ตอนที่ 31 ตบหน้า
“ฮี่ ฮี่
ข้าสามารถหาที่อยู่ของเขาได้ใน 10 วัน ยิ่งกว่านั้น
หากเจ้าสามารถเริ่มฝึกฝนจิตใจได้อีกครั้ง
เจ้าจะสามารถใช้ชีวิตได้อย่างสุขสบายตลอดไป เฉินเอ๋อร์ แม้ว่าในร่างเจ้าจะไม่มีพลังไหลเวียนแล้ว
เทพกระบี่ย่อมสามารถฝึกฝนเจ้าได้ และเมื่อเจ้าเริ่มฝึกฝน เจ้าย่อมกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญในวิถีแห่งกระบี่
ข้าไม่คาดคิดเลยว่าเทพกระบี่จะเลือกหลานชายข้าเป็นศิษย์ เขามีสายตาเฉียบแหลมนัก เฉียบแหลมยิ่งนัก!” ใบหน้าของเย่หนู่ไม่อาจปกปิดความภาคภูมิใจ “เทพกระบี่ใช้ชีวิตเที่ยวไปไม่อยู่เป็นหลักแหล่งและไม่ข้องแวะกับผู้คน
เขากลับยอมให้ผู้อื่นทราบถึงตำแหน่งปัจจุบันของเขา เฉินเอ๋อร์
เขาบอกหรือปล่าวว่าใครเป็นคนลักพาตัวเจ้า?”
“ไม่ ตอนที่เขาพบข้า ข้าก็สิ้นสติอยู่ในสภาพวิกฤติ และเมื่อข้าตื่นขึ้นมาข้าก็ลืมเรื่องทุกอย่างไป” เย่หวูเฉินกล่าว คำพูดของเขาไม่ได้ผิดไปทั้งหมด เขาแค่ไม่ได้บอกว่าเขาหมดสติไปนานแค่ไหน
เย่เว่ยพยักหน้าเคร่งขรึม “เราจะต้องสืบเรื่องนี้ให้ได้
ว่าผู้ใดกล้าต่อต้านตระกูลเย่ของพวกเรา ข้าจะไม่ปล่อยพวกมันไปง่ายๆ”
เขาหันไปทางเย่หวูหยุน “หยุนเอ๋อร์ ดูแลเฉินเอ๋อร์ให้ดีและอยู่เป็นเพื่อนเขา....”
จากนั้นเขากระซิบกล่าว “พี่น้องหมางใจกันย่อมไม่เป็นเรื่องดี”
เย่หวูหยุนก้มศีรษะลงครึ่งหนึ่ง
ไม่มีใครเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของเขา
หากแต่เขาก็รับปากและเดินไปยังเบื้องหน้าของเย่หวูเฉินแล้วกล่าว “น้องหวูเฉิน
เรื่องเมื่อครู่นี้เป็นความผิดของพี่ชายเจ้าเอง โปรดอย่าได้ถือสาหาความ
ยิ่งกว่านั้น น้องหวูเฉินไม่เพียงกลับมาอย่างปลอดภัย
เจ้ายังได้กลายเป็นศิษย์ของเทพกระบี่
พี่ชายเจ้าผู้นี้ทั้งอิจฉาและยินดีกับเจ้าด้วยจริงๆ”
“ไม่เป็นไร
ที่ท่านทำไปเมื่อครู่ก็เพื่อประโยชน์ของตระกูลเย่ ข้าเองก็ลืมเมื่อครู่ไปแล้วเรียบร้อย
ในวันหน้าหากข้าสงสัยถึงตำแหน่งที่ทางใดๆในตระกูล คงต้องรบกวนท่านช่วยแนะนำแล้ว”
“เราเป็นพี่น้องกัน
ดังนั้นย่อมเป็นเรื่องธรรมดาที่จะช่วยเหลือกัน และช่วยกันส่งเสริมตระกูลเย่ ส่วนเรื่องที่เจ้าต้องการให้ข้าแนะนำ? อ้อ น้องหวูเฉิน
น้องสาวผมขาวผู้นี้คือใครกัน?”
“นางคือคนที่ข้ารับเป็นน้องสาว
ชื่อของนางคือหนิงเสวี่ย”
เย่หวูหยุนพยักหน้าเล็กน้อยและกล่าวอย่างระมัดระวัง
“น้องหวูเฉิน เจ้าจะอนุญาตให้พี่ชายเจ้าย้ายน้องสาวตัวน้อยคนนี้ออกไปอยู่นอกเมืองไหม? เพราะว่าผมสีขาวของนางสามารถหาได้เพียงในเผ่าพันธุ์หมาป่าหิมะกินคนที่แสนอำมหิต
ส่วนใบหน้าของนางเองก็ดูน่ากลัวเช่นกัน เด็กหญิงน่าเกลียดเช่นนี้จะทำให้เป็นที่หัวเราะขบขันและทำให้ตระกูลเย่ดูแย่ลง”
หวูเฉินยังคงรอยยิ้มไว้
รอจนกระทั่งเขากล่าวจนจบ เขาก้าวออกมาก้าวหนึ่งแล้วเอ่ยถามช้าๆ “เจ้าเรียกใครว่าเด็กหญิงน่าเกลียด?”
