วันศุกร์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2562

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 540

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 540 ย้อนเวลาชีวิต

แสงขาวกระจายตัวออก พร้อมกับลำแสงสีขาวบริสุทธิ์บินกลับสู่ร่างของเย่หวูเฉิน เป็นอีกครั้งที่ซือเฉินใช้พลังไปมากเกินไป ครั้งแรกที่พบกัน นางใช้พลังลึกลับลบล้างคำสาปของคันศรบาปวิบัติ จากนั้นร่วงหล่นสู่การหลับไหลเพราะสูญเสียพลังมหาศาล ครั้งที่สอง นางใช้พลังเพื่อช่วยเย่หวูเฉินออกจากผลไม้วิญญาณ เป็นอีกครั้งที่พลังถูกสูบกลืนไปมาก ทว่าครั้งนี้ นางใช้พลังเวลาสองครั้งต่อเนื่อง ครั้งที่หนึ่งคือใช้หยุดเวลา และครั้งที่สองเพื่อย้อนคืนเวลาชีวิต ด้วยพลังที่ใช้ออกเกินขีดจำกัด ไม่ทราบว่าคราวนี้นางจะตื่นขึ้นอีกครั้งเมื่อใด บางทีครั้งต่อไปที่ตื่นขึ้น นางอาจอายุครบสี่ขวบแล้ว

เวลานี้เซียงเซียงเริ่มเคลื่อนไหวในที่สุด นางหลับตาลง พลักพลังไร้สีสองสายไปยังสองร่างอันบอบบาง นี่คือพลังวิญญาณสำหรับดึงความทรงจำของหนิงเสวี่ยและทงซิน นางเก็บเอาไว้ก่อนที่พวกนางจะถูกย้อนเวลาด้วยพลังของซือเฉิน เป็นความทรงจำทุกอย่างในช่วงเวลาสามปี เวลานี้ นางใช้พลังเดียวกันส่งความทรงจำของพวกนางกลับคืน

หลังจากที่แสงขาวสลายไปจนหมด เงาสีขาวร่างหนึ่งพลันร่วงลงจากอากาศอย่างรวดเร็ว ตามด้วยกรีดร้องอุทานอย่างไม่รู้ตัว

จากนั้น เงาร่างสีดำบินตามลงมาอย่างเร็วรุด คว้าเงาร่างสีขาวที่กำลังร่วงลงไว้ ทั้งสองลอยร่างขึ้นช้าๆ ตรงไปหาเย่หวูเฉิน เย่หวูเฉินลอยอยู่กลางอากาศด้วยพลังของเซียงเซียง ไร้วี่แววอารมณ์ใดๆ บนใบหน้านั้น

สองร่างที่ลอยขึ้นมา.... คือหนิงเสวี่ยและทงซิน

ใบหน้าอายุราวสิบขวบ เส้นผมสีขาว ดวงตากระจ่างใส ชุดกระโปรงสีขาว มีสองรอยแผลเป็นร้ายแรงบนใบหน้า.... นางคือหนิงเสวี่ย ยามนี้ไม่ใช่องค์หญิงไป่เย่อีกต่อไป แต่เป็นหนิงเสวี่ยผู้รักเสรีเมื่อสามปีก่อน สาวน้อยที่วันๆ เอาแต่ป้วนเปี้ยนรอบกายพี่ชาย นางยังสูญเสียพลังไปด้วยเช่นกัน เมื่อพลังของซือเฉินคลายออก หนิงเสวี่ยที่ไม่อาจลอยร่างจึงร่วงลงจากอากาศทันที

ทงซิน.... แววตาสับสนปรากฎบนใบหน้าไร้อารมณ์ จ้องมองเย่หวูเฉินด้วยความหมกมุ่น เส้นผมอ่อนนุ่มดำขลับดั่งรัตติกาล ดวงตาทมิฬดุจเม็ดนิล ใบหน้าอายุราว 13-14 ปี รูปโฉมงดงามเป็นอย่างมาก นางอยู่ในชุดกระโปรงดำ มีลักษณะเดียวกันกับหนิงเสวี่ย ต่างกันเพียงที่สีสัน.... นางกลายเป็นทงซินคนเดิมเมื่อสามปีก่อน เป็นสตรีเทพพิโรธที่คอยปกป้องเย่หวูเฉินตลอดไป

พวกนางกลับคืนสู่สภาพเดิมเมื่อสามปีก่อนอย่างสมบูรณ์แบบ ความทรงจำมิได้สูญหายแม้แต่น้อย.... สีหน้าท่าทางของพวกนางทำให้เซียงเซียงรู้สึกคุ้นเคย เห็นได้ชัดว่าอุปนิสัยของพวกนางย้อนกลับไปเป็นเช่นเมื่อสามปีที่แล้ว เพราะสีหน้าที่พวกนางแสดงออกนั้น มิได้เป็นขององค์หญิงไป่เย่ผู้สูงส่งศักดิ์สิทธิ์ และมิได้เป็นขององค์หญิงเฮยเย่ผู้งดงาม

