วันอาทิตย์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2562

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 549

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 549 ด้านมารและปีศาจ (1)

สวนตระกูลเย่

เย่หวูเฉินดึงนางเซียนเหยียนจื่อเมิ่งออกจากหมอก อุ้มร่างเล็กๆ ดุจตุ๊กตาดินปั้นของซือเฉินยืนอยู่ตรงประตูทางเข้าตระกูลเย่ มองดูหวังเวิ่นชูที่ยืนตะลึงโง่งม เขากล่าวด้วยรอยยิ้มบาง “ท่านแม่ ข้ากลับมาแล้ว.... พาลูกสะใภ้คนใหม่พร้อมหลานสาวน่ารักอีกหนึ่งคนกลับมาให้ท่านด้วย”

วันนี้สวนตระกูลเย่ถูกกำหนดให้ไม่อาจสงบเงียบ มีเสียงสะอื้นหลากหลาย เสียงหัวเราะมากมาย และเสียงเรียกขานเต็มทั่วบริเวณ ฮั่วฉุ่ยโหรวร้องไห้ฟูมฟาย เย่ฉุ่ยเหยาร้องไห้เงียบงัน หลงฮวงเอ๋อร์รีบเร่งกลับมาจากวังหลวง กอดเขาไว้ไม่ปรารถนาปล่อยออก เยว่ซือฉียืนร้องไห้อยู่ตรงมุมหนึ่งอย่างเงียบงันไม่กล้าออกมา มีเพียงเสี่ยวโม่ , หนิงเสวี่ย , และทงซินเท่านั้นที่หัวเราะและยิ้มแย้ม นอกจากหมู่พวกนางไม่กี่คน ผู้อื่นล้วนไม่รู้เลยว่าหลายวันที่ผ่านมาเย่หวูเฉินประสบผ่านสิ่งใดมาบ้าง ซึ่งแต่ละอย่างล้วนเกินจินตนาการของมนุษย์

พวกแซ่เหยียนและพวกแซ่ฉุ่ยต่างเร่งรุดเข้ามาในตระกูลเย่อย่างบ้าคลั่ง คนที่ตอบสนองรุนแรงสุดคือเหยียนกงรั่วที่ทั้งทุบตีและพุ่งเข้ากัด หากมิใช่เพราะเหยียนกงเยว่รีบสอดมือเข้าห้ามด้วยเป็นห่วงเย่หวูเฉิน เกรงว่าเนื้อของเขาคงถูกกัดหลุดออกมาเป็นชิ้นๆ

วันนั้น เย่หวูเฉินได้ไปจากทวีปเทียนเฉิน มุ่งหน้าไปยังหอคอยผ่านเทพที่ไม่ต่างจากพาตัวเองไปตาย ทุกคนที่รู้จักเขาล้วนคาดเดาได้ถูกต้องว่าเขาทิ้งจดหมายไว้เพื่อสิ่งใด เวลานี้เขากลับมา รอยยิ้มบนใบหน้ามิได้ผิดปกติใดๆ มิได้บ่งบอกว่านี่คือบุคคลที่เพิ่งประสบผ่านความยากลำบากสูงสุดในชีวิต เขากลับมาอย่างที่เคยบอก.... และนับจากนี้จะไม่จากไปอีก

เมืองเทียนฟงอันห่างไกล ชูเกอเสี่ยวหยูในเกราะอ่อนยืนอยู่เหนือกำแพงด้วยหัวใจหนักหน่วง ทันใดนั้นมีม้วนกระดาษร่วงลงมาเหนือศีรษะ นางยื่นมือออกคว้าด้วยความสงสัย ทันทีที่คลี่ออกอ่านเห็นอักษรตัวแรก นางมีอาการตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด หลังจากปราดตาอ่านผ่านทีละคำ มือที่ถือกระดาษไว้ก็สั่นสะท้าน นางซบหน้าลงบนกำแพงร้องไห้สะอึกสะอื้น ก่อนหันร่างและวิ่งออกมา

“ท่านพ่อ ข้าต้องกลับไปที่เมืองเทียนหลง!” นางเก็บข้าวของสัมภาระด้วยความเร่งรีบ ราวกับไม่อาจรอช้าแม้ชั่วขณะนาที เรื่องราวทุกอย่างที่ค้างคาไม่เสร็จสิ้นถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง

“เอ่อ นี่....” ชูเกอหวูอี้ตื่นตกใจ

“คนไร้มโนธรรมนั่นตกลงแต่งงานกับข้าแล้ว ข้า.... ข้าจะกลับไปต่อยเขาให้หนักมือ” นางกล่าวด้วยความขุ่นข้อง ทว่าใบหน้าเรื่อแดงเต็มไปด้วยน้ำตาแห่งความสุข ถัดจากนั้น ชูเกอหวูอี้หัวเราะร่าด้วยความสุขใจ

.....................

.....................

ล่วงเข้าสู่ยามราตรี เย่หวูเฉินแหงนมองดาราที่พร่างพรายฟ้า ครุ่นคิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังจากมาถึงทวีปเทียนเฉิน นึกถึงประสบการณ์ต่างๆ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา บนใบหน้าเผยรอยยิ้มแห่งความเข้าใจ หากยังคงแฝงด้วยความผิดหวังอยู่บ้าง

ตลอดวันนี้ ตระกูลเย่เต็มเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา มีเพียงสองบุคคลที่ขาดหายไปคือเล่งหยาและฉู่จิงเทียน เล่งหยาไปยังทวีปปีศาจเพราะชาโหวต้องการพบ ฉู่จิงเทียนไปยังทวีปปีศาจพร้อมกับเล่งหยา สิ่งที่เขาต้องการคือท้าประลองกับเหล่าสุดยอดฝีมือแห่งทวีปปีศาจเพื่อพัฒนาฝีมือตนเอง

มีเสียงฝีเท้าบางเบาดังขึ้นที่เบื้องหลัง เย่หวูเฉินหันร่างมองจื่อเมิ่งที่เดินเข้ามาใกล้ เหยียนจื่อเมิ่งเดินมาถึงข้างกาย ยิ้มกล่าวอย่างอ่อนหวาน “ดูสิ ข้าเดินได้เหมือนเมื่อก่อนแล้ว”

“อื้ม!” เย่หวูเฉินโอบสองมือรอบเอวนางไว้และโน้มใบหน้าลง หลังจากความเงียบงันอันอบอุ่น เขากล่าว “จื่อเมิ่ง พวกคนที่เคยทำลายเผ่าเสียงปีศาจของเจ้าถูกพบตัวหมดแล้ว เจ้าต้องการ....”

ในอดีตเพื่อแก้แค้นให้กับครอบครัว นางจึงเข้าร่วมกับสำนักจักรพรรดิเหนือ ครั้งหนึ่งการแก้แค้นให้กับเผ่าคือเป้าหมายสูงสุดในการดำเนินชีวิตของนาง อย่างไรก็ตาม เวลานี้นางส่ายศีรษะช้าๆและหนักแน่น “ปล่อยพวกมันไปเถอะ การแก้แค้นกันไปมาย่อมยากที่จะจบสิ้น มีท่านและซือเฉิน ชั่วชีวิตของข้าไม่ต้องการสิ่งใดอีก ไม่ต้องการจำเรื่องบาดหมางที่ผ่านมาแล้ว เหตุใดต้องทำให้มือเปื้อนเลือดด้วยความชิงชังอีก เหยียนจื่อเมิ่งได้ตายไปแล้วครั้งหนึ่ง ตอนนี้จื่อเมิ่ง.... มีแซ่ว่าเย่ เหตุผลหนึ่งเดียวในการดำรงอยู่คือเพื่อท่าน และเพื่อลูกสาวของพวกเราเท่านั้น”

เย่หวูเฉินยิ้มด้วยความพึงพอใจยิ่ง เขาลดเสียงลง และกล่าวด้วยความซุกซน “คือว่า.... จื่อเมิ่งของข้า เจ้าจะว่าอะไรไหมหากข้ามีภรรยาอื่น?”