เขาพูดยังไม่ทันจบขณะที่แขนข้างหนึ่งยกขึ้นฟาดโดยไม่มีการเตือน
เสียงดัง ‘เพี๊ยะ’ ดังสนั่น เย่หวูหยุนถูกตบหน้าด้วยเสียงอันดังเนื่องจากไม่ทันตั้งตัว
เขาถอยหลังไปสองก้าวแล้วล้มลงกับพื้นทันที เขาจ้องหวูเฉินอย่างไม่เชื่อสายตา
“บังอาจ!”
เย่หนู่ตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยว
เย่เว่ยขมวดคิ้วมุ่น หวังเวิ่นชูรีบก้าวเข้าไปช่วยพยุงเย่หวูหยุนลุกขึ้น
นางเอ่ยอย่างกระวนกระวายใจ “เฉินเอ๋อร์ แม้ว่าเขาจะผิดไป แต่เขาก็ยังเป็นพี่ชายของเจ้า
เจ้ากลับทำ..... เร็วเข้า รีบขอขมาพี่ชายเจ้าเร็ว”
นางรีบออกตัวดุเย่หวูเฉินเพราะว่าความโกรธของปู่เขาไม่ใช่เรื่องที่ควรล้อเล่น
แต่เย่หวูเฉินกลับทำเป็นเหมือนไม่ได้ยินนาง เขาปัดมือเบาๆ
แม้ว่าเขาจะไม่ใช้พลังของมนต์หวูเฉินในการตบ แต่เขาก็ใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี
เขากระทั่งรู้สึกเหนื่อยและใบหน้าเริ่มมีสีแดงฝาด
เขามองเย่หวูหยุนลุกขึ้นด้วยสายตาเย็นชาและกล่าวอย่างสงบ “จำใส่ใจเจ้าไว้ให้ดี
ข้าจะไม่นับเจ้าเป็นพี่ชาย ต่อให้เจ้าเป็นพี่ชายแท้ๆของข้าก็ตาม หากเจ้ากล้าพูดกับหนิงเสวี่ยเช่นนั้นอีก
ข้าจะทำให้เจ้ากลายเป็นขยะ!!”
เขาอุ้มหนิงเสวี่ยขึ้นแล้วกล่าว “สองสัปดาห์ก่อน
เมื่อชีวิตข้าแขวนอยู่บนเส้นด้าย
หนิงเสวี่ยยอมเสี่ยงชีวิตตนเองขโมยไข่อสูรสวรรค์เพื่อช่วยชีวิตข้า หากไม่มีหนิงเสวี่ยย่อมไม่มีข้าในวันนี้! นางไม่ใช่เพียงแค่น้องสาวของข้า
นางคือชีวิตของข้า ผู้ใดทำให้นางเจ็บปวด ข้าจะทำให้มันต้องทุกข์ทรมานไปตลอดชีวิต”
“ไข่อสูรสวรรค์?”
เย่หนู่ลืมความโกรธของตนและหายใจติดขัด การขโมยไข่อสูรสวรรค์เป็นการกระทำที่บ้าดีเดือดอย่างแท้จริง
กระทั่งยอดฝีมือชั้นฟ้าทั้งสามคนผู้เป็นที่เคารพของราชวัง
ยังไม่กล้ากระทำการส่งเดชเช่นนั้นเลย เพราะหากทำให้อสูรสวรรค์คลั่งพวกเขาต้องใช้ชีวิตเข้าสู้แลกกับมัน
มุมมองที่พวกเขามีต่อสาวน้อยที่ดูเหนียมอายและมักไม่อยู่นิ่งเปลี่ยนไป
ความรู้สึกไม่ยอมรับที่อยู่ลึกๆในใจพลันหายไป แทนที่ด้วยความรู้สึกซาบซึ้งยินดี
เพราะหากสิ่งที่เย่หวูเฉินกล่าวนั้นเป็นความจริง ย่อมหมายความว่านางเป็นผู้พระคุณยิ่งใหญ่ต่อตระกูลเย่
ดังนั้น ความโกรธของเย่หนู่จึงสงบลง หากแต่เขายังคงกล่าว “เฉินเอ๋อร์
ขอโทษพี่ชายของเจ้าเสีย อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้ต้องการทำร้ายนาง และเขายังเป็นพี่ชายของเจ้า
เรื่องนี้จบลงเพียงเท่านี้ ในอนาคต
หนิงเสวี่ยสามารถอาศัยอยู่ที่นี่ได้.... และจะอาศัยอยู่ร่วมสวนเดียวกับเจ้า”
เย่หวูหยุนมือกุมใบหน้ากล่าวอย่างละอาย
“ไม่เลย คนที่ต้องขอโทษควรเป็นข้า ข้าสมควรถูกตบแล้ว ข้าไม่สมควรกล่าวถ้อยคำเหล่านั้นออกมา”
เย่หวูเฉินมองเขาด้วยรอยยิ้มบางเบา
จากนั้นเขาหันกายกลับแล้วเดินออกจากห้องโถง “ข้าเหนื่อยแล้ว”
หวังเวิ่นชูรีบตามหลังเขาไป “เฉินเอ๋อร์
ข้าจะไปเตรียมห้องให้ เจ้าไปพักผ่อนก่อน แล้วตอนเย็นค่อยมาคุยกับแม่ตกลงมั้ย?”
