ตอนที่ 56 ห้าธาตุไม่เกรงกลัว
หวังเวิ่นชูสีหน้าขาวซีดขณะที่กลับลงนั่ง
ความรู้สึกหนักหน่วงค่อยๆผ่อนคลายลง หน้าผากนางเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อเยียบเย็น
นางเอ่ย “เด็กคนนี้ชอบทำให้ข้าผู้เป็นมารดาของเขาต้องตกใจอยู่เรื่อย”
ขณะที่เย่หวูเฉินกำลังจะถูกปะทะ นางเกือบกระโจนยืนขึ้นราวกับถูกไฟดูด
หัวใจนางแทบเต้นออกจากลำคอ
“ข้าบอกเจ้าแล้ว ว่าจงเชื่อในตัวเฉินเอ๋อร์” เย่เว่ยกล่าวแกมหยอกพร้อมทั้งหัวเราะ ในเวลาเดียวกัน เขาก็ลอบปาดเหงื่อเย็นเยียบบนหน้าผากตนจนไม่เหลือร่องรอย หัวใจเขาเต้นรัวเร็วจนแทบเกินขีดจำกัด เขายังแปลกใจว่าขณะที่แล้วเขายังรักษามาดของตนได้อย่างไร
อย่างไรก็ตาม เด็กหนุ่มที่พึ่งกลับมาหลังจากหายตัวไปเป็นปี
ได้นำพาความตกตะลึงมาสู่พวกเขา... หรือที่ถูกคือความตะลึงที่แสนสุขใจ
“การโจมตีครั้งที่หนึ่ง”
เย่หวูเฉินเอ่ยราบเรียบขณะเผชิญหน้ากับหลินเหยียน
เขาเผยสีหน้าเย้ยหยันเพื่อกระตุ้นโทสะของอีกฝ่าย
ราวกับเขาไม่สนใจกับสถานการณ์ในตอนนี้
ข้างในจิตใจ มีความทรงจำผุดขึ้นมา
“...กายของเจ้าครอบครอง วารี ,
อัคคี , วายุ , อัสนี , ปฐพี และ มรณะ พลังแห่งธาตุทั้งห้าของกิเลน รวมกับพรของกิเลนศักดิ์สิทธิ์
ตลอดชีวิตของเจ้าไม่จำเป็นต้องเกรงกลัวน้ำแข็ง ,หิมะ
หรือความเย็น เจ้าไม่จำเป็นต้องกลัวเปลวเพลิง หรือการแผดเผา หรือความร้อนใด
ไม่จำเป็นต้องเกรงกลัววายุพัดหรือศิลา ไม่จำเป็นต้องกลัวสายฟ้าหรืออัสนีบาตจากนภา
รวมทั้งลมหายใจมรณา ร่างของเจ้ามีอำนาจเหนือพลังทั้งหก น้ำ , ไฟ , ลม , สายฟ้า , ดิน และความตาย เจ้าจะมีภูมิต้านทานและสามารถควบคุมพลังทั้งหก.....”
พรแห่งกิเลนศักดิ์สิทธิ์?....
เพราะเหตุนี้เอง จึงไร้ความเกรงกลัวต่อน้ำ , ไฟ , ลม , สายฟ้า , ดิน และความตาย
กระทั้งยังสามารถควบคุมพลังเหล่านี้ได้?
หลินเหยียนกดระงับความโกรธและความตกตะลึง
เขากล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ข้าไม่รู้เลยว่าเจ้าหนูอย่างเจ้าจะมีความสามารถอยู่บ้าง
ถ้าเช่นนั้น อย่าได้เก็บงำมันเอาไว้อีก! ฮ่าห์!!”
ด้วยเสียงตะโกนอันดังลั่น
หลินเหยียนประสานมืออยู่ระดับหน้าอก เพลิงสีแดงลุกโชนแผ่ขยายอย่างรวดเร็ว
ในเวลาเดียวกัน ความร้อนก็ยิ่งแผ่พลังกระจายไปทั่วทั้งบริเวณที่นั่งชม
ผู้คนต่างรู้สึกราวกับมีดวงตะวันสาดส่องร้อนแรงใส่พวกเขา
สำหรับผู้ที่มีพลังระดับขอบเขตสวรรค์นั้นนับว่าหาได้ยากยิ่ง
เมื่อใดที่ผู้คนก้าวมาถึงขอบเขตระดับนี้เขาย่อมทรงพลังเพียงพอเผชิญหน้าทั้งโลกหล้า
ไม่มีใครหยุดพวกเขาได้ และยิ่งไม่ใครกล้ายั่วโทสะของพวกเขา
พวกเขายังได้รับความนับถือจากองค์จักรพรรดิ
แม้ว่าเวลานี้หลงหยินจะอยู่ในที่แห่งนี้ หลินเหยียนกลับยังสามารถสำแดงพลังราวขุมนรกเดือด
ในเมื่อยอดฝีมือชั้นฟ้านั้นหาได้ยากยิ่ง และมีเพียงไม่กี่คนที่สามารถเป็นคู่มือ ดังนั้นการได้เป็นสักขีพยานได้เห็นพลังที่แท้จริงนับเป็นโอกาสที่หาดูได้ยากเย็น
เวลานี้หลินเหยียนใช้พลังถึงเจ็ดในสิบส่วนเพื่อสร้างเปลวเพลิง
ผู้ชมโดยรอบต่างตัวสั่นด้วยความกลัว กระทั่งเย่หวูเฉินยังแสดงสีหน้าประหลาดใจ
นี่คือระดับพลังขอบเขตสวรรค์....
