ตอนที่ 18 ฉุ่ยเมิ่งฉาน (1)
เย่หวูเฉินวางมือบนตัวหนิงเสวี่ยพยายามถอดเสื้อผ้านางออก
สาวน้อยต่อต้านตามสัญชาติญาณ สายตาของนางแตกตื่น
นางเอามือปิดป้องหน้าอกไว้โดยไม่รู้ตัว เย่หวูเฉินแกะมือนางออกก่อนจะยิ้มและกล่าว “เสวี่ยเอ๋อร์ทำให้พี่ชายเจ้าดูแย่เสียแล้ว”
ใบหน้าหนิงเสวี่ยเรื่อสีชมพูอ่อนๆ เด็กหญิงที่อายุเพียง 10 ขวบปี ยังไม่น่าจะมีปฏิกิริยาเช่นนี้ หากแต่นางยังคงเชื่อฟังและเคลื่อนมือออกพร้อมกับหลับตาปี๋
เมื่อเขาถอดชุดของนางออก
ร่างกายขาวดุจหยกปรากฎต่อหน้า เด็กสาวที่ร่างกายยังไม่เติบโตสมบูรณ์กลับปล่อยกลิ่นอายทรงเสน่ห์อย่างประหลาด
งดงามพอที่จะดูดวิญญาณของบุรุษ เย่หวูเฉินจิตใจปั่นป่วน เขารีบหันออกไปด้านข้าง สูดหายใจแช่มช้าสงบระงับจิตใจ
จนกระทั่งสงบลงราบเรียบดั่งผิวน้ำ เขาจึงหันมามองที่ร่างนางอีกครั้ง
เขาเริ่มมองสำรวจร่างกายนางทุกซอกส่วนอย่างละเอียด สีหน้าของเขาเผยแววความสงสัย
มีบาดแผลมากมายบนใบหน้าของนาง
รวมทั้งที่มือและที่เท้า แต่ทำไมร่างกายของนางจึงไม่มีร่องรอยบาดแผลใดๆเลย?
เขาพลันนึกถึงเท้าน้อยๆของหนิงเสวี่ยที่เต็มไปด้วยแผลถลอกปอกเปิก
แต่ทั้งรองเท้ากับถุงเท้าที่สวมใส่กลับไม่ปรากฎร่องรอยฉีกขาดใดๆ
เย่หวูเฉินหยิบชุดสีขาวของนางขึ้นมาตรวจดู
และพบว่าชุดของนางก็ปราศจากร่องร่อยฉีกขาดใดๆเช่นกัน เขาใช้พลังหวูเฉินเคลื่อนไปที่นิ้วและพยายามกรีดลงบนผ้า
และต้องแปลกใจเมื่อชุดของนางกลับไม่ได้รับความเสียหายใดๆ
เป็นวัตถุดิบเช่นใดกัน ที่ใช้ถักทอชุดนี้ขึ้นมา?
เขาเลิกสนใจชุดแล้วอุ้มหนิงเสวี่ยพาไปที่ลำธาร
ใช้น้ำใสสะอาดชำระล้างคราบรอยแดงที่เท้า ทุกบาดแผลบนร่างกายนาง
ทุกความเจ็บปวดที่นางได้รับ ทุกหยดหยาดจากโลหิตนาง เย่หวูเฉินรู้ดีว่าทั้งหมดนี้ล้วนเพื่อเขา
“เสวี่ยเอ๋อร์
เจ้าเป็นจุดอ่อนเพียงหนึ่งเดียวของข้า” เขากระซิบกล่าวอ่อนโยนข้างๆใบหู
พอล้างเท้าให้นางเสร็จ เขาก็ค่อยๆสวมชุดกลับให้นาง
หนิงเสวี่ยกระพริบตาปริบๆสองสามครั้ง
จดจำถ้อยคำที่กระซิบกล่าวข้างใบหู แม้ว่านางจะไม่เข้าใจความหมายเบื้องหลังของประโยคนี้ทั้งหมด
นางไม่อาจทำเช่นไรได้ นอกจากจารึกถ้อยคำสลักลงในจิตใจโดยไม่รู้ตัว
เพราะประโยคสั้นๆนี้ทำให้นางสุขใจอย่างมาก
