วันพุธที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2562

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 538

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 538 ลางสังหรณ์น่าสะพรึง

“ท่านพี่....” ทงซินกุมสองมือไว้ตรงอกอย่างร้อนรนใจ จับจ้องอย่างนิ่งงันไปยังตำแหน่งเทพลึกลับดำที่หายไป หมอกทมิฬแกร่งกล้าเหนืออากาศพัดกระจายขึ้นสูง ถูกกระแสลมแผ่วเบาพัดพาไปยังทิศใต้ เทพลึกลับดำถูกเผาร่างจนดับสูญ เมื่อพลังทมิฬไร้ภาชนะมันจึงกระจายตัวในรูปธาตุ พลังธาตุเหล่านี้แกร่งกล้าเพียงใดย่อมจินตนาการได้

หมอกทมิฬที่ไหลเนื่องเชื่องช้ากลับกลายเป็นเร็วขึ้น ราวกับถูกพัดพาโดยลมกรรโชก ประดุจมีบางอย่างดึงดูดมันให้ตรงไปยังทิศใต้....

กลุ่มคนยังไม่ทันตื่นจากความตกตะลึงเหนือคำพูด แสงขาวอ่อนโยนพลันปรากฎตรงหน้า.... เป็นร่างของเย่หวูเฉิน เวลานี้ร่างของเขาไร้อาภรณ์ใดๆ แหวนเทพกระบี่ยังหายไปด้วยเช่นกัน.... ทงซินที่คุ้นเคยกับร่างเขามานานแล้วพลันถลาเข้ากอด สัมผัสถึงลมหายใจและเสียงหัวใจเต้นมั่นคงด้วยความยินดี เทพจักรพรรดิมองด้วยสายตาไม่เป็นธรรมชาติ นางวาดมือกลางอากาศ ชุดทองคำสวมทับร่างของเย่หวูเฉินทันที เมื่อหันศีรษะมองเขาอย่างพินิจ สีหน้าของนางพลันกลับกลาย ชาโหวมีสีหน้าแปรเปลี่ยนเช่นเดียวกัน

กลิ่นอายชีวิตยังคงสมบูรณ์.... ทว่าไม่อาจสัมผัสถึงการดำรงอยู่ของเขาได้!

.....นี่เป็นร่างไร้วิญญาณ!?

“ท่านพี่ ท่านพี่” ทงซินเขย่าร่างเขาเบาๆ พร้อมเอ่ยเรียกซ้ำๆ เทพลึกลับดำได้หายไปแล้ว ท่านแม่จักรพรรดิยังเอ่ยปากว่าจะไม่ขัดขวางพวกนางอีก ทุกความขัดข้องสลายไปในพริบตา ท่ามกลางความปิติไร้สิ้นสุด นางไม่ทันตระหนักถึงความผิดปกติใดๆ มีเพียงความคิดเรียบง่ายว่าเขาใช้พลังไปมากเกินไปจึงหมดสติลง ด้วยเขาและนางต่างเคยตกอยู่ในสภาพเช่นนี้มาก่อน

เทพจักรพรรดิและจักรพรรดิปีศาจมองหน้ากันคราหนึ่ง ต่างเห็นความสับสนของอีกฝ่าย.... ทั้งสองจินตนาการได้เลยว่าเย่หวูเฉินต้องจ่ายราคาใดเพื่อทำลายเทพลึกลับดำ ความรู้สึกในยามนี้ช่างซับซ้อนเกินบรรยาย

บุคคลที่ใกล้ตกตาย หรือแม้กระทั่งตายไปแล้ว ยังพอมีหวังใช้วิธีประหลาดฝ่าฝืนสวรรค์นำชีวิตคืนกลับ.... ยกตัวอย่างเช่นชาหลัวบุตรของชาโหวที่ถูกส่งวิญญาณปีศาจไปเกิดใหม่ด้วยโลหิตสังสาระ ทว่าเมื่อวิญญาณถูกทำลายอย่างสิ้นเชิง ไม่เคยได้ยินว่ามีวิธีใดที่สามารถฟื้นคืนวิญญาณที่ถูกลบล้างได้

