วันพุธที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2562

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 552

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 552 การปะทะครั้งสุดท้าย (1)

หวังเวิ่นชูกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เรื่องนี้เจ้าตัดสินใจเองเหมือนคราวก่อน ว่าแต่เฉินเอ๋อร์.... ยังเหลือสาวๆ อีกเท่าไหร่ที่เจ้ายังไม่ได้บอกแม่? ก่อนหน้านี้ก็มากมายจนแม่แทบไม่ทันตั้งตัว หลายปีมานี้ เจ้าแต่งงานใหญ่อย่างต่อเนื่อง จนความใจง่ายของเจ้าโด่งดังไปทั่ว แม่ต้องคอยรับมือกับของขวัญที่ถูกส่งเข้าประตูหน้าแทบทุกวี่วัน”

เป็นความจริงที่ว่าด้วยรูปร่างหน้าตา , พรสวรรค์ , พลังอำนาจ , และพื้นฐานตระกูลของเย่หวูเฉินล้วนไม่มีผู้ใดเปรียบเทียบ สตรีใดไม่ปรารถนาแต่งเข้าตระกูลเย่ ตระกูลใดไม่หวังให้ลูกสาวแต่งสู่ตระกูลเย่เพื่อยกระดับฐานะ.... สี่ปีก่อน เย่หวูเฉินแต่งงานจักรพรรดินีเฟยฮวงและคุณหนูแห่งตระกูลฮั่ว สามปีก่อนแต่งงานกับเหยียนจื่อเมิ่งและเสี่ยวหยูแห่งตระกูเลชูเกอ สองปีก่อนแต่งงานกับองค์หญิงสำนักจักรพรรดิใต้ฉุ่ยเมิ่งฉาน ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นคู่หมั้นของจักรพรรดิหลงหยิน ในขณะเดียวกันยังรับฉุ่ยหลิงเอ๋อร์ไว้ในฐานะสาวอุ่นเตียง หนึ่งปีต่อมาแต่งงานกับสององค์หญิงแห่งสำนักมาร คือเหยียนกงเยว่และเหยียนกงรั่ว หกเดือนก่อนแต่งงานกับเยว่ซือฉีธิดาแห่งเยว่หานตง แม่ทัพบูรพาแห่งอาณาจักรเทียนหลง.... ผลลัพธ์คือ อุปนิสัยด้านนี้ของเขาได้กลายเป็นที่เลื่องลือและกล่าวขวัญในทวีปเทียนเฉิน และด้วยเหตุนี้ บนผืนทวีปทั่วทุกดินแดน ตราบใดที่บ้านไหนมีลูกสาวงามเด่น ต่างล้วนทำทุกวิธีมายังตระกูลเย่เพื่อเสี่ยงโชค.... กระทั่ง ชางเสี่ยวอวิ๋น จักรพรรดิแห่งชางหลาน ยังมาหาเย่หวูเฉินหลายครั้งและเสนอขายธิดาของตนเองอย่างชัดแจ้ง.... หากจักรพรรดิมารกลายเป็นราชบุตรเขยของมัน มันคงหัวเราะร่าในขณะหลับนอน

เรื่องเหล่านี้ เย่หวูเฉินมิได้อนาทรร้อนใจแม้แต่น้อย เพราะผู้ที่ต้องรับหน้าจนแทบหมดสิ้นเรี่ยวแรงคือเย่เว่ยและหวังเวิ่นชู

“เอ่อ....” เย่หวูเฉินคล้ายกับยิ้มฝืดฝืน อุปนิสัยนี้ถูกกำหนดโดยสายเลือดที่เขามีอยู่ และเพราะอุปนิสัยนี้ พลังของเขาจึงบรรลุระดับสูงสุดอย่างแท้จริง ทว่านี่เป็นคำถามที่ตอบได้ยากยิ่ง เขาทำได้เพียงส่งเด็กน้อยทั้งสองคนในอกให้กับเย่เว่ยและหวังเวิ่นชูเพื่อเบี่ยงประเด็น ก่อนกล่าวกับเทียนสื่อด้วยรอยยิ้ม “เทียนสื่อ พี่หญิงฮวงเอ๋อร์ของเจ้า ตอนที่นางอายุ 16 ปีก็ได้เป็นจักรพรรดินีผู้ยิ่งใหญ่แล้ว เจ้าต้องยิ่งใหญ่ยิ่งกว่านางให้ได้ เข้าใจมั้ย?”

