วันอังคารที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2562

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 551

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 551 ลูกหลานตระกูลเย่

กลับจากทวีปเทวะมาถึงตระกูลเย่ ตะวันก็โผล่พ้นฟ้า สัมผัสสดชื่นที่ห่างเหินไปนานได้เติมเต็มสู่ร่าง เมื่อหวนนึกถึงเทพจักรพรรดิเจียเสี่ยวหลัว เย่หวูเฉินพลันเผยสีหน้าชิงชังอันซับซ้อน พอนึกถึงเสวี่ยเย่ที่ถูกเขาโยนไปมาในขณะหลับไหล เขาก็อดยิ้มไม่ได้ ท่ามกลางรอยยิ้มอันชั่วร้าย เขายกมือซ้ายขึ้น มองดูรอยประทับรูปดาวสามดวงบนหลังฝ่ามือ ก่อนกระซิบเสียงเบา “อย่างที่คิดไว้”

รอบประทับทั้งสามซีดจางจนไม่อาจเห็นชัดในตอนแรก ต่อมามันเข้มขึ้นพอเห็นรางๆ ตอนนี้มันชัดเจนจนเห็นเป็นสามจุด ความเข้มของมันมิได้หมายถึงพลังที่เพิ่มขึ้น แต่หมายถึงอย่างอื่น.... ยกตัวอย่างเช่นตอนที่เขาเกิดเพลิงมารครั้งแรกกับเสวี่ยเฟยเยี่ยน.... หรือตอนที่มันเปล่งแสงชัดเจนสุด เนื่องจากหนิงเสวี่ยถูกตบหน้าจนเขาคลุ้มคลั่งด้วยความโกรธ

ความรู้สึกได้บอกกับตนว่าการบรรลุพลังหวูเฉินขั้นที่เจ็ด จุดเปลี่ยนที่สำคัญที่สุดคือดาราประหลาดสามดวงบนหลังฝ่ามือนี้ เขาพบว่าแต่ละครั้งที่เกิดอารมณ์ด้านลบอย่างรุนแรงสีของมันจะเข้มขึ้น.... และอารมณ์ด้านลบสุดท้ายที่เป็นเป้าหมาย กลับเป็นปีศาจ!

เวลานี้ ซือเฉินส่งเสียงดังขึ้นในใจ “ป๊ะป๋า ตอนที่ท่านยังเด็ก หัวใจโพธิสัตว์ของท่านบรรลุถึงขีดสุด สิ่งที่ป๊ะป๋าจำเป็นต้องมีในตอนนี้คือหัวใจมารและหัวใจปีศาจ มีเพียงหัวใจโพธิสัตว์ , หัวใจมาร , และหัวใจปีศาจบรรลุถึงขีดสุดเท่านั้น ป๊ะป๋าถึงจะเข้มแข็งขึ้นได้”

“โอ้?”

“หัวใจมาร คือหัวใจที่ทำตามใจปรารถนา ไม่หวั่นเกรงหรือหวั่นไหวต่อสิ่งใด ช่วยผู้คนนับพันก็มิได้มีความยินดี สังหารผู้คนนับหมื่นก็มิได้มีความยินร้าย และหัวใจปีศาจ.... ป๊ะป๋าสามารถหาได้จากอาเสี่ยวโม่ หรืออาคนสวยแห่งทวีปปีศาจผ่านการบำเพ็ญคู่.... แม้พวกนางมิได้มีหัวใจปีศาจที่แท้จริง แต่รากฐานพลังของพวกนางมาจากปีศาจที่แท้จริง พวกนางจึงสามารถบ่มเพาะหัวใจปีศาจของป๊ะป๋าได้” ซือเฉินกล่าวคำที่ไม่ทราบว่าไปรู้มาจากไหน

“เสี่ยวโม่.... บำเพ็ญคู่?” เย่หวูเฉินสีหน้าแข็งค้างอย่างเห็นได้ชัด เมื่อจินตนาการถึงร่างเล็กๆ ของเสี่ยวโม่ถูกกดอยู่ใต้ร่วงตัวเอง เว้าวอนตนเองขณะเรียกหาว่า ‘ท่านพ่อ’ เขารีบสั่นศีรษะทันที ขับไล่ความคิดน่ากลัวเหล่านี้ออกไปอย่างร้อนรน ก่อนยิ้มฝืดฝืนและกล่าว “ซือเฉิน เสี่ยวโม่ได้ชื่อเหมือนเช่นเจ้า คือเป็นลูกสาวข้า”

“ป๊ะป๋าผิดแล้ว อาเสี่ยวโม่ไม่ใช่ลูกสาวแท้ๆ ของป๊ะป๋า นางชมชอบและดีต่อป๊ะป๋ามาก อีกอย่างหนึ่ง ป๊ะป๋าลืมแล้วหรือว่าหัวใจมารคือการทำตามใจปรารถนาโดยไม่หวั่นไหว ฮิ ป๊ะป๋าจะต้องบำเพ็ญคู่กับอาเสี่ยวโม่ ไม่เพียงหัวใจปีศาจเท่านั้นที่จะเติบโตขึ้น หัวใจมารยังจะเติบโตขึ้นด้วย”

เย่หวูเฉินครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “ซือเฉิน เจ้าพูดถูกต้องที่สุด ข้าเข้าใจแล้ว”

จะว่าไป เป็นเวลาเนิ่นนานกว่าร้อยปีแล้วที่เสี่ยวโม่ไม่ได้กลับบ้าน วันนี้สมควรพานางกลับไป พอนางอยู่ในที่ทางอันสะดวกไร้ผู้คน.... อะแฮ่ม.... ก็ค่อยพานางทานอาหารมื้อเช้า

........................

