วันพฤหัสบดีที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 57

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 57 เพลิงพิโรธผลาญแปดแดนร้าง

“ถ้าอย่างนั้น...บุคคลเช่นใดที่แข็งแกร่งถึงขนาดที่พวกท่านไม่อาจตรวจจับพลังได้?” หลงหยินถาม

“เป็นไปไม่ได้...นอกเสียจากว่าบุคคลผู้นั้นมีพลังเหนือกว่าพวกเราหนึ่งช่วงชั้น จึงจะสามารถปกปิดพลังต่อหน้าพวกเราได้” ชายชรากล่าว ฉับพลันสีหน้าเขาก็เปลี่ยนและกล่าวข้อสังเกตที่น่าตกใจ “นายน้อยตระกูลเย่สามารถต้านรับพลังเพลิงได้อย่างสมบูรณ์ พวกเราไม่อาจสัมผัสหรือรับรู้ถึงพลังใดๆในร่างของเขาได้ อย่าบอกนะว่าเขา...เขามีพลังขอบเขตเทวะ!? นี่มัน....”

“ไม่!” หลงหยินส่ายศีรษะ แววตาเต็มไปด้วยพลังขณะมองไปยังสนามประลอง “เขายังหนุ่มเกินไป แม้จะเป็นสุดยอดอัจฉริยะที่แข็งแกร่งพอที่จะเอาชนะหลินเสี่ยวได้ แต่ก็ยังคงเป็นไปไม่ได้สำหรับเขาที่จะมีพลังขอบเขตเทวะ ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่ใช้วิธีการเช่นนั้นในการเอาชนะฮั่วเจิ้นเทียนและคงไม่จำเป็นต้องเดิมพันกับหลินเหยียน ผู้อาวุโส มีวิธีการเช่นใดที่ทำให้ผู้คนสามารถปกปิดกลิ่นอาย? วิธีการแบบใดที่ทำให้ผู้คนไม่เกรงกลัวเปลวเพลิง?

“เรื่องนี้...ตลอดชีวิตข้าจนอายุ 90 ปี ข้าไม่เคยได้ยินเรื่องเช่นนี้มาก่อน...บางทีอาจมีวิธีการดังกล่าวอยู่แต่พวกเราเองก็ไม่มั่นใจ”

“แน่นอน ว่ามีโอกาสเป็นไปได้ที่เขาจะเกิดมาพร้อมกับความสามารถผิดปกติเช่นนี้!” หลงหยินกล่าว

“ได้ยินว่าประมุขหลินถูกนับว่าเป็นนักเวทย์ไฟอันดับหนึ่งแห่งอาณาจักรเทียนหลง คิดไม่ถึงว่ากลับทำได้เพียงโยนเพลิงน่าหัวเราะที่เผาเส้นผมสักเส้นยังไม่ได้? โอ้ ฮี่ฮี่...ผู้เยาว์กล่าวเกินไปหน่อย ดูไม่เคารพไปบ้าง ประมุขหลินโปรดใจกว้างอย่าถือสาใส่ใจ เนื่องจากประมุขหลินเป็นนักเวทย์ไฟอันดับหนึ่งแห่งอาณาจักรเทียนหลง พลังของท่านจึงสมควรสะเทือนหล้าและน่าหวาดหวั่นต่อผู้ทรงพลัง สมควรย่อมเป็นท่านออมมือเมตตาให้แก่ผู้เยาว์ ข้าจึงรู้สึกยินดียิ่งนัก แต่ข้าหวังว่าท่านจะลงมือให้จริงจังให้ยิ่งกว่านี้ อย่าได้ใช้วิธีที่เด็กสามขวบยังไม่คิดจะทำ ประมุขหลินท่านโปรดอย่าลืมว่า หากท่านแพ้ ท่านจะต้องเรียกข้าว่า ท่านปู่สามครา ข้าไม่รังเกียจที่จะมีหลาน แต่หากต้องมีหลานทั้งที่ข้ายังไม่ทันได้แต่งงาน เช่นนั้นผู้คนเขาจะกล่าวว่าอย่างไร....”