“อื้ม เข้าใจแล้ว” เทียนสื่อน้อยมิได้เข้าใจความหมายของถ้อยคำเหล่านี้อย่างแท้จริง แต่ไม่ว่าเย่หวูเฉินกล่าวสิ่งใด เขาย่อมตอบรับอย่างเชื่อฟังอยู่เสมอ เขาและเจินเจินอยู่ภายใต้การดูแลและชี้นำของเย่หวูเฉิน สติปัญญาและศักยภาพด้านต่างๆ จึงพัฒนาเร็วรุดกว่าเด็กรุ่นเดียวกัน อนาคตของเขาย่อมเหนือล้ำกว่าเด็กรุ่นเดียวกันไปไกลลิ่ว

แม้เขายังไม่อาจเข้าใจความหมายที่แท้จริง แต่เย่เว่ยและหวังเวิ่นชูต่างแสดงอาการตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด เพราะคำกล่าวนี้ของเย่หวูเฉินบ่งบอกอย่างชัดเจนว่า.... เขาจะทำให้เทียนสื่อกลายเป็นจักรพรรดิองค์ต่อไป ถัดจากหลงฮวงเอ๋อร์!

ด้วยพลังอำนาจของสำนักมาร ไม่ว่าเขาส่งเสริมให้ผู้ใดขึ้นเป็นจักรพรรดิ ต่อให้เป็นขอทานข้างถนนก็ล้วนไม่มีใครกล้ากล่าวคำ ด้วยสถานะของหลงฮวงเอ๋อร์ในปัจจุบัน ผู้คนต่างคาดหวังว่าโอรสของนางและจักรพรรดิมารจะได้ขึ้นเป็นจักรพรรดิองค์ต่อไป ทว่าจักรพรรดิมารแต่งงานมาแล้วสี่ปี นอกจากลูกสาวอายุหกขวบแล้วเขาไม่มีลูกอีกเลย ไม่ทราบว่าเขาตั้งใจหรือเพราะมีสาเหตุอื่น เรื่องนี้ยังได้กลายเป็นหัวข้อลับที่ผู้คนจำนวนมากถกเถียงกัน

ขณะที่เย่หวูเฉินนำหนิงเสวี่ยและทงซินออกไป เขาได้กล่าวกับเย่เว่ยและหวังเวิ่นชู “วันนี้อาจมีแผ่นดินไหวเล็กๆ เกิดขึ้น อีกทั้งยังจะเกิดขึ้นยาวนาน พวกท่านโปรดระวังตัวด้วย โดยเฉพาะอย่าให้ท่านปู่หกล้ม”

......................

......................

มิติถูกตัดผ่าน , ทวีปเทวะ

เย่หวูเฉินเมื่อพบเทพจักรพรรดิแต่ละครั้ง บนใบหน้าจะต้องเผยรอยยิ้มชั่วร้ายออกมา ขณะที่เทพจักรพรรดิเห็นรอยยิ้มนี้แต่ละครา นางจะต้องสั่นสะท้านจับจิต เย่หวูเฉิน ‘ลงทัณฑ์’ นางในฐานที่เกือบทำให้หนิงเสวี่ยและทงซินต้องตายอย่างต่อเนื่องมาตลอดสามปี มีทั้งหนึ่งเดือนครั้ง , ครึ่งเดือนครั้ง , ไม่กี่วันครั้ง , หรือวันละหลายครั้ง ซึ่งแต่ละครั้งล้วนใช้วิธีการที่ต่างออกไป ถูกกระทำจนร่างกายและจิตใจเชื่องเชื่อ ผู้ใดจะคาดคิดว่าเทพจักรพรรดิผู้สูงส่งยามอยู่ต่อหน้าเย่หวูเฉิน จะต้องอยู่ในท่วงท่าอาการต่างๆ ที่เทพเทวาแทบไม่กล้ามองตรง ยามนี้เทพจักรพรรดิไร้การขัดขืนหรือดิ้นรนต่อเย่หวูเฉินแม้แต่น้อย