เหยียนจื่อเมิ่งขยับร่างแนบชิดขึ้น ไร้แม้กระทั่งวี่แววความอิจฉา “ได้ฟื้นกลับจากความเป็นตายในช่วงสี่ปี ในที่สุดได้อยู่พร้อมหน้ากับท่านและซือเฉิน ข้านับเป็นบุคคลที่มีความสุขที่สุดในโลก มีวาสนาที่สุดในโลก บุรุษของข้าคือบุคคลที่แข็งแกร่งที่สุดในใต้หล้า ลูกสาวของพวกเราคือธิดาที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลก ท่านว่าข้ายังมีสิ่งใดที่ต้องขัดเคืองใจอีก และอีกอย่างหนึ่ง....” นางแย้มยิ้ม “อย่าทำให้น้องหญิงคนอื่นๆ ต้องเสียใจ....”

เวลานี้ซือเฉินถูกพาตัวไปโดยหวังเวิ่นชู นางหยอกเย้ากระเซ้าแหย่อย่างมีความสุข ซือเฉินส่งผ่านความทรงจำทั้งหมดให้กับเหยียนจื่อเมิ่ง นางดีใจที่ได้กลับมาพร้อมหน้าจนบดบังความตกตะลึงที่สมควรเป็น นางทราบดีว่าพลังลึกลับของซือเฉินได้มาจากเย่หวูเฉิน และนางไม่ได้ไต่ถามเซ้าซี้ถึงเหตุผลที่แท้จริง ซือเฉินคือลูกสาวของนาง นางเพียงปรารถนาเฝ้ามองและดูแลซือเฉินจนเติบใหญ่ขึ้น....

เขากับเหยียนจื่อเมิ่งพูดคุยกันเนิ่นนานภายใต้แสงจันทร์ นางเพิ่งฟื้นฟูพลังชีวิตกลับคืน เหยียนจื่อเมิ่งใต้แสงจันทร์จึงเหนื่อยล้าในที่สุด หลังจากที่เย่หวูเฉินส่งนางเข้านอนแล้ว เขาเดินออกมาที่ในสวน แหงนมองดวงดาวบนฟากฟ้า สายตาหยุดอยู่ที่ดาวดวงหนึ่งทางทิศตะวันตก ใบหน้าราบเรียบของเขาเผยรอยยิ้มเย็นชา ในปากกล่าวคำเล็กน้อย “ข้าเย่หวูเฉินไม่เคยมีความแค้นใดที่ไม่เคยชำระ.... ไม่ว่ามันผู้นั้นจะเป็นใครก็ตาม....”

ร่างของเขาไหววูบในกลุ่มแสงขาว ก่อนหายไปจากกลางสวนตระกูลเย่

ทวีปเทียนเฉินเป็นเวลากลางคืน ทวีปเทวะเป็นเวลากลางคืนเช่นเดียวกัน วิหารเทวะถูกทำลายย่อยยับด้วยเทพลึกลับขาว ยามนี้เทพจักรพรรดิจึงพักอยู่ในวังประทับอีกแห่งหนึ่งทางทิศเหนือ วิหารเทวะถูกทำลาย เมืองอันเป็นศูนย์กลางถูกทำลาย ทวีปเทวะย่อมตกอยู่ในความสับสนอลม่านเป็นเวลาช่วงใหญ่ นางต้องทุ่มเทความพยายามเพื่อฟื้นฟูกลับ ทว่าเรื่องทั้งหมดนี้ นางทำได้เพียงกล่าวโทษตัวเองเท่านั้น หากนางไม่ใช้พลังของเทพลึกลับ เรื่องทั้งหมดคงไม่เกิดขึ้น และต่อให้นางเสียใจเพียงใด เวลาก็ไม่อาจไหลย้อนคืนได้อีก

ภายนอกเป็นผืนมืดดำ ขณะที่วังประทับของเทพจักรพรรดิสว่างเรืองรองประดุจปราสาททองคำ สีทองคือสีอันศักดิ์สิทธิ์และสูงส่งที่สุดของทวีปเทวะ เทพจักรพรรดินั่งอยู่บนเก้าอี้ทองคำเป็นเวลาเนิ่นนาน ในสมองนึกย้อนถึงเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวันนี้.... โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การตื่นขึ้นของราชันจอมปีศาจ และการพ่ายแพ้ของมันต่อเย่หวูเฉิน ผู้คนจะจดจำเขาไว้เป็นตำนานด้วยสมญานามจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ บนเตียงของนาง ผู้ที่นอนอยู่คือเสวี่ยเย่ที่ยังไม่ตื่นขึ้น