วิญญาณของเย่หวูเฉิน.... ถูกลบล้างจนหมดสิ้น ไม่เหลือร่องรอยใดทิ้งไว้แม้แต่น้อย

เมื่อใดที่วิญญาณอัคคีลุกไหม้ วิญญาณย่อมถูกเผาผลาญจนหมดสิ้น ไหนเลยจะเหลือร่องรอยทิ้งไว้

เซียงเซียงยืนอยู่บนร่างของเย่หวูเฉิน จ้องมองนายของตัวเองอย่างเงียบงัน ชีวิตของเย่หวูเฉินมิได้ดับสิ้น ดังนั้นนางจึงไม่ดับสูญ.... นางยังคงเยาว์วัย ใบหน้าเล็กๆบอบบางไร้ที่เปรียบ ผู้คนจึงไม่อาจมองเห็นสีหน้าที่แปรเปลี่ยนของนางได้ชัดเจนนัก

ท่ามกลางสายตาของชาโหวและเทพจักรพรรดิ เซียงเซียงแผ่แสงขาวนำร่างของเย่หวูเฉินและทงซินหายไปจากตรงนั้น

กลับสู่ความสงบในที่สุด เทพลึกลับดำได้ดับสูญอย่างแท้จริง หายนะคุกคามทวีปปีศาจได้ถูกลบล้างด้วยประการนี้ ทว่าภายในของชาโหวและเทพจักรพรรดิล้วนเต็มไปด้วยความรู้สึกซับซ้อน การต่อสู้ระหว่างเทพและปีศาจกลับถูกพัวพันโดยมนุษย์แห่งทวีปเทียนเฉิน ยิ่งกว่านั้น ทุกอย่างได้แปรเปลี่ยนเพราะมนุษย์ผู้นี้.... สุดท้ายเขาต้องแผดเผาวิญญาณเพื่อใช้เป็นราคายุติเรื่องราว การต่อสู้ระหว่างเทพและปีศาจกลับกลายเป็นชะตาที่เย่หวูเฉินต้องฝ่าฝืน.... ในที่สุดเขาเอาชนะได้อย่างน่าสลดใจ.... ไม่มีผู้ใดพรากหนิงเสวี่ยและทงซินจากเขาได้อีก แต่ทว่า....

เทพจักรพรรดิเงยหน้าขึ้นมองฟ้า แววตาเศร้าเสียใจอย่างล้ำลึก กล่าวได้ว่านางคือต้นเหตุของทุกเรื่องราว.... พลังต่อต้านเจตจำนงค์ของสวรรค์ กลับถูกแบกรับไว้โดยเขา.... สำนึกเสียใจ นางสำนึกเสียใจอย่างแท้จริง

“มันจบแล้ว ถึงเวลาที่ข้าควรกลับ” เทพจักรพรรดิประคองร่างเสวี่ยเย่ กล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

“ช้าก่อน” ชาโหวกลับส่งเสียงหยุดนางไว้ สีหน้ามืดทะมึนลึกล้ำ มันจับจ้องไปยังท้องฟ้าทางทิศใต้ “เจ้าไม่คิดหรือว่า การไหลของพลังทมิฬนี้ค่อนข้างแปลก....”

พลังทมิฬจากเทพลึกลับดำทรงอานุภาพเพียงใด เวลานี้มันยังคงไม่หมดสิ้น ความเร็วของหมอกทมิฬที่ถูกพัดพายิ่งมายิ่งเร็วขึ้น.... จนกระทั่งเข้าใกล้ระดับที่บ้าคลั่ง.... หมอกทมิฬทั้งหมดยังไหลไปทางทิศใต้

ลางสังหรณ์น่าสะพรึงพลันปรากฎขึ้นในใจของชาโหวและเทพจักรพรรดิ เงาทะมึนหนักหน่วงยิ่งกว่าเทพลึกลับดำพลันพาดผ่านหัวใจของทั้งสอง

...................

...................

ทวีปเทียนเฉิน....