“ท่านพี่” หนิงเสวี่ยมองดูเย่หวูเฉิน น้ำตาไหลกราวประดุจเด็กน้อยถูกรังแก.... ไม่สิ ตอนนี้นางคือเด็ก ทั้งยังเป็นเด็กที่หวังพึ่งพิงให้เย่หวูเฉินช่วยรักษาแผลใจ

“เซียงเซียงน้อย รีบช่วยท่านพี่เร็วเข้า.... ข้าอยากเห็นท่านพี่ฟื้นขึ้นมาเร็วๆ เหลือเกิน” นางมองเซียงเซียงด้วยความโหยหาและโศกศัลย์ ทงซินมองนางเช่นกัน ทว่ายามนี้นางไม่อาจเอ่ยคำ นางในตอนนี้คือทงซินที่ไม่อาจพูดจา

เซียงเซียงพยักหน้าเล็กน้อย สองมือขยับวาด บริเวณโดยรอบเปลี่ยนไปทันที ท้องฟ้าว่างเปล่ากลายเป็นสถานที่ทรุดโทรมและเงียบสงบ.... นี่คือสถานที่ที่เย่หวูเฉินและเซียงเซียงพบกันเป็นคราแรก วิหารสาบสูญที่ตั้งอยู่ใจกลางดินแดนสาบสูญ

ครั้งหนึ่ง จิ้งจอกมังกรตกอยู่ในภาวะสับสนมานานนับปีไม่ถ้วน เมื่อพลังของนางฟื้นฟูขึ้นมาเล็กน้อยเพราะเย่หวูเฉิน นางจึงตระหนักได้ในที่สุดว่าตัวเองเป็นใคร เหตุใดในอดีตจึงปรากฎตัวอยู่ในสถานที่แห่งนี้

หนิงเสวี่ยและทงซินเหยียบยืนบนพื้นอย่างมั่นคง ทั้งสองหลับตาลงจากเมื่อครู่ ร่างกายผ่อนคลาย ไม่ปฏิเสธพลังจากภายนอก ภายใต้กลุ่มพลังไร้สีของเซียงเซียง ร่างของหนิงเสวี่ยพลันปรากฎรัศมีสีขาวและสีเขียว ส่วนของทงซินปรากฎรัศมีสีดำและสีเทา ท่ามกลางแสงหลากสีที่สว่างขึ้น มุกเซียนโกลาหลทั้งสี่ได้ลอยอยู่เหนือร่างหนิงเสวี่ยและทงซิน เนื่องจากยังไม่ทันผสานเข้ากับมัน หนิงเสวี่ยจึงไม่อาจใช้พลังของพวกมันได้ ดังนั้น นางจึงไม่สามารถเรียกมุกเซียนเหล่านี้ออกมาได้ด้วยตัวเอง การปรากฎของพวกมันนั้น เกิดขึ้นจากพลังมิติของเซียงเซียงที่เคลื่อนย้ายพวกมันออกจากร่าง

ความรู้สึกมึนงงท่วมท้นเมื่อพลังที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดของหนิงเสวี่ยและทงซินถูกพรากออกจากร่าง พวกนางแทบล้มพับลงกองกับพื้นพร้อมกัน อย่างไรเสียมุกเซียนเหล่านี้คือพลังกลุ่มใหญ่ในร่าง การดึงมุกเซียนโกลาหลออกไป เท่ากับพรากชีวิตและพลังบางส่วนออกจากร่างของพวกนาง

ฟู่ม.....

แสงขาวสว่างเจิดจ้าแผ่ออกจากร่างเซียงเซียง รัศมีแสงบดบังร่างของเย่หวูเฉิน ทั้งยังผลักหนิงเสวี่ยและทงซินออกไป.... รัศมีแสงนี้เข้มข้นอย่างมาก มันบดบังร่างของเย่หวูเฉินและเซียงเซียงจนหมดสิ้น นี่คือม่านพลังแห่งมิติ กางกั้นมิติสองฝั่งให้ขาดจากกัน เกิดมิติสันโดษที่ไม่อาจมองเห็น ไม่อาจได้ยิน มุกเซียนทั้งสี่บินตรงสู่ใจกลางม่านพลัง

ท่ามกลางโลกอันสันโดษ มีเพียงเย่หวูเฉินผู้ไร้สติและเซียงเซียงในร่างสาวน้อยขนาดพกพา มุกเซียนโกลาหลทั้งสี่เม็ดบินตรงไปที่อกของเย่หวูเฉิน ต่างปลดปล่อยแสงสีอันอัศจรรย์