เนื่องจากที่นี่คือวังประทับส่วนตัว เทพจักรพรรดิในยามนี้จึงแต่งกายเรียบง่าย เกราะอ่อนทองคำถูกถอดออก เหลือเพียงชุดทองคำบางเบาบนเรือนร่าง มีลวดลายปักเย็บสีขาวตามขอบคอและขอบต่างๆ เนื้อผ้าคาดเอวยังคงแบบบางเป็นสีทองคำ มีปลายพู่ไหมห้อยย้อยลงจากปลายทั้งสองด้าน ทำให้ชุดสีทองนี้ดูสง่างามและสูงส่ง ตรงขอบคอเสื้อเปิดออกกว้าง เผยลำคอขาวดุจหยกหิมะและเนินอกที่น่าหลงใหล นางมักปิดบังใบหน้าของตัวเองอยู่เสมอ ไม่เคยเผยผิวพรรณออกมามากถึงเพียงนี้หากอยู่นอกห้องนอนตน ผิวพรรณของนางขาวใสดุจหิมะ ราวกับทอประกายด้วยแสงขาว แม้นางกำลังนั่งอยู่ก็ไม่อาจปิดบังส่วนโค้งของร่างอันไร้ที่ติ ท่วงท่าการนั่งที่แสนธรรมดานี้กลับเผยเสน่ห์ความงามอันอัศจรรย์.... บางทีสำหรับเทพผู้สมบูรณ์แบบแล้ว ไม่ว่าอยู่ในท่วงท่าใดก็คงน่าชมมอง

เทพจักรพรรดิไม่รู้ตัวเลยว่ามีดวงตาคู่หนึ่งกำลังชื่นชมเรือนร่างของนางอยู่เงียบๆ เป็นเวลานานแล้ว เขาไม่ลังเลกับการลงทัณฑ์ ทว่าลังเลว่าควรกระทำให้บรรลุถึงขั้นใด

ในที่สุด เขาเดินออกจากอากาศว่าง เสียงฝีเท้าบางเบาทำให้เทพจักรพรรดิที่ระแวดระวังอยู่พลันรู้ตัวและหันร่าง ตลอดหลายปีไม่เคยมีใครกล้าบุกเข้ามาในวังประทับของนาง ทว่าลอบเข้ามาใกล้ถึงเพียงนี้นางถึงตรวจจับได้ ทั่วทั้งทวีปเทวะล้วนไม่มีผู้ใดสามารถกระทำ เมื่อเห็นชัดว่าผู้ที่ก้าวเข้ามาเป็นใคร ความระแวงระวังจึงคลายลงเล็กน้อย ทว่าใบหน้าที่แฝงรอยยิ้มเยาะของเขานั้นทำให้หัวใจนางเต้นไม่เป็นจังหวะ สามารถทำให้นางเกิดความกังวลใจได้ถึงเพียงนี้ บางทีอาจมีเพียงเขาเท่านั้น

“เจ้า....” นางเพิ่งเริ่มกล่าวด้วยความโกรธ ทว่าเมื่อพลันนึกถึงสถานะของเขาได้ น้ำเสียงจึงค่อยๆคลายลง นางกล่าวอย่างสงบ “ไปเย่และเฮยเย่ พวกนางเป็นอย่างไรบ้าง?”

