ตอนที่ 29 หยดเลือดพิสูจน์ตัวตน
ในมุมมืดแห่งหนึ่ง
“เป็นแบบนี้ได้อย่างไร? อธิบายข้ามาชัดๆ!” ในมุมมืด มีเสียงเย็นเยียบกล่าวขึ้นมา
“นี่ไม่น่าเป็นไปได้ ข้าทำลายพลังปราณของมันไปแล้ว ยิ่งกว่านั้น ข้ายังทิ้งมันลงไปในบึงห่างออกไป 30 ลี้ แม้ตอนนั้นมันจะยังไม่ตาย แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่มันจะรอดชีวิต” อีกเสียงหนึ่งกล่าวอย่างมั่นใจ
“ถ้าเช่นนั้นมันก็เป็นตัวปลอม?”
“ถูกต้อง
เป็นไปไม่ได้เลยที่มันจะเป็นตัวจริง เสียงของมันสามารถปลอมแปลงเอาได้
ยิ่งกว่านั้น.... กับยอดฝีมือแล้วยิ่งเป็นการง่ายที่แปลงโฉมตนเอง ส่วนรอยประทับนั้นคงเป็นการใช้วิธีพิเศษเฉพาะบางอย่าง
บางทีอาจเป็นการสมรู้ร่วมคิดของเหล่าอิทธิพลที่คิดต่อต้านตระกูลเย่ เขากลับมาพร้อมกับองค์ชายรัชทายาท
ดังนั้นบางที....”
“เฮอะ
หวังว่าที่เจ้าพูดจะเป็นความจริง ข้าวางแผนมาตลอดหลายปี
เจ้าอย่าบอกว่าแผนของข้าต้องล้มเหลวด้วยน้ำมือเจ้า!”
“ท่านวางใจได้
ตัวจริงของมันตายไปแล้วอย่างต้องสงสัย ส่วนอีกคนเป็นตัวปลอมอย่างแน่นอน”
……………………
ณ คฤหาสน์ตระกูลเย่
คฤหาสน์ตระกูลเย่มีพื้นที่กว้างขวางมาก
มีสวนน้อยใหญ่กระจายอยู่เต็มพื้นที่ แม้ว่าจะไม่ได้หรูหราโดดเด่นสะดุดตา
หากยังให้ความรู้สึกโอ่อ่าสมบารมี
ในห้องโถง เย่หนู่สีหน้ามีเลือดฝาด
ราวกับจู่ๆเขาหนุ่มขึ้นหลายสิบปี ก่อนหน้านี้ระหว่างเดินทางกลับเขาแทบจะหัวเราะอยู่ตลอดเวลา
ถ้าหากเขามีทายาทหลายคน บางทีการสูญเสียหลานชายเพียง 1 คน
คงไม่กระทบกระเทือนจิตใจเขาเท่าใดนัก
แต่เย่หวูเฉินเป็นหน่อเนื้อเพียงคนเดียวของตระกูลเย่
ยามที่สูญเสียเขาไปเหมือนคราวที่ธูปเทียนดับลง แต่วันนี้ ไม่เพียงเขาจะได้รับตัวหลานชายกลับมา
กระทั่งบุคคลิกและจิตใจของเขายังเข้มแข็งขึ้นกว่าแต่ก่อน แม้แต่ใบหน้าของเขายังไร้วี่แววความเจ็บป่วยใดๆ
ในขณะนั้นเอง ภายในห้องโถงเงียบสงบ
มีคนผู้หนึ่งแต่งกายคล้ายหมอกำลังตรวจจับที่ข้อมือเย่หวูเฉินอย่างทะมัดทะแมง
เขาปิดเปลือกตาลงเบาๆ สีหน้าแสดงความมุ่งมั่นจดจ่อมีสมาธิอยู่เนิ่นนาน
จากนั้นเขาลดมือลงแล้วลืมตาขึ้น เขามองเย่หนู่และกล่าวอย่างนอบน้อม “ขอแสดงความยินดีกับนายท่าน, นายน้อย, และนายหญิง ชีพจรของนายน้อยเป็นปกติสมบูรณ์ดี ไม่มีร่องรอยของโรคภัยใดๆ”
“จริงหรือ? ประเสริฐ
ประเสริฐจริงๆ” หวังเวิ่นชูยืนขึ้นอย่างตื่นเต้น เย่เว่ยยิ้มและพยักหน้า
เย่หนู่หัวเราะและกล่าวคำว่า “ประเสริฐ” 3 ครั้ง
พวกเขาพึ่งได้รับตัวเย่หวูเฉินกลับคืนมา
และพวกเขาเรียกหมอประจำตัวให้รีบมาตรวจร่างกายเขาในทันที
เพราะไม่มีอะไรสำคัญกว่าสุขภาพของเขาในเวลานี้
ในเวลานี้เอง เย่หวูหยุนที่นิ่งเงียบอยู่ก็ลุกขึ้นยืน