เทพลึกลับดำถูกทำลายลง ทว่าเทพลึกลับขาวยังคงอยู่ มันนิ่งงันอยู่ในห้วงเวลาที่หยุดนิ่ง

“ที่นี่คือ....อ๊า!?” ทงซินกอดร่างไร้สติของเย่หวูเฉินลอยอยู่กลางอากาศ สายตาพลันมองพบเทพลึกลับขาวที่อยู่ไม่ห่าง นางส่งเสียงอย่างตกใจ

ทันใดนั้น มีเสียงอ่อนหวานแว่วเข้ามาในหู “ซือเฉิน.... ซือเฉิน.... นายท่านเอาชนะเทพลึกลับดำได้แล้ว รีบปลดผนึกเวลาออกเร็วเข้า ข้าจะต้องช่วยนายท่าน.... ซือเฉิน....”

เสียงที่ดังมาจากเย่หวูเฉิน.... คือเสียงของเซียงเซียง นางเริ่มเอ่ยวาจาอย่างคาดไม่ถึง น้ำเสียงอ่อนหวานนุ่มนวล ไร้ความสะดุดขัดข้องแม้แต่น้อย

ติ้ง!

เกิดเสียงแตกเพียงบางเบา เทพลึกลับขาวที่หยุดนิ่งเริ่มขยับ ทว่าทันใดนั้น ร่างของมันเริ่มแยกออกจากกัน ก่อนระเหยหายไปอย่างรวดเร็ว.... เทพลึกลับดำและเทพลึกลับขาวต่างพึ่งพาการดำรงของอีกฝ่าย เมื่อใดที่ฝ่ายหนึ่งดับสูญ อีกฝ่ายย่อมสูญสลายไปในทันที....

เมื่อร่างกายแตกดับ พลังแสงสีขาวและพลังชีวิตสีเขียวพลันกระจายออกพร่างพรมทั่วทวีปเทียนเฉิน.... แสงสว่างครอบคลุมผืนปฐพี ยามนี้คือช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วง ทุกแห่งหนเต็มไปด้วยใบไม้แห้งสีเหลือง ทว่าราวกับปาฏิหาริย์ พวกมันกลับคืนเป็นสีเขียวอย่างรวดเร็ว ต้นไม้แห้งเหี่ยวยืนลำต้นตรงขึ้น ประหนึ่งฤดูใบไม้ผลิได้มาถึง ภายใต้พลังแห่งชีวิต คนชราและคนป่วยหนักใกล้ตายนับไม่ถ้วนราวกับเกิดใหม่ ต่างทดลองลุกขึ้นนั่งอย่างตกตะลึงและยินดีปรีดาอย่างไม่อาจบรรยาย

พลังแสงและชีวินจากเทพลึกลับขาวแกร่งกล้าปานใด บนผืนทวีปเทียนเฉิน ไม่ทราบชีวิตเท่าใดที่ถูกช่วยไว้ด้วยพลังนี้..... การระเบิดทำลายทุกสรรพสิ่ง ถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นพลังธรรมชาติที่อ่อนโยนที่สุด เทพลึกลับขาวที่สมควรทำลายทั้งทวีปเทียนเฉิน ถูกความพยายามของเย่หวูเฉินและหนิงเสวี่ย แปรเปลี่ยนหายนะให้กลายเป็นความอบอุ่นพร่างพรมไปยังสรรพชีวิน

‘พระอาทิตย์’ สีขาวขนาดมหึมาค่อยๆ สลายตัวและจางลง.... กระทั่งหายไปจนหมดสิ้น การปรากฎขึ้นและหายไปของมันจะถูกบันทึกในหน้าประวัติศาสตร์ของทวีปเทียนเฉิน กลายเป็นปริศนาที่ไม่มีวันไขออก และไม่มีใครคาดคิดว่าวันนี้ทุกคนเพิ่งจะรอดชีวิต หลุดพ้นจากขอบเหวแห่งความตายมาได้อย่างเฉียดฉิว

หนิงเสวี่ยยังคงลอยร่างอยู่กลางอากาศในท่วงท่าศักดิ์สิทธิ์ กลิ่นอากาศโชยสัมผัสจมูก นางลองลืมตาขึ้นเพื่อตรวจสอบ หากกลับได้พบภาพที่ตัวเองแทบไม่เชื่อสายตา.... ขณะที่เวลาถูกหยุดลง นางที่ผสานกับเทพลึกลับขาวได้ถูกหยุดไว้หลังจากเอ่ยวาจาสุดท้ายกับเย่หวูเฉิน.... ในชั่วเวลาเพียงสั้นๆ นางปรากฎตัวขึ้นในโลกมายาอีกใบ ในโลกนี้นางได้พบน้องสาว ได้เห็นพี่ชายที่ต้องแยกจากกันตลอดกาล....