หลังกล่าวคำทักทายต่อเทพจักรพรรดิ และสนทนากันเสร็จ หนิงเสวี่ยและทงซินราวกับนกน้อยโผบินออกจากกรง ตรงไปยังสระเซียนที่สร้างขึ้นใหม่เพื่ออาบน้ำ หลังจากหายนะเมื่อสามปีก่อน เมืองศูนย์กลางและวิหารเทวะแห่งใหม่ได้สร้างขึ้น เงาทะมึนที่เคยพาดผ่านได้จางไป ทว่าแปดเทพขุนพลได้ถูกสังหารจนหมดสิ้น ตอนนี้แปดเทพขุนพลรุ่นใหม่ยังอยู่ในช่วงฝึกฝน สามขุนพลศักดิ์สิทธิ์ยังเหลือเพียงคนเดียวคือเสวี่ยเย่

“เสวี่ยเย่ล่ะ?” เย่หวูเฉินถาม

ที่นี่เหลือเพียงนางกับเย่หวูเฉิน เทพจักรพรรดิเริ่มรู้สึกลำคอแห้งผากและร้อนรุ่ม “เมื่อคืนนางถูกองค์จักรพรรดิชื่นชมอย่างดุเดือด.... ตอนนี้ยังคงไม่ลุกออกจากเตียง”

“โอ้?” เย่หวูเฉินหรี่ตาลงเล็กน้อย มุมปากเหยียดยกขึ้น “เจียเสี่ยวหลัว จำได้ว่าเมื่อคืนข้าออกแรงกับเจ้ามากกว่า เทพจักรพรรดิอย่างไรก็ยังเป็นเทพจักรพรรดิ ไม่ว่าเรื่องใดล้วนแต่ยอดเยี่ยมกว่า”

เทพจักรพรรดิเบี่ยงสายตาออกด้านข้าง ไม่กล่าวคำใด ในใจไร้การต่อต้านหรือขัดขืน

อย่างไรก็ตาม เย่หวูเฉินไม่ได้มาที่นี่เพื่อรุกรานนาง เขาหันร่างและโบกมือขึ้นเล็กน้อย “ฝากดูแลเสวี่ยเอ๋อร์กับทงซินด้วย ข้าจะออกไปข้างนอก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นไม่จำเป็นต้องกังวล แล้วข้าจะกลับมาอีกครั้ง”

เทพจักรพรรดิไม่ทันมีเวลาได้ไต่ถาม เย่หวูเฉินก็หายตัวไปจากตรงนั้น

อวกาศภายนอกเต็มไปด้วยสีสันแห่งมายา ลึกลับไร้สิ้นสุด ที่นี่คือใจกลางห้วงโกลาหล สถานที่อันไกลลับจากทวีปเทียนเฉิน , ทวีปเทวะ , และทวีปปีศาจ ไกลห่างยิ่งกว่าคำว่าปีแสง อวกาศโดยรอบเต็มไปด้วยดวงดาวน้อยใหญ่ ทั้งที่อยู่ใกล้และอยู่ไกล เขายืนอยู่ท่ามกลางดวงดารานับไม่ถ้วน จับจ้องไปยังเบื้องหน้าไม่ทราบว่าตำแหน่งใด

“เซียงเซียง นี่คือสถานที่ที่เจ้าถือกำเนิด แต่วันนี้ พวกเรากำลังจะต้องเผชิญหน้ากับผู้ที่แข็งแกร่งสุด นี่คือการต่อสู้ครั้งสุดท้าย ตอนนี้.... พวกเรามาต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กัน!” เขากล่าวอย่างอ่อนโยน อย่างไรก็ตาม เซียงเซียงยังไม่ทันกล่าวตอบ ฉับพลันมีเสียงอื่นแว่วมาถึงเขา