เซียงเซียงกำลังทอแสง ร่างของนางค่อยๆ ใหญ่ขึ้นท่ามกลางแสงที่กำลังเรืองรอง เติบโตกลายเป็นหญิงสาวที่เย่หวูเฉินเคยเห็นคราวก่อน เนื้อนวลราวหิมะและน้ำแข็ง เอวคอดบอบบาง ซี่ฟันขาวดุจเปลือกสังข์ขัด คันคิ้วดุจขนนกกระเต็น ทุกสิ่งงามล้ำสมบูรณ์ของโลกต่างมารวมลงที่จิ้งจอกมังกรสาว นางวางมือข้างหนึ่งลงบนริมฝีปากของเย่หวูเฉิน เปิดปากของเขาด้วยนิ้วหยกงาม มืออีกข้างหนึ่งไหววาด มุกเซียนโกลาหลทั้งสี่เม็ดลอยตามกันด้วยพลังนาง ตรงสู่ปากและเข้าไปในร่างของเย่หวูเฉิน

แสง , ชีวิต , ความมืด , และความตาย พลังของพวกมันงัดคานกันอย่างสมดุลอยู่ในร่างของเย่หวูเฉิน แสงทั้งสี่ผสานกันอย่างรวดเร็ว เป็นครั้งแรกของเย่หวูเฉินที่รับพลังมุกเซียนโกลาหลถึงสี่เม็ดพร้อมกัน พลังของมุกเซียนเหล่านั้นยังปลดปล่อยออกมาในเวลาเดียวกัน ตอนนี้มีเพียงเซียงเซียงเท่านั้นที่สัมผัสถึงพลังของพวกมันได้อย่างแท้จริง นางมิได้รับผลกระทบจากพลังอันมหาศาลนี้ ราวกับพวกมันจำนนด้วยความเคารพ นางคอยสัมผัสรับรู้อย่างเงียบงัน พวกมันกำลังเปลี่ยนเป็นพลังของเย่หวูเฉิน

กลิ่นรัญจวนชวนหลงใหลหอมอบอวลเต็มมิติเล็กๆแห่งนี้ เซียงเซียงกระซิบในปากแผ่วเบาคำหนึ่ง รัศมีแสงสุดท้ายสลายจากร่างของเย่หวูเฉิน นางนั่งลงที่ข้างกาย เคลื่อนมือสองข้างขึ้น ปลดชุดไหมหิมะช้าๆ.... ทว่าการเคลื่อนไหวของนางชะงักงัน นางเลิกล้มการถอดชุดและยืนขึ้น จากนั้นค่อยๆเลิกกระโปรงขึ้นจากส่วนล่าง เผยให้เห็นสองขาหิมะเรียวงาม เป็นเงาแสงขาวอันนุ่มนวล

นางวาดมือปลดชุดของเย่หวูเฉินออกในพริบตา เมื่อร่างกายของเจ้านายเผยออกต่อหน้า ทำให้ใบหน้านางพาดผ่านด้วยสีชมพู ร่างของนางสั่นสะท้านเล็กน้อย นางกัดฟันแผ่วเบา ยกขาวางลงขนาบสองข้าง คร่อมร่างของเย่หวูเฉิน สองมือกุมกระโปรงไว้กับร่างส่วนบน ร่างกายส่วนล่างเมื่อไร้กระโปรงไหมจึงเปลือยเปล่า สองขาเรียวตรงงดงามดุจหยกสลัก สุดโคนเรียวขาเป็นร่องเว้าตื้นๆ เรียบลื่นไร้ปุยฟูฟ่องแม้แต่น้อย ผิวพรรณรอบๆอวบอิ่มเป็นมันเงา ประดุจเนยใส นุ่มนิ่มเหมือนกับผิวเด็กอ่อน

สองขาสั่นเทาเล็กน้อยด้วยความกังวล ทว่าอาศัยความกล้า นางเคลื่อนสะโพกอันสั่นเทาเข้าใกล้ ดรุณีน้อยอายุราว 13-14 ปี ร่างกายเยาว์วัยยังไม่ทันเติบโต มีบั้นท้ายเพียงเล็กๆคู่หนึ่ง ทว่ามันมิได้บกพร่องในความงาม ต่างเต็มไปด้วยส่วนโค้งของสะโพกอันเอียงอาย เว้าลงอย่างงดงามเหนือธรรมดา นุ่มนวลจนเปลี่ยนตัณหาให้กลายเป็นความรักใคร่ ผิวพรรณเรียบลื่นกระจ่างใสเป็นประกายดุจน้ำแข็ง แม้เห็นได้ชัดว่านางยังไม่เติบโต ทว่าทุกตารางนิ้วล้วนสมบูรณ์แบบไร้มลทิน หากร่างของนางเติบโตอย่างเต็มที่ ไม่ทราบว่าเสน่ห์นางจะกระชากวิญญาณถึงเพียงใด