“ท่านพี่.... น้องหญิง.... ซือเฉิน....” นางลองเอ่ยเรียกด้วยน้ำเสียงกังวล สายตายังคงหม่นมัว.... ภาพมายาเหล่านี้ ราวกับหมอกควันในจินตนาการและความฝัน

ข้างกายนาง มีร่างเล็กๆลอยนิ่งงันในแสงขาว ผิวพรรณงดงามไร้มลทิน เส้นผมสีดำเป็นมันเงา ร่างกายและดวงหน้าได้รูป ดวงตากำลังปิดอยู่ ร่างกายอยู่ในท่าคุดคู้ ดูเหมือนคนกำลังหลับอยู่กลางอากาศ.... นี่คือซือเฉิน ซือเฉินผู้หลับพักผ่อนมาเป็นเวลานานแล้ว

“พี่หญิง” ทงซินกอดร่างไร้สติของเย่หวูเฉิน จ้องมองหนิงเสวี่ยอย่างงมงาย พี่น้องสองสาวเดิมทีไม่อาจได้พบหน้ากันอีก บัดนี้ได้กลับมาพบหน้ากันอีกครั้งในเวลาเพียงไม่ถึงหนึ่งวัน ทว่าความรู้สึกกลับคล้ายผ่านไปเป็นปีๆ.... ชะตาของพวกนางที่จริงควรจบสิ้นลง.... ทว่าสุดท้ายพวกนางมิได้ถึงจุดจบ เป็นเย่หวูเฉินที่ฉุดรั้งพวกนางจากความสิ้นหวัง ช่วยออกมาจากทวีปเทวะ กอบกู้จากมือของเทพลึกลับดำขาว เขาบรรลุเรื่องเหล่านี้ได้จริงๆ ทั้งที่ไม่อาจเป็นไปได้.... ทว่าเขากลับต้องสูญเสียสติทั้งหมดไป

หนิงเสวี่ยบินมาอยู่ข้างกายทงซิน คว้ามือของนางและเย่หวูเฉินไว้ นางไม่สนใจว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกับตน ไม่สนใจเหตุผลที่ทงซินปรากฎตัวขึ้นที่นี่ ไม่สนว่าเหตุใดเทพลึกลับขาวจึงได้หายไป นางมองเย่หวูเฉินที่ไร้สติ ส่งเสียงโศกศัลย์และร้อนรน “น้องหญิง ท่านพี่เขา.... ทำไมเขา....”

ทงซินส่ายศีรษะเล็กน้อย ทว่าเซียงเซียงชิงตอบก่อน “นายท่านเพื่อเอาชนะเทพลึกลับดำ เขาจึงใช้วิญญาณอัคคีเผาห้วงสติของตัวเอง วิญญาณของเขาถูกเผาผลาญจนหมดสิ้น.... ตอนนี้เหลือเพียงชีวิตและร่างกายเท่านั้น”

หนิงเสวี่ยและทงซินราวกับถูกอัสนีสวรรค์ฟาดผ่า ร่างกายไหวโงนเงนแทบร่วงลงจากอากาศ หนิงเสวี่ยจับร่างของเซียงเซียงไว้ กล่าวด้วยน้ำเสียงหวาดกลัว “เซียงเซียง.... บอกข้า เกิดอะไรขึ้น เจ้าสมควรรู้เรื่องทั้งหมด.... บอกข้า”

“พี่หญิงหนิงเสวี่ย พี่หญิงทงซิน หลับตาลงก่อน.... รับรู้ถึงสติข้า.... พวกท่านจะทราบเรื่องทุกอย่างในทันที” เซียงเซียงกล่าวอย่างนุ่มนวล

หนิงเสวี่ยและทงซินกอดร่างของเย่หวูเฉิน ทั้งสองหลับตาลง กลุ่มแสงไร้สีแผ่ออกจากร่างของเซียงเซียงอย่างเงียบงัน แผ่คลุมสู่ห้วงสติของหนิงเสวี่ยและทงซินช้าๆ.... ทุกความทรงจำของเซียงเซียง ตั้งแต่เดือนที่เย่หวูเฉินสลบไป จนกระทั่งถึงตอนที่เขาใช้วิญญาณอัคคีทำลายเทพลึกลับดำ ได้ถูกส่งผ่านไปสู่พวกนางทั้งหมด

พลังที่เซียงเซียงครองอยู่ มีเพียงเฉพาะพลังมิติเท่านั้นจริงๆหรือ?