“เรียนองค์จักรพรรดิ.... ข้าคือชาโหว....” นี่คือเสียงของชาโหวที่ส่งผ่านพลังวิญญาณ

“มีอะไร” เย่หวูเฉินหลับตาถาม

“เอ่อ คือ....” น้ำเสียงของชาโหวแฝงความอับจน “เสี่ยวโม่ทะเลาะกับข้าว่าจะต้องกลับไปในเช้านี้.... แต่ว่าวงแหวนเวทย์เคลื่อนย้ายยังซ่อมแซมไม่แล้วเสร็จ จึงขอเรียนเชิญองค์จักรพรรดิหากมีเวลาว่างได้โปรดมาเยี่ยมเยือน ท่านไม่ได้มาที่นี่เป็นเวลาสองวันแล้ว”

เย่หวูเฉินยิ้มกล่าวอย่างเข้าใจ “ให้เสี่ยวโม่รอข้าก่อน แล้วข้าจะไปรับนางทีหลัง.... ชาโหว ต่อไปนี้ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นอย่าได้ตื่นตกใจ จะไม่มีเรื่องร้ายใดๆ อ้อ , อีกอย่าง ระวังแผ่นดินไหวด้วย”

ไม่รอให้ชาโหวตอบคำกลับ เย่หวูเฉินตัดการรับรับรู้ทางวิญญาณทั้งหมดออก เขาเงยศีรษะมองไปยังเบื้องหน้าฉับพลัน

ที่เบื้องหน้า ปรากฎเงาพร่าเลือนที่กลายเป็นแจ่มชัดอย่างรวดเร็ว คู่ดวงตาคมกล้าปราดมองไปยังเป้าหมาย อีกฝ่ายต่างจับจ้องมองกัน นี่คือชายชุดดำคนก่อนหน้า ทั่วร่างสวมในชุดและหมวกดำ มีเพียงดวงตาเท่านั้นที่เผยออกมา

คนทั้งคู่อยู่ห่างจากกันนับหมื่นเมตรในสถานที่อันไร้ผู้คน ทว่าระยะห่างเพียงนี้ กลับปรากฎเพียงสั้นๆระหว่างพวกเขา มองจากที่ไกลๆ ปรากฎว่าพวกเขามีความสูงเท่ากันพอดิบพอดี กระทั่งรูปร่างลักษณะยังเหมือนกัน

ทันใดนั้น บรรยากาศเงียบงันอย่างน่ากลัว ราวกับสนามพลังประหลาดควบกลั่นกระทั่งอวกาศให้แข็งตัว ทันใดนั้น ความเงียบงันอันยาวนานได้ถูกทำลาย พวกเขาหัวเราะลั่นเสียงดังตามกัน จังหวะการหัวเราะยังเหมือนกันไม่ผิดเพี้ยน

“เจ้าหัวเราะอะไร”

“แล้วท่านหัวเราะอะไร”

เย่หวูเฉินระงับสีหน้าแห่งความสุขและกล่าว “ข้าหัวเราะ เพราะว่าในที่สุด ข้าก็สามารถเห็นร่างจริงของท่านได้”

“ข้าหัวเราะ เพราะท้ายที่สุดแล้ว ข้าก็สามารถปรากฎร่างจริงต่อหน้าเจ้าได้”

แสงทองคำและแสงโลหิตสว่างวาบขึ้นในมือของเย่หวูเฉิน เขาจับจ้องไปยังที่ห่างไกลด้วยความทรนง “ในเมื่อท่านและข้าต่างสมปรารถนาแล้ว เช่นนั้นมาเริ่มกัน จากเงื่อนไขที่ตกลงกันไว้เมื่อสามปีก่อน หากข้าเอาชนะท่านได้ ท่านจะมอบบางอย่างให้กับข้า แต่หากข้าพ่ายแพ้ ข้าจะต้องสูญเสียทุกอย่าง”

“ไม่” ชายชุดดำกลับส่ายศีรษะ “ข้าขอถอนคำพูดเหล่านั้นในอดีต วันนี้ ไม่ว่าเจ้าชนะหรือพ่ายแพ้ ข้าก็จะมอบของสิ่งนั้นให้กับเจ้า.... เพราะมันสมควรเป็นของๆเจ้าอยู่แล้ว คำพูดของข้าในอดีต เพียงเพื่อเป็นแรงผลักดันต่อเจ้า”