“ท่านปู่ ข้ามีบางสิ่งอยากจะกล่าว”
“โอ้? เจ้ามีสิ่งใดในใจจะพูด ก็กล่าวมาเถอะหยุนเอ๋อร์”
ใบหน้าของเย่หนู่เคร่งขรึมขึ้นเล็กน้อย
เขาเห็นเย่หวูหยุนแสดงสีหน้าจริงจังอย่างมากออกมา ราวกับเขามีเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง
เย่หวูหยุนเป็นหลานบุญธรรมที่เขารับมาเลี้ยง เขาเชื่อมั่นในตัวหลานชายมาก
เขากระทั่งแอบคร่ำครวญอยู่บ่อยๆที่หลานชายผู้เก่งกล้าคนนี้ไม่ใช่หลายชายแท้ๆของตนเอง
เย่หวูหยุนมองที่เย่หวูเฉิน
เขาแสดงความลังเลแต่ในที่สุดก็กัดฟันกล่าว “หยุนเอ๋อร์คิดว่าพวกเราควรรอบคอบให้มากกว่านี้เกี่ยวกับตัวตนของหวูเฉิน”
เย่หวูหยุนเงยศีรษะขึ้นแล้วกล่าว
“น้องหวูเฉินปกติมีร่างกายอ่อนแอ แม้พวกเราใช้ยาหายากจำนวนมากแต่ก็ไม่อาจช่วยให้อาการของเขาดีขึ้นได้
หากแต่คนๆนี้ไม่ได้ดูมีความเจ็บป่วยใดๆ นี่เป็นเรื่องที่แปลกมาก ยิ่งไปกว่านั้น
การที่เขาความจำเสื่อมยังเป็นเรื่องที่ผิดปกติ
ข้าคิดว่าพวกเราไม่ควรด่วนยอมรับตัวตนของเขา
เพราะข้าเกรงว่าอาจมีใครบางคนแอบอ้างตัวเป็นหวูเฉินและทำเป็นความจำเสื่อมเพื่อหลีกเลี่ยงข้อพิรุธ
เนื่องจากเป็นเรื่องง่ายที่จะเปลี่ยนรูปโฉมของตัวเองหรือแม้แต่การปลอมแปลงรอยประทับ....
...”
“น่าผิดหวังยิ่งนัก!”
เสียงตะโกนของเย่หนู่ขัดจังหวะเย่หวูหยุน
หวังเวิ่นชูตบโต๊ะเสียงดัง สายตาจ้องมองอย่างโกรธเคือง “เจ้าสงสัยในตัวลูกชายข้า?”
เย่หวูหยุนฉลาดมาตั้งแต่ยังเล็ก
ยิ่งกว่านั้นนอกจากความฉลาดแล้ว ความสามารถของเขายังโดดเด่น ตั้งแต่ปีที่เขาเอาตัวเข้ารับกระบี่แทนเย่เว่ยสามีนาง
นางก็ได้ยอมรับเขาเป็นสมาชิกตระกูลเย่และมอบความรักให้ราวกับบุตรชายแท้ๆของนาง แต่เมื่อได้ฟังเขากล่าวข้อสงสัยเลื่อนลอยเกี่ยวกับบุตรชายในสายเลือดของ9o
ทำให้นางระเบิดโทสะอย่างเกรี้ยวกราดใส่เขาอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนในรอบหลายปี
“ไม่! หยุนเอ๋อร์ย่อมไม่กล้า
ความจริงแล้วคงไม่มีใครดีใจยิ่งไปกว่าข้าที่น้องหวูเฉินกลับมา
ข้าดูแลเขามาตลอดหลายปี และข้ามีความผูกพันธ์กับเขาอย่างลึกซึ้ง.... อย่างไรก็ตาม
เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับอนาคตของตระกูลเย่ ข้าจึงฉุกคิดได้ว่าเราไม่ควรหละหลวมกับเรื่องนี้”
เย่หวูหยุนก้มศีรษะลงต่ำขณะกล่าว
เย่เว่ยยังคงนิ่งเงียบ เขาส่งสายตาถามไปยังเย่หนู่
ในความเป็นจริง เรื่องนี้ก็เป็นสิ่งที่เขาเองกำลังสงสัยอยู่เช่นกัน
เนื่องจากเย่หวูเฉินมักจะให้ความรู้สึกประหลาด รวมทั้งบุคลิกนิสัยของเขาที่เปลี่ยนไป
เย่หนู่สีหน้าคล้ำลงและกล่าว “สิ่งที่เจ้าพูดใช่ว่าไร้เหตุผล ในความเห็นเจ้า
พวกเราสมควรทำเช่นไร?”