“เสวี่ยเอ๋อร์ ไปกันเถอะ”
เขาไม่ได้เดินจูงมือนาง แต่เขาอุ้มนางไว้ในอ้อมแขนและมุ่งไปข้างหน้าช้าๆ
ราวกับว่าบิดากำลังอุ้มธิดาน้อยอยู่ นางยังคงเหน็ดเหนื่อยจากการฝืนใช้เรี่ยวแรงมาตลอดสองวัน
เขาจึงไม่อาจปล่อยให้นางต้องเหน็ดเหนื่อยเพิ่มขึ้นอีก
ร่างกายผอมบางของเขา
สำหรับหนิงเสวี่ยแล้วเป็นสถานที่อบอุ่นที่สุดอย่างอย่างไม่ต้องสงสัย
ยามนางพิงพักซบอยู่ตรงบ่า ดวงตานางปิดลงอย่างสงบและเริ่มง่วงนอน
“ท่านพี่ เราควรกลับมาเยี่ยมท่านปู่กับพี่หลงบ่อยๆ
พวกเขาเป็นคนดี เพราะพวกเขาช่วยท่านพี่กับเสวี่ยเอ๋อร์ไว้” หนิงเสวี่ยกล่าวด้วยดวงตาที่ปิด
กระซิบเหมือนคนละเมอ
“อืม
พวกเราจะกลับไปเยี่ยมปู่หลงกันบ่อยๆ เพราะเขาเป็นผู้ช่วยชีวิตพวกเราไว้
แต่เจ้าจะได้เจอกับพี่หลงของเจ้าในอีกไม่ช้า อีกอย่าง
เจ้าสามารถคิดถึงปู่หลงบ่อยๆได้ แต่เจ้าห้ามคิดถึงพี่หลงของเจ้า” เย่หวูเฉินกล่าว
“เอ๋....ทำไมกัน?” เสวี่ยเอ๋อร์ถามอย่างสงสัย
เย่หวูเฉินเงียบไปครู่หนึ่ง
แล้วกล่าว “จักรพรรดิโหดร้ายอย่างมากในช่วงหลายปีหลัง ท่านปู่หลงได้พบสถานที่ที่เหมาะจะอาศัยอยู่อย่างสงบในช่วงบั้นปลายชีวิต
แต่ที่นั่นไม่เหมาะกับพี่หลงของเจ้า ห้าปีที่ฝึกฝนกลับแต่จะให้ผลลัพท์ที่ตรงกันข้าม
หากเขาปรารถนาจะเป็นจักรพรรดิที่แท้จริง จะต้องกระทำโดยไม่ไร้หลักการ จุดหมายย่อมต้องกำจัดคนพาลอภิบาลผู้อ่อนแอ
การจะเป็นผู้กล้าต้องเสียสละ ไม่หวั่นเกรงในความตาย
ไม่หวั่นไหวในลาภยศและชื่อเสียง หากแต่สิ่งเหล่านี้กลับยับยั้งความทะเยอทะยาน
และฉุดรั้งบุคคลไม่ให้กลายเป็นจักรพรรดิที่แท้จริง หากเขาต้องการเป็นจักรพรรดิ ประการแรกเขาต้องกลายเป็นผู้กล้าที่ป่าเถื่อนและทะเยอทะยาน
แต่ผู้กล้าเช่นนี้มักจะเพิกเฉยต่อครอบครัวในสายเลือด ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงครอบครัวนอกสายเลือด
นอกเสียจากเขาต้องการยอมแพ้ต่อโลกเพียงเพื่อบุคคลเพียงคนเดียว”
หนิงเสวี่ยหลับไปแล้วในอ้อมแขนของเขา
เย่หวูเฉินจึงเหมือนพูดกับตนเองเสียมากกว่า
ขณะนั้นเอง ที่เขาได้ยินเสียงกระทบของกีบเท้าสัตว์ดังมาจากข้างหลัง
จากนั้นเสียงตะโกนจริงใจจากชายหนุ่มคนหนึ่งดังขึ้น “น้องชาย!”
“พี่หลง ทำไมท่านถึง?”