“หุบปาก!!” หลินเหยียนโกรธเกรี้ยวราวกับตกอยู่ในสถานการณ์เป็นตาย เขาปรารถนาฉีกร่างเย่หวูเฉินออกเป็นชิ้นๆ ตลอดหลายปีที่ผ่านมาไม่มีใครที่ไม่ยกย่องเขา, เคารพเขา, ประจบเขา และไม่เคยมีใครกล้าเหยียดหยามเขามาก่อน ยิ่งกว่านั้นในครั้งนี้ ไม่ใช่เพียงเพราะเขาเป็นเด็กหนุ่มเท่านั้น แต่เขายังดูถูกต่อหน้าเหล่าขุนนางแห่งอาณาจักรเทียนหลง ในเวลานี้ด้วยความโกรธแค้นจนถึงขีดสุด หลินเหยียนพลันบังเกิดความคิดสังหาร ความยับยั้งชั่งใจที่เคยมีถูกแผดเผาไปกับเพลิงโทสะ

ด้วยดวงตาที่แดงก่ำ เขาตะโกนคำราม ทั่วร่างพลุ่งพล่านไปด้วยเพลิงโทสะ...เปลวเพลิงสีฟ้า ที่น่ากลัวยิ่งกว่าเปลวเพลิงสีแดง ในเวลาเดียวกัน ความร้อนที่ยากจะทานทนได้กำลังแผ่กระจายไปรอบสนามและผู้ชมทั้งหมด ทำให้พวกเขาหายใจไม่ออกและเจ็บปวดอย่างรุนแรง ราวกำลังถูกเผาไหม้ทั้งเป็น

“นั่นมันท่าที่ทรงพลังที่สุดของประมุขหลิน เพลิงพิโรธผลาญแปดแดนร้าง! นี่ไม่ดีแล้ว!!” อาวุโสหลี่ที่นั่งอยู่ข้างหลงหยินตะโกนร่ำร้องออกมา

หลงหยินลุกขึ้นยืนในทันที ชี้นิ้วไปที่หลินเหยียนและตะโกน “หยุด! หยุดการกระทำของเจ้าเดี๋ยวนี้ เจ้าคิดจะเผาผู้คนทั้งหมดรวมถึงข้าด้วยอย่างนั้นรึ!?

ท่ามกลางเสียงร่ำร้องของหลงหยิน หลินเหยียนได้หูดับไปเรียบร้อยและไม่ได้ยินเสียงใดๆ สายตาเขามองตรงไปยังเย่หวูเฉิน เขาแพ้ไม่ได้ เพราะว่าหากเขาแพ้ จะมีคำเหยียดหยามอีกมากมายที่รอถล่มใส่เขาอยู่! เขารวบรวมพลังทั้งหมดในร่างกาย สัมผัสรับรู้ทั้งหมดถูกผนึกลง และถึงแม้เขาได้ยินเสียงหลงหยิน ก็นับว่าสายเกินไปเพราะเมื่อเขาเริ่มแล้วก็ไม่อาจจะหยุดได้ หากมีผู้ใดเข้ามาฝืนหยุดเขา คนผู้นั้นย่อมพาตัวเองมาให้ถูกเผาทำลายและตายในที่สุด

เพลิงสีฟ้าที่ปกคลุมร่างแผ่ขยายออก พลังความร้อนยิ่งมายิ่งน่าสะพรึง เสียงตะโกนร่ำร้องโกลาหลได้ยินสะท้อนไปทั่วบริเวณ อย่างไรก็ตาม แผ่นพื้นที่อยู่ตรงเท้าของหลินเหยียนไม่ได้เผาไหม้ หากแต่มันกำลังไหลเคลื่อนราวกำลังหลอมละลาย!

สีหน้าท่าทางของเย่หวูเฉินยังคงสงบและมั่นคง ท่ามกลางความโกลาหล เขาเป็นผู้ที่อยู่ใกล้หลินเหยียนมากที่สุด หากแต่เขาไม่รู้สึกถูกความร้อนแผดเผาใดๆ เพียงรู้สึกถึงความอบอุ่นบางชนิดเท่านั้น

ทั่วทั้งสนามประลองต่างสับสนอลม่าน ผู้คนที่อยู่ใกล้เวทีเริ่มเอามือกุมศีรษะขณะออกห่างจากพื้นที่ ต่างพากันล่าถอยออกไป ในเวลานี้เอง มีเงาร่างสีเหลืองสองเงากระโจนออกมา แยกฝั่งกันอยู่ซ้ายและขวาของเวที พวกเขาตะโกนและเคลื่อนฝ่ามือ ในฉับพลันก็ปรากฎกระแสลมใหญ่ดุจคลื่นทะเลเข้ากระนาบทั้งด้านซ้ายและด้านขวาของเวที และผสานกันเข้าที่ตรงกึ่งกลาง ด้วยพลังอันมหาศาล ม่านพลังทึบแสงก็ปรากฎขึ้นป้องกันคลื่นความร้อนแผดเผา

อุณหภูมิภายนอกลดลงกลับเป็นปกติอย่างรวดเร็ว ความโกลาหลจึงหยุดลง พวกเขาเพียงแค่มาชมการแข่งขันและเป็นสักขีพยานให้กับนักสู้พรสวรรค์รุ่นเยาว์ โดยไม่คาดคิดกลับมีบุคคลผู้หนึ่งปรากฎกายสร้างเหตุการณ์ผกผันอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งเลยมาถึงยังจุดนี้ จุดที่บุคคลเบื้องหน้าทั้งสองคนกำลังแสดงพลังที่แท้จริงของตนเอง