เย่หวูหยุนมองเขาอย่างนอบน้อมแล้วกล่าว
“ทดสอบสายเลือดเขา”
เย่เว่ยและเย่หนู่มองหน้ากันและพยักศีรษะพร้อมกัน
“บุตรได้เตรียมไว้แล้ว”
เย่หวูหยุนหันไปแล้วปรบมือ
ในทันใดนั้น บริวารทั้ง 5 ของเย่หวูหยุนก็เข้ามาพร้อมกับถ้วยลายครามที่ใส่น้ำ พวกเขาวางถ้วยไว้บนโต๊ะใบเล็กข้างเย่หนู่พร้อมกับมีดสะอาดอีกเล่มหนึ่ง
เมื่อเสร็จแล้วพวกเขาก็ถอยตัวออกไป
“ไม่ใช่ว่าพวกเราไม่เชื่อในตัวเขา
เพียงแต่พวกเราแค่สงสัย ชูเอ๋อร์
เจ้าเคยคิดบ้างรึปล่าวว่าจะทำเช่นใดหากหยุนเอ๋อร์พูดถูก?”
เย่เว่ยกล่าวพร้อมถอนหายใจเบาๆ
“ไม่มีทางเป็นไปได้!”
หวังเวิ่นชูส่ายศีรษะยืนยันหนักแน่น
“เฉินเอ๋อร์เพิ่งจะกลับมา และพวกท่านกลับเตรียมทดสอบสายเลือดของเขาไว้พรักพร้อม
นี่ช่างไม่ยุติธรรมยิ่งนัก”
เย่หวูเฉินยืนขึ้นสีหน้าไร้อารมณ์และเริ่มจับจูงมือน้อยๆของหนิงเสวี่ย
“เสวี่ยเอ๋อร์ พวกเราไปกันเถอะ ตกลงมั้ย? ในเมื่อพวกเขาไม่เชื่อพวกเรา
ก็ไม่มีเหตุผลที่พวกเราจะต้องอยู่ต่อ วันข้างหน้า พี่ชายของเจ้ากับเสวี่ยเอ๋อร์จะเที่ยวไปรอบโลกด้วยกัน
และพวกเราจะมีท้องฟ้ากับผืนดินเป็นบ้านของพวกเรา”
“อื้ม!”
หนิงเสวี่ยตอบรับชัดเจนและเริ่มเดินออกไปพร้อมหวูเฉิน ไม่ว่าพวกเขาจะมีบ้านหรือไม่
ตราบที่นางสามารถติดตามพี่ชาย นางยอมรับได้เสมอไม่ว่าจะไปที่ใด
“เฉินเอ๋อร์!” หวังเวิ่นชูร้องเรียกและรีบวิ่งไปกอดเขาจากด้านหลัง
นางกลัวว่าเขาจะจากไปจริงๆ และในเวลาเดียวกันนางก็ตะโกนใส่
“พวกเราพึ่งได้พบหน้ากับเฉินเอ๋อร์ พวกท่านสงสัยตัวเขาได้อย่างไร เขาเป็นหลานชายแท้ๆของท่าน
และลูกชายแท้ๆของข้า! เขาจะปลอมตัวแนบเนียนขนาดนี้ได้อย่างไร?
ยิ่งกว่านั้น รอยประทับนี้นอกจากตระกูลเย่เราแล้ว ไม่ใครรู้จักรอยประทับนี้
กระทั่งหยุนเอ๋อร์ยังไม่รู้ แล้วคนอื่นๆจะรู้ได้อย่างไร? ถึงขนาดนี้แล้วพวกท่านยังจะสงสัยตัวเขาอยู่อีก?”
เย่หวูเฉินถูกรั้งไว้ทำให้ต้องหยุดเท้า
แต่เขายังไม่หันกลับมา
เย่เว่ยยังคงเงียบ
เขาหยิบมีดขึ้นมาแล้วกรีดที่ปลายนิ้ว มองยังเลือดที่หยดลงไปในถ้วยใบเล็ก
จากนั้นเขาหยิบถ้วยและก้าวมายืนยังเบื้องหน้าของเย่หวูเฉินพร้อมถือมีดไว้ในมือ
แววตาจริงจังจ้องไปที่หวูเฉิน “เจ้าต้องรู้ว่าเรื่องนี้สำคัญอย่างยิ่ง พวกเราไม่ได้เคลือบแคลงในตัวเจ้า
ข้ามีบุตรชายเพียง 1 คน และตระกูลเย่ก็มีหน่อเนื้อเหลือเพียงแค่หนึ่งเดียว
เรามองเจ้าเหมือนชีวิตของพวกเรา ข้าหวังว่าเจ้าจะเข้าใจในการกระทำนี้ของบิดา”
บุรุษไม่อาจปล่อยอารมณ์ความรู้สึกของตนได้อย่างอิสระดังเช่นสตรี
หลายๆครั้งพวกเขาต้องกดระงับมันไว้ เนื่องจากหลายๆครั้ง
ผลลัพท์จากการปล่อยให้อารมณ์ครอบงำนั้นเลวร้ายจนยากจะถอนคืน