“ได้!” เย่หวูเฉินไม่ปฏิเสธ กระบี่ตัดดาราเหวี่ยงออกทันที

ชายชุดดำกดหัวคิ้วหรี่ตาลง มือขวาขยับขึ้นพร้อมกับแสงทองคำ มันควบกลั่นกลายเป็นกระบี่เล่มหนึ่ง.... นี่คือกระบี่ทองคำ มีความกว้างยาวเท่าๆกับกระบี่ตัดดารา ดูเรียบง่ายไม่หวือหวา ทว่าจากที่ไกลๆ เย่หวูเฉินสามารถมองเห็นได้ชัดว่าเหนือใบกระบี่เล่มนั้นมีรูปสลักพระอาทิตย์ , พระจันทร์ , และดวงดาวไว้ ในอีกด้านหนึ่งสลักเป็นรูปภูเขาและต้นไม้ไว้ ในขณะที่กระบี่ปรากฎออกมา แรงกดดันของกระบี่ได้แผ่ท่วมจนยากจะหายใจ

“กระบี่ศักดิ์สิทธิ์ซวนหยวน” ในใจของเย่หวูเฉินปรากฎชื่อของกระบี่

“เก็บธนูของเจ้าไว้เสีย พวกเราต่างก็มีพลังแห่งมิติ การโจมตีระยะไกลไม่เพียงจะไร้ประโยชน์ ตรงกันข้ามยังกลายเป็นเรื่องน่าเบื่อ” ชายชุดดำชี้ปลายกระบี่ขึ้น กล่าวคำอย่างเย็นเยียบ

คันศรบาปวิบัติถูกเก็บกลับ เย่หวูเฉินกุมกระบี่ตัดดาราไว้ในสองมือมั่น ชายชุดดำกล่าวได้ถูกต้อง ด้วยพลังมิติที่ใช้ออกได้ในทุกเวลา ผู้ใดก็ไม่อาจโจมตีระยะไกลถูกพวกเขาได้ กระบวนท่าสูงสุดของคันศรบาปวิบัติยังใช้เวลารวบรวมพลังยาวนาน ต่อหน้าศัตรูที่ใช้พลังแห่งมิติได้ย่อมเกิดช่องโหว่แห่งความตาย เมื่อเก็บคันศรบาปวิบัติกลับคืนแล้ว ทุกพลังและทุกจิตสมาธิ ล้วนจดจ่ออยู่ที่กระบี่ตัดดาราในมือ

กระบี่ทองคำ ปะทะ กระบี่ทองคำ นี่จะกลายเป็นการสำแดงอานุภาพอันยิ่งใหญ่สุดของพลัง

“เข้ามา” ชายชุดดำส่งเสียงช้าๆ ทันทีที่สิ้นเสียงลง เย่หวูเฉินได้หายไปจากตรงนั้น ปรากฎตัวขึ้นอีกครั้งตรงหน้าชายชุดดำ พร้อมเหวี่ยงวาดกระบี่ตัดดาราสาดแสงทองคำลงมายังร่างเขา

เคร้ง!!

สองกระบี่ปะทะกัน คลื่นพลังแผ่กว้างผลักดวงดาราที่อยู่ใกล้ๆ ให้ถอยห่าง แสงทองคำระเบิดเจิดจ้าดุจดวงตะวัน นี่คือประกายแสงแรกของการปะทะกระบี่ แสงทองคำสว่างจ้าไปถึงทวีปเทียนเฉิน , ทวีปเทวะ และทวีปปีศาจ

อย่างไรก็ตาม ด้วยพลังปานนี้ คนทั้งสองกลับมิได้ถอยออกจากกัน แสงทองคำเรืองรองออกจากสองกระบี่ สองบุคคลจับจ้องดวงตาของอีกฝ่าย มือของทั้งสองขยับเคลื่อน กระบี่ทองคำสองเล่มแยกห่างออกจากัน ฟาดเข้าปะทะพร้อมกันอีกครั้ง เกิดห้วงมิติบัดผันอย่างไร้ความปราณี



<<<PREV    .    NEXT>>>