หลงหยินนั่งลงด้วยสีหน้าทะมึน เขามีโทสะอยู่บ้าง แต่เมื่อมองไปยังเย่หวูเฉินและพบว่าเขายังมีสีหน้าเหมือนปกติก่อนหน้า จึงทำให้หลงหยินรู้สึกประหลาดใจ

เย่เว่ยและเย่หนู่สีหน้าเคร่งเครียดขึ้น เนื่องจากคนทั้งสองถูกป้องกันอยู่ในม่านพลัง ในอีกเพียงไม่กี่อึดใจหลินเหยียนย่อมปล่อยพลังโจมตีทลายโลก ถึงแม้เย่หวูเฉินจะยังคงสงบเยือกเย็น แต่พวกเขาไม่อาจสั่นสะท้านด้วยความกลัว นี่ไม่ใช่เพียงภาพลวงตาหรือการละเล่น หลินเหยียนสูญเสียเหตุผลด้วยไฟโทสะและใช้การโจมตีสุดร้ายแรงใส่คนหนุ่มผู้เยาว์ ยิ่งกว่านั้นเขายังเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของตระกูลเย่!

ยามที่หลินเหยียนได้รวบรวมพลัง ทุกอย่างก็เป็นการสายเกินไป แม้ว่าพวกเขาอยากเข้าไปหยุดแต่ก็ไม่สามารถจะกระทำ สองตัวตนที่เสี่ยงชีวิตเข้าไปปกป้องฝูงชน กลับเป็นการผนึกป้องกันไม่ให้เย่หวูเฉินและหลินเหยียนออกมาได้

ร่างของหลินเหยียนห่อหุ้มด้วยเพลิงสีฟ้า ในที่สุดตอนนี้เพลิงฟ้าก็ระเบิดออก ทั่วทั้งเวทีประลองถูกปกคลุมด้วยเพลิงไฟในฉับพลัน แปรเปลี่ยนกลายเป็นทุ่งทะเลเพลิงฟ้า ขณะเดียวกันพลังของทะเลเพลิงฟ้าก็เกือบทะลวงผ่านม่านพลังของสองผู้คุ้มกันออกมา

ภาพที่เย่หวูเฉินจมหายไปในทะเลเพลิง ทั่วทั้งสนามประลองต่างร้องออกมาด้วยความตกใจ หวังเวิ่นชูดวงตาเหลือกขาวแล้วล้มลง เย่เว่ยตอบสนองฉับพลันและประคองนางไว้ ฝ่ามือประทับตัวคนจนนางค่อยๆฟื้นขึ้นมา

“เฉินเอ๋อร์....เฉินเอ๋อร์เป็นยังไงบ้าง!” หวังเวิ่นชูตะเกียกตะกายลุกขึ้น เย่เว่ยพลันกล่าว “ชูเอ๋อร์ จงเชื่อในตัวเฉินเอ๋อร์ เขาจะต้องปลอดภัย เจ้าไม่เห็นสีหน้าไร้ความหวาดกลัวของเขาก่อนหน้านี้หรือ เขาจะต้องไม่เป็นอะไร”

เขาปลอบประโลมภรรยาพร้อมกับปลอบตนเองและบิดา เย่หนู่ ผู้ที่เวลานี้ทั่วทั้งร่างกำลังสั่นสะท้าน

ทะเลเพลิงฟ้ายังคงลุกโชน เสียงร้องตกใจยังดังอย่างต่อเนื่อง พวกเขาบางคนไม่ได้มีพลังวรยุทธหรือแม้แต่พลังเวทย์ กระทั่งชายหนุ่มสาวน้อยหลายคนที่ไม่ค่อยย่างเท้าออกจากบ้านยังสงสัยว่าพวกตนกำลังฝันอยู่ สิ่งที่เรียกว่าพลังชั้นฟ้า นี่คือสิ่งที่มนุษย์ผู้หนึ่งสามารถกระทำได้จริงๆหรือ?

หากพวกเขารู้ว่าหลินเหยียนนั้นได้กดยั้งพลังให้แคบสุด พลังผลาญแปดแดนร้างที่ยังสามารถขยายออกไปได้อีกนับร้อยเมตร พวกเขาย่อมถูกกลืนกินด้วยความหวาดกลัว

หมดหวังมองผ่านเข้าไปในเปลวเพลิง นางจะมองหาบุตรชายของตนได้อย่างไร อีกครั้งหนึ่ง นางเหลือกตาขาวแล้วฟุบร่างลง


<<<PREV    .    NEXT>>>