มีเสียงขาดผึงเล็กน้อยดังขึ้นจากร่าง เซียงเซียงทั้งร่างแข็งค้างในทันที กระโปรงที่จับอยู่ถูกปล่อยออกจากมืออย่างอ่อนแรง เสียงนี้หมายถึงบางส่วนในร่างกายนางถูกจู่โจมจนฉีกขาด ภายใต้กระโปรงไหมขาวที่ปกคลุมไว้ สองบุคคลได้เชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียวกัน

“นายท่าน....” ต่อให้นางเป็นเซียงเซียง นางก็ต้องรู้สึกถึงความเจ็บปวดนี้ที่มีเพียงครั้งเดียวในชีวิต ภายใต้ความเจ็บเสียด พลังนางถูกลบล้างอย่างเห็นได้ชัดในทันที ความเจ็บนี้ทำให้นางโน้มกายลงและกอดร่างของเขาไว้ สัมผัสความเจ็บที่เขาชมชอบอย่างนิ่งงัน

เวลานี้เอง นางพลันเข้าใจว่าเหตุใดก่อนหน้านี้ นางจึงประหวั่นพรั่นพรึงต่อการล่วงล้ำของเย่หวูเฉิน ไม่ใช่เพราะนางปฏิเสธเขา แต่เป็นเพราะการปฏิเสธของพลังวิญญาณ.... หากก่อนหน้านี้เย่หวูเฉินล่วงละเมิดนาง วันนี้นางจะไม่อาจช่วยเขาได้

มุกเซียนโกลาหลเม็ดสุดท้ายคือมุกวิญญาณสวรรค์ และมันดำรงอยู่ในร่างของนาง มุกวิญญาณสวรรค์เม็ดนี้คือสิ่งเดียวที่สามารถฟื้นคืนดวงวิญญาณที่ดับสูญไปแล้วได้ กลายเป็นว่า นางสามารถมอบพลังของมันให้กับเย่หวูเฉินผ่านร่างกายตัวเองได้โดยตรง ฟื้นคืนห้วงสติของเขา..... แต่เช่นเดียวกับหนิงเสวี่ยและทงซิน มุกวิญญาณสวรรค์ได้ผสานกลายเป็นแก่นชีวิตของนาง หากมอบมันให้กับเย่หวูเฉิน นางจะต้องตกตายทันที

ทว่านางตายไม่ได้เด็ดขาด ไม่อย่างนั้น ทุกอย่างจะถึงความไม่อาจไถ่ถอน

ดังนั้น นางจึงใช้วิธีการหนึ่งที่ตนทราบ นั่นคือส่งมอบพลังผ่านร่างตัวเองโดยตรง ให้มุกเซียนโกลาหลแบ่งเศษเสี้ยววิญญาณสู่ร่างของเย่หวูเฉิน.... เมื่อใดก็ตามที่ในร่างของคนผู้หนึ่งเกิดความสมดุลด้วยพลังไร้สิ้นสุดของ วารี , อัคคี , วายุ , อัสนี , ปฐพี , แสง , ทมิฬ , ชีวิน , และมรณะ เมื่อนั้นสิ่งสุดท้ายคือพลังวิญญาณจะสามารถส่งมอบได้จากภายนอก มันจะก่อร่างขึ้นได้อย่างรวดเร็ว และจะเติบโตจนมีพลังเทียบเท่ากับพลังธาตุทั้งเก้า ในบรรดาสิบธาตุอันยิ่งใหญ่ มีเพียงพลังวิญญาณเท่านั้นที่ทรงเกียรติภูมิสูงสุด เพราะกล่าวโดยหลักการ พลังวิญญาณมิใช่เพียงพลังธาตุธรรมดา แต่มันยังสามารถถือกำเนิดขึ้นจากพลังธาตุทั้งเก้าได้ อุปมาดั่งแสงอาทิตย์ , สายฝน , ความชื้น , ธาตุอาหารในดิน , และอุณหภูมิ ตราบใดที่ปัจจัยเหล่านี้เหมาะสม.... เมื่อหว่านเมล็ดพันธุ์พืชลงไป มันย่อมงอกเงยและเจริญเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว

[หมายเหตุอีกครั้ง : พลังวิญญาณ กับ พลังจิตใจ หรือ ธาตุวิญญาณ กับ ธาตุจิตใจ คืออันเดียวกันนะครับ พลังจิตใจจะเอาไว้ใช้กับพระเอกอย่างเดียว คนแปลวางบัคตัวเองไว้นานเกิน แก้ไม่ทันแล้ว ถถถถถ]



<<<PREV    .    NEXT>>>