“ฮ่าฮ่าฮ่า ช่างบังเอิญจริงๆ
ข้าเองก็กำลังเดินทางไปยังเมืองเทียนหลง หนทางข้างหน้ายังอีกยาวไกล ทำไมเจ้าถึงไม่ใช้ม้านี่ล่ะ? แม้ว่าน้องเย่จะเหนือคนธรรมดา
แต่เจ้าไม่ควรปล่อยให้น้องสาวต้องลำบาก” หลงเจิ้งหยางขี่ม้าสีเหลือง ที่ข้างๆเป็นม้าสีขาว
เขาดึงบังเหียนและตบลงบนลำตัวม้า มันส่งเสียงร้องเบาๆและเดินไปอยู่ข้างๆเย่หวูเฉิน
เย่หวูเฉินหัวเราะและกล่าว “ขอบคุณยิ่งนัก
พี่หลง” เขายอมรับความเอื้อเฟื้อของหลงเจิ้งหยาง
เย่หวูเฉินกระโดดขึ้นไปบนหลังม้า
เท้าเขาเบาราวขนนกทั้งยังดูงามสง่าราวกำลังเต้นรำ แม้ว่าเขาจะไม่เคยขี่ม้า
แต่เขาพบว่าง่ายดายยิ่งขณะทรงตัวควบคุมอยู่บนหลังม้า
ดวงตาของหลงเจิ้งหยางฉายแววเลื่อมใสและประหลาดใจชั่วแวบหนึ่ง จากนั้นเขาหัวเราะ “เสวี่ยเอ๋อร์เป็นน้องสาวของข้าครึ่งหนึ่ง
เจ้าเป็นพี่ชายนาง ดังนั้นเจ้าก็เป็นน้องชายข้าครึ่งหนึ่งเช่นกัน
ไม่จำเป็นต้องขอบคุณกันระหว่างพี่น้อง”
เย่หวูเฉินจดจ่อกับคำพูดเหล่านั้น
เพราะเขารู้ดีว่ามีความหมายแฝงอยู่ในคำกล่าวไม่กี่ประโยคที่พูดกับเขา
ม้าขาวกับม้าเหลืองเริ่มเดินออกเดินทางพร้อมกัน
มุ่งหน้าลงไปทางทิศใต้
สิบวันต่อมาที่เมืองเทียนหลง
แม้จะเดินทางผ่านเมืองเล็กๆมาหลายเมือง
แต่ไม่มีเมืองใดสามารถเทียบความเจริญกับเมืองเทียนหลงได้เลย ระหว่างช่วงที่เดินทาง
เย่หวูเฉินกับหลงเจิ้งหยางยิ่งคุ้นเคยกันจนราวกับเป็นพี่น้องกันจริงๆ ในตลอดสิบวัน
สิ่งที่รบกวนหัวสมองของหลงเจิ้งหยาง คือเขาต้องการรู้ความเป็นมาของเย่หวูเฉิน
และเหตุผลที่เขาไปยังเมืองเทียนหลง หลงเจิ้งหยางไม่อาจระงับจิตใจและสงสัยว่าความลับใดที่ซ่อนอยู่ภายใต้ท่าทางเงียบสงบนั้น
พวกเขาเดินไปตามท้องถนนและทั้งคู่ต่างก็หน้าตาดีเหนือคนธรรมดา
ซึ่งทำให้เหล่าบรรดาหญิงสาวมักจะเหลียวหันมามอง ขณะที่บุรุษบางคนที่มั่นใจในรูปโฉมตนก็ต้องตกตะลึง
เสวี่ยเอ๋อร์สงสัยใคร่รู้และมองสำรวจไปรอบๆทุกแห่งหนด้วยดวงตาคู่งาม หากแต่ผู้คนรอบๆต่างเมินเฉยกับรูปลักษณ์ที่แปลกประหลาดของนาง
หลังจากมาถึงเมืองเทียนหลง
หลงเจิ้งหยางดูท่าทางวางอำนาจและเป็นตัวของตัวเอง แต่ลึกๆดูคล้ายหมกมุ่นอยู่ภายใน
เย่หวูเฉินทำเป็นไม่สังเกตเห็นสิ่งใดและมองไปรอบๆแทน เขามองทุกอาคารบ้านเรือนที่พบเห็น
ห่างออกไปข้างหน้าพวกเขาเข้ามาใกล้ยังราชวัง ถนนพลุกพล่านไปด้วยผู้คน ขวักไขว่ซื้อขายกันจอแจ
แม้ว่าหลงเจิ้งหยางจะใจลอย
แต่เท้าเขาก็ก้าวออกอย่างไม่รู้ตัว เดินลัดเลาะซ้ายขวาไปตามทาง
ไปยังสถานที่หัวใจเขาปรารถนา ในที่สุดเขาก็หยุดเท้าลงแล้วแหงนหน้ามองขึ้นไป
‘บ้านหมอกฝัน’
เย่หวูเฉินมองป้ายสีแดงและจดจำชื่อเอาไว้ จากนั้นเขากล่าวติดตลก “หรือว่าพี่หลงชอบเที่ยวสถานเริงรมณ์?”
หลงเจิ้งหยางราวกับไม่ได้ยินเสียงของเขา
และจ้องมองบ้านหมอกฝันอยู่เป็นเวลานาน สีหน้าเขาพลันสลดลง เขาหัวเราะอย่างขมขื่น
ก่อนจะกล่าว “น้องเย่ เจ้าช่วยรออยู่ตรงนี้สักครู่หนึ่ง ประเดี๋ยวข้าจะรีบกลับออกมา”
เขาไม่รอให้เย่หวูเฉินตอบคำและรีบก้าวเข้าไปข้างใน