แต่จะเงยศีรษะขึ้นมา
น้ำเสียงนางเย็นชาเหมือนสายน้ำ
“ยามที่ผู้คนโกรธ
นั่นคือเวลาที่เป็นไปได้มากที่สุดที่เขาจะเผยจุดอ่อนออกมา”
เย่หวูเฉินนั่งลงตามสบาย และรื่นรมณ์กับร่างงดงามที่กำลังนั่งอยู่ตรงหน้า