กระทั่งทรงพลังขนาดนี้ทั้งยังไม่ใช่พลังทั้งหมดของเขา เมื่อครู่พลังของฮั่วเจิ้นเทียนยังชวนตกตะลึงและยากที่จะต้านทาน
เวลานี้ เมื่อหลินเหยียนสำแดงพลัง
เห็นได้ชัดว่าเทียบเท่าพลังทั้งหมดของฮั่วเจิ้นเทียน
ขอบเขตวิญญาณและขอบเขตสวรรค์ดูเหมือนต่างกันเพียงหนึ่งระดับ
แต่ความแตกต่างช่างห่างไกลกันราวผืนฟ้าและปฐพี
เย่หวูเฉินมายังทวีปเทียนเฉินเพียงชั่วเวลาสั้นๆ
และยังไม่เข้าใจถึงความแตกต่างของระดับพลังในโลกแห่งนี้
หากระดับยิ่งสูงก็ยิ่งยากที่จะก้าวข้ามไปยังขั้นถัดไป จากระดับ10 ไปถึงขอบเขตวิญญาณเป็นช่องกว้างที่น้อยคนนักจะสามารถข้ามได้
ดังนั้นจากขอบเขตวิญญาณไปยังขอบเขตสวรรค์ช่องว่างยิ่งห่างไกล ยามที่ข้ามผ่านทะลวงได้จะถูกนับว่าเป็นครึ่งเทวะเรียกขานในหมู่มนุษย์
ในทวีปเทียนเฉินมียอดฝีมือขอบเขตวิญญาณทุกหนแห่ง แต่ยอดฝีมือขอบเขตสวรรค์หาได้ยากยิ่งเนื่องจากการข้ามผ่านช่องว่างนั้นต้องอาศัย
พลัง , โชค , ปฏิภาณ และ เวลา
ทั้งหมดนี้ล้วนไม่อาจขาดตกสิ่งใดได้
“เพลิงโลกันต์--ศรบัวแดง!”
เสียงร่ำร้องดังขึ้น
เพลิงขนาดครึ่งเมตรกลายเป็นศรเพลิงยาว
ตามมาด้วยแสงสว่างไสวและคลื่นร้อนแรงพุ่งตรงไปยังหน้าอกของเย่หวูเฉิน
หวังเวิ่นชูลุกขึ้นอย่างตื่นตระหนกอีกครั้ง
หัวใจนางเต้นเร็วกว่าปกติหลายเท่า
การโจมตีที่น่ากลัวถึงเพียงนี้
ปาฏิหาริย์จะเกิดขึ้นอีกครั้งหรือไม่?
ผู้คนต่างหัวใจเต้นระส่ำ บางทีในหมู่ผู้ชมที่กำลังมอง
อาจมีเพียงหนิงเสวี่ยผู้เดียวที่ยังคงสงบอยู่
ตูม!!