มีเพียงสามคนที่เหลืออยู่ในห้องโถง
เย่หนู่กล่าวด้วยสีหน้าเอ็นดู “หยุนเอ๋อร์ เจ้าเป็นเด็กดีและเชื่อฟัง
อย่างไรเสียเขาก็ถูกพรากตัวไปจากพวกเราและถูกทอดทิ้งไว้
พวกเราค่อยๆปรับความเข้าใจกับเขา อย่าได้รู้สึกขุ่นเคืองอันใดเลยหยุนเอ๋อร์”
เย่หวูหยุนส่ายศีรษะและยิ้ม “ข้าไม่เป็นไรท่านปู่
หนี้บุญคุณที่ข้าติดค้างตระกูลเย่หนักหนาดุจขุนเขา
แม้ว่าข้าจะสละชีวิตตนก็ยังไม่อาจตอบแทบได้ทั้งหมด ยิ่งกว่านั้น
เรื่องนี้ก็นับเป็นความผิดของข้าเอง”
“แต่ว่าเฮ้อ! บุคคลิกนิสัยของเฉินเอ๋อร์กลับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน
หากพวกเราไม่ทดสอบสายเลือดของเขาก่อน
ข้าก็เกือบจะจำหลานชายแท้ๆของตัวเองไม่ได้แล้ว” เย่หนู่หัวเราะแล้วกล่าว ชัดเจนว่าเขาไม่ได้ปฏิเสธ
‘บุคคลิกที่เปลี่ยนไป’ เขากลับรู้สึกยินดีแทนด้วยซ้ำ
ก่อนหน้านี้ เย่หวูเฉินได้แต่นอนอยู่บนเตียงและกระทั่งแค่พูดจายังทำให้เขาต้องหอบหายใจ
ตัวตนของเขาเคยอ่อนแอ เขาไม่กล้าแม้กระทั่งก้าวออกจากบ้าน
มีหลานชายเช่นนี้นับว่าเป็นโชคร้ายของตระกูลเย่ แต่ตอนนี้ เย่หวูเฉินไม่เพียงแต่จะกลายเป็นศิษย์ของเทพกระบี่
เขากระทั่งยังสงบและแกร่งกร้าว
การตบของเขาแสดงให้เห็นว่าเขาก้าวร้าวและป่าเถื่อนเมื่อถูกคุกคาม และเขาในยามนี้ไม่อาจเปรียบเทียบกับเย่หวูเฉินคนก่อนหน้าได้เลย
เมื่อเย่หวูหยุนเดินออกมาจากห้องโถง
ใบหน้าซีกขวาของเขายังคงเป็นรอยแดง
คนใช้ในคฤหาสน์ตระกูลเย่และยามคุ้มกันต่างแสดงสีหน้าเห็นอกเห็นใจ
เย่หวูหยุนหันไปหาพวกเขาแล้วยิ้มให้อย่างเป็นมิตร เขาส่ายศีรษะเพื่อบอกว่าเขาไม่เป็นไร
บริวารทั้ง 5 ตามมายังเบื้องหลัง
พวกเขาเหลียวหันมองด้านหลังก่อนจะกล่าวด้วยสีหน้าบึ้งตึง “นายน้อย ข้าได้ยินว่านายน้อยเล็กกลับ....
กลับตบหน้าท่าน นี่มันมากเกินไปแล้ว”
เย่หวูหยุนหัวเราะอย่างไม่ใส่ใจ “มันเป็นความผิดของข้าเองที่กล่าวผิดไป
ที่เขาทำแบบนั้นย่อมไม่แปลกเลย”
“กล่าวบางอย่างผิดไป? นายน้อยเป็นคนที่เฉลียวฉลาด! นายน้อยย่อมไม่ทราบว่าเด็กหญิงตัวเล็กๆนั่นมาจากไหน ถึงแม้ว่าท่านจะพยายามผลักไสนางออกไป
เขาก็ไม่ควรตบหน้านายน้อย! เขา...เขาไม่สนใจแม้กระทั่งความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้อง”
บริวารทั้งห้าคนกล่าวอย่างไม่พอใจ
เย่หวูหยุนเงียบไปครู่หนึ่ง
เขาถอนหายใจ “อย่าได้เอ่ยถึงเรื่องนี้อีก”