........................

สามปีต่อมา....

“ป๊ะป๋า พวกเราออกไปเล่นกันก่อนนะ”

“อื้ม แต่อย่าวิ่งเร็วนักล่ะ คอยดูแลอาหนานเอ๋อร์ของเจ้าด้วย”

เย่หวูเฉินยิ้มมองไปยังเด็กหญิงตัวน้อยๆ สองคนที่กระโดดวิ่งออกไป พวกนางมักตื่นลุกออกจากเตียงกันแต่เช้า วิ่งออกไปข้างนอกสูดอากาศบริสุทธิ์ ปีนี้ซือเฉินอายุครบหกขวบ บนศีรษะถักผมเป็นเปียไว้สองข้าง ใบหน้างดงามล้ำเลิศ ผู้ใดได้เห็นก็ต้องชื่นชมว่าสมแล้วที่เป็นธิดาของจักรพรรดิมาร ทว่าน้อยคนนักที่จะทราบว่าภายใต้รูปลักษณ์ของเด็กหญิงตัวน้อยมีพลังลึกลับน่าสะพรึงปิดซ่อนอยู่ เย่หวูเฉินจึงไม่เคยกังวลยามที่นางออกไปเที่ยวเล่น

ส่วนหนานเอ๋อร์.... สามปีก่อนนางราวกับเด็กน้อยอายุห้าขวบ ทว่าตอนนั้นอย่างไรตอนนี้ก็อย่างนั้น แม้นางยังไม่มีพลังเทพ แต่อย่างไรนางก็มีร่างของเทพแท้จริง การเจริญเติบโตของนางจึงเป็นไปอย่างเชื่องช้า หนึ่งปีที่คนธรรมดาเติบโต นางต้องใช้ถึงร้อยปี , พันปี , หรือยิ่งกว่านั้น ยังดีที่ซือเฉินเรียกหานางเป็น ‘อา’ มาตั้งแต่แรก ผู้คนโดยรอบจึงคุ้นชินและไม่รู้สึกแปลก.... ขณะที่หนานเอ๋อร์ก็คุ้นเคยกับสภาพเด็กหญิงตัวน้อยแล้ว ตอนนี้ ไม่ว่าคำพูดหรือการกระทำ ต่างล้วนยิ่งมายิ่งสอดคล้องสมวัย นี่ทำให้แต่ละปีเย่หวูเฉินถึงกับพูดไม่ออก อันที่จริงแล้ว เขาอยากให้ซือเฉินเลื่อนเวลาสักหมื่นปี เปลี่ยนนางให้อยู่ในสภาพเติบโตแล้วเสียมากกว่า....

กลับเข้ามาในห้อง หนิงเสวี่ยและทงซินยังคงนอนหลับ เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของเขาใกล้เข้ามา หนิงเสวี่ยจึงลืมตาขึ้น หาวน้อยๆ และถามอย่างงัวเงีย “อืม เข้าแล้วเหรอ?”

“มาเถอะ วันนี้ต้องลุกออกจากเตียงเร็วหน่อย ข้าจะพาพวกเจ้ากลับไปเยี่ยมทวีปเทวะ” เย่หวูเฉินดึงผ้าห่มออก เผยสองร่างบอบบางของหนิงเสวี่ยและทงซิน พอรู้สึกถึงความเย็นเล็กน้อย ทงซินจึงตื่นขึ้นด้วยดวงตางัวเงีย นางเกียจคร้านที่จะลุกขึ้นตามคำของเย่หวูเฉิน

หนิงเสวี่ยยังคงดูเหมือนสาวน้อยอายุสิบขวบ ทว่าสิ่งหนึ่งที่ต่างออกไปอย่างชัดเจนคือใบหน้า สองรอยแผลเป็นนั้นได้หายไปจากใบหน้านาง ตระกูลเย่ตั้งแต่สูงยันต่ำพอได้เห็นใบหน้าสมบูรณ์แบบดุจสวรรค์สร้างของหนิงเสวี่ย ต่างอ้าปากตะลึงค้างเนิ่นนานไม่อาจหุบลง ทงซินยังคงเป็นทงซินคนเดิมที่ไม่พูดจา มีแววตาสับสนและโง่งมเป็นบางครั้ง ยามพบเจอคนอื่นๆนางไร้อารมณ์ใด ยามอยู่กับเย่หวูเฉินเท่านั้นที่นางจะคลั้งไคล้ถึงขีดสุด ยิ่งกว่านั้น เห็นได้ชัดว่านางยิ้มแย้มบ่อยขึ้น ด้