เพลิงสีแดงระเบิดแผ่ออกเป็นรัศมีเพลิง
จากนั้นดับสลายวับในทันที ความร้อนบนเทวีพุ่งทะยานจนยากจะต้านทาน แต่ฉับพลันอุณหภูมิก็ลดลงและค่อยๆกลับคืนสู่ปกติ
ยามที่เพลิงระเบิดออก
ร่างของเย่หวูเฉินถูกกระแทกปลิวไปในอากาศ ลอยไป 7-8 ก้าวจึงแตะเท้าลงกับพื้น ยืนลงอย่างมั่นคงในอีกฟากของสนามประลอง
สีหน้าของเขาฝาด เย่หวูเฉินสูดหายใจเข้าลึก จากนั้นฝืนกลืนโลหิตลงลำคอไป
หากหลินเหยียนใช้แค่เปลวเพลิง
ย่อมไม่เป็นปัญหาไม่ว่าเย่หวูเฉินจะมีพลังแค่ไหน หากแต่นี่มีแรงกระแทกแฝงตามมา
ย่อมไม่ใช่สิ่งที่เขาปรารถนาจะเผชิญ ถึงแม้ว่าหลินเหยียนจะมีพลังเวทย์ที่สูงและมีทักษะแฝงกระแทกที่ต่ำเนื่องจากเป็นนักเวทย์
ซึ่งไม่อาจเปรียบเทียบได้กับแรงปะทะของยอดฝีมือวรยุทธที่ระดับเดียวกัน
หากแต่ด้วยพลังของขอบเขตสวรรค์ เย่หวูเฉินเกือบพ่ายแพ้หากไม่ได้ป้องกันหน้าอกตน
เมื่ออาการบาดเจ็บภายในของเขาทุเลาลง
เย่หวูเฉินเดินเนิบนาบตรงกลับมาที่หลินเหยียนผู้ตะลึงค้าง
และกล่าวด้วยท่าทางของผู้ที่อยู่เหนือกว่า “ประมุขหลิน
เพลิงของท่านค่อนข้างธรรมดาเกินไปหน่อย ไม่เพียงไม่สามารถเผาเส้นผมข้าได้
กระทั่งเสื้อผ้าของข้าก็ยังไร้ริ้วรอย”
พูดจบก็ทำสีหน้ารังเกียจเอามือปัดเสื้อบนหน้าอก
ราวกับการสัมผัสถูกเปลวเพลิงเมื่อครู่นับเป็นความอัปยศอดสู
เบื้องหน้าหลินเหยียน
รอยไหม้สีดำลากยาวบนพื้นไปจนถึงจุดที่เย่หวูเฉินยืนอยู่ แน่นอนว่าเป็นรอยไหม้จากท่า
“เพลิงโลกันต์--ศรบัวแดง” พลังเผาไหม้อย่างรุนแรงได้ทิ้งรอยไหม้ไว้ที่พื้น นี่คือเพลิงที่น่ากลัวอย่างแท้จริง
แต่เย่หวูเฉินที่ยืนรับเปลวเพลิงโดยตรงไม่มีสิ่งใดป้องกันกลับไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ
หากพวกเขาไม่ได้มาเป็นพยานรู้เห็นด้วยตาตนเอง
พวกเขาคงไม่มีวันเชื่อลงแม้ว่าพวกเขาจะถูกทุบตีจนตายก็ตาม
เขาใช้วิธีการเช่นใดกันแน่! หรือว่าเขามีพลังถึงระดับที่เพลิงของหลินเหยียนไม่อาจทำอันตรายเขาได้...นั่นจะเป็นไปได้หรือ?
“ท่านพ่อ
เขายอดเยี่ยมจริงๆ...ยอดเยี่ยมอย่างยิ่ง”
ฮั่วฉุ่ยโหรวกล่าวอย่างไม่อาจหักห้ามตนเอง
นางลอบมองชายหนุ่มบนเวทีครั้งแล้วครั้งเล่า ผู้ที่ทำให้ทุกๆคนต้องตกตะลึง
“ใช่... มารดามันเถอะ
เขายอดเยี่ยมจริงๆ” ฮั่วเจิ้นเทียนจ้องมองด้วยดวงตาโง่งม
จากนั้นกล่าวพึมพำเสียงต่ำ “บัดซบเอ้ย
เหตุใดข้าถึงได้ปฏิเสธสหายน้อยผู้นี้เป็นลูกเขยข้า
เขาน่าดูชมเสียยิ่งกว่าเจ้าหนุ่มหลินนั่นเสียอีก”
“ท่านพ่อ...อย่าพูดคำหยาบคาย” ฮั่วฉุ่ยโหรวกล่าวเสียงเบา
ใบหน้านางเปลี่ยนเป็นสีแดง
ใบหน้าของหลงหยินยังคงราบเรียบเหมือนผิวน้ำ
หากแต่แววตาทั้งสองวาปประกายรุนแรง เขากล่าวเสียงต่ำ
“ผู้อาวุโสหลี่และผู้อาวุโสเหลา ท่านทั้งสองสามารถต้านทานได้เหมือนเขาหรือไม่?”
“เป็นไปไม่ได้อย่างเด็ดขาด!”
ทั้งสองคนต่างส่ายศีรษะโดยไม่ลังเล
“หากข้าพระองค์เป็นผู้ที่ต้องเผชิญหน้ารับการโจมตีของประมุขหลิน
สิ่งแรกที่จะทำคือหลบอย่างแน่นอน ขืนยืนรับต้านรับพลังโดยตรง
แม้ว่าจะใช้พลังทั้งหมด.... ก็ยังไม่อาจหลีกเลี่ยงการบาดเจ็บ
แต่หากยืนรับพลังโดยตรงโดยไม่ป้องกันตัว...กระทั่งเทพกระบี่ก็ยังไม่อาจรับได้โดยไร้การบาดเจ็บใด”
ชายชรากล่าวด้วยสีหน้าประหลาดใจ