เย่หวูเฉินหยุดเท้าลง ถ้อยคำของเทพจักรพรรดิที่เอ่ยถามทำให้หัวคิ้วของเย่หวูเฉินเลิกขึ้นอย่างเห็นได้ชัด “อยู่กับข้า พวกนางสุขสบายดีเป็นอย่างยิ่ง แต่เจ้า.... นอกจากไม่ยอมต่อสู้กับเผ่าพันธุ์ปีศาจด้วยพลังเผ่าเทพของตนเอง กลับยังเลือกปลุกหุ่นเทพลึกลับโดยสละสังเวยพวกนาง เจ้าสมควรรู้ว่าหากไม่มีข้าในวันนี้ พวกนางย่อมไม่มีวันหวนกลับมาอีก ทวีปปีศาจย่อมถูกทำลายลงจนหมดสิ้นด้วยน้ำมือของเทพลึกลับดำ ราชันจอมปีศาจที่ตื่นขึ้นย่อมทำลายทุกอย่าง.... ยิ่งกว่านั้น เจ้าไม่เพียงไม่อาจเอาชนะเทพลึกลับขาวด้วยพลังตนเอง กลับยังเลือกหย่อนมันให้พ้นไปจากทวีปเทวะ กลายเป็นหายนะร่วงหล่นใส่ทวีปเทียนเฉิน.... เจ้า ไม่คู่ควรไต่ถามความเป็นอยู่ของเสวี่ยเอ๋อร์และทงซินอีก!”

กล่าวรำลึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น น้ำเสียงและท่าทางของเย่หวูเฉินดูดุดัน แววตาส่งประกายผิดหวังอันเย็นชา หนิงเสวี่ยและทงซินคือสิ่งหวงห้ามสูงสุดสำหรับเขา ผู้ที่กล้าล่วงล้ำพวกนางล้วนไม่เคยพบจุดจบที่ดี ทว่าเทพจักรพรรดิ.... มารดาครึ่งหนึ่งของพวกนางผู้นี้ กลับกลายเป็นคนแรกที่บีบคั้นผลักไสพวกนางไปสู่ความตาย แม้เขาไม่อาจฆ่านางได้ แต่อย่างไรก็ไม่มีวันละเว้นนาง

เทพจักรพรรดิหลีกเลี่ยงสายตาไม่กล้ามองตรง นางกล่าวด้วยความผิดหวัง “นี่คือหน้าที่ของเทพจักรพรรดิ เมื่อข้ากลายเป็นเทพจักรพรรดิแล้ว ย่อมมีชะตาถูกกำหนดให้ใช้เทพลึกลับในวันหนึ่ง ข้าไม่มีทางเลือกอื่น”

เย่หวูเฉินมองนางตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า แม้นางอยู่ในวังประทับของตัวเอง หากดวงหน้าของเทพจักรพรรดิกลับยังคงอยู่ใต้หน้ากากทองคำ และเพราะการปิดบังของหน้ากากนี้ เขาจึงไม่เคยเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของเทพจักรพรรดิ

เขาเคลื่อนกายอย่างประหลาด ปรากฎตัวขึ้นตรงหน้าเทพจักรพรรดิอย่างฉับพลัน จากนั้นเขาเชยคางนางขึ้น เทพจักรพรรดิแห่งทวีปเทวะ ตัวตนสูงสุดที่ไม่มีใครกล้าล่วงล้ำกลับถูกเชยคางขึ้นโดยมือของเขา

“เจ้าจะทำอะไร?”

เทพจักรพรรดิมุ่นคิ้วและส่งเสียงโดยสัญชาตญาณ ทั้งน้ำเสียงและท่าทางยังคงสงบนิ่ง นางมิได้ดิ้นรนใดๆ ทว่าสีหน้ากลับซีดลงเล็กน้อยเผยให้เห็นความแตกตื่นในหัวใจ

“แล้วเจ้าคิดว่าข้าจะทำอะไร?”

เย่หวูเฉินฉีกยิ้มกว้างเผยฟันขาวต่อเทพจักรพรรดิ กระแสอากาศเย็นเยียบโชยแผ่ขึ้นจากเบื้องลึกในหัวใจทันที เวลานี้ราวกับนางมองเห็นเย่หวูเฉินอีกคนหนึ่ง ตั้งแต่ครั้งแรกที่นางได้พบเขา นางมีแต่ความชื่นชมและเลื่อมใสอันหาได้ยากยิ่งต่อคนอื่น ต่อเนื่องติดตามด้วยความตกตะลึง ทว่าเวลานี้ เย่หวูเฉินกลับแสดงตัวตนอีกด้านหนึ่งที่ต่างไปโดยสิ้นเชิง เป็นด้านอันน่ากลัวที่เขาจะเผยออกมาเมื่ออยู่ต่อหน้าศัตรูเท่านั้น



<<<PREV    .    NEXT>>>