มิติวิญญาณที่นางสร้างขึ้น กระทั่งเทพลึกลับดำยังไม่อาจต่อต้านได้ทั้งหมด.... นั่นเป็นเพียงพลังมิติจริงๆหรือ?

นั่นเหมือนกับ.... พลังวิญญาณ

ไม่เพียงพลังมิติเท่านั้นที่หาได้ยากยิ่ง หากยังคงมีอีกหนึ่งพลังอันลึกลับสูงสุด นั่นคือพลังวิญญาณ

ท่ามกลางหัวใจและดวงวิญญาณอันสั่นไหว หนิงเสวี่ยและทงซินประจักษ์ชัดต่อทุกอย่างที่เกิดขึ้น นับตั้งแต่พวกนางถูกพรากจากไปโดยเย่หมิง เย่หวูเฉินแม้ทราบว่าตนมีพลังต่ำต้อยเมื่อเทียบกับทวีปเทวะ หากยังคงปีนป่ายหอคอยผ่านเทพขึ้นไป.... สังหารเหล่าเทพขุนพล สังหารเย่หมิง.... รุดเข้าไปยังวิหารเทวะ.... เพื่อพวกนาง เขายอมสละดวงวิญญาณของตัวเอง....

น้ำตา คือสิ่งเดียวที่สามารถระบายทุกอารมณ์ของพวกนางได้ เขาห่วงใยและรักใคร่พวกนางจนไม่อาจบรรยายด้วยคำใด นอกจากอยู่เคียงข้างเขาตลอดไปเท่านั้น วิธีอื่นล้วนไม่อาจตอบแทนเขาได้

“ท่านพี่....” หนิงเสวี่ยลูบใบหน้าของเย่หวูเฉิน ร่างกายของเขายังคงอบอุ่น นางแนบศีรษะลงบนอกเขา และกล่าวคำอย่างนุ่มนวล “ข้ารู้.... ท่านจะอยู่เคียงข้างพวกเราตลอดไป.... ตราบจนชั่วนิรันดร์....”

หากชีวิตถูกทำลาย นางคงยังไม่สิ้นความหวังอย่างแท้จริง เพราะนางคือองค์หญิงไป่เย่ผู้ครองพลังชีวิตอันบริสุทธิ์และทรงพลังสูงสุด เชื่อว่าตนสามารถชุบชีวิตกลับคืนได้แม้กระทั่งคนตาย ทว่าวิญญาณถูกทำลายจนหมดสิ้น นี่ไร้โอกาสใดๆที่จะฟื้นกลับได้ ดุจใบไม้แห้งที่ถูกเผาสลายไป ไร้ความหวังที่จะกลับคืนสู่สภาพเดิมอีก

แม้เย่หวูเฉินเปรียบได้กับคนตาย ทว่าเขากลับทิ้งความหวังไว้.... เป็นความหวังที่แสนสิ้นหวัง เพราะร่างของเขามิได้ตกตาย หนิงเสวี่ยและทงซินย่อมไม่ลาโลกนี้ไปตามเขา แต่อยู่ร่วมกับร่างไร้วิญญาณของเขาตลอดไป 
ทว่าความเจ็บปวดในหัวใจของหนิงเสวี่ยและทงซินในยามนี้ แทบทำให้พวกนางขาดใจดับดิ้นลงทันที การตายด้วยวิธีนี้ น่ากลัวกว่าการถูกกลืนกินโดยหุ่นเทพไม่รู้กี่เท่า....

“พี่หญิงหนิงเสวี่ย พี่หญิงทงซิน อย่าร้องไห้เลย.... ข้ามีวิธีช่วยนายท่าน ข้ามีวิธีปลุกนายท่านให้ตื่นขึ้น”



<<<PREV    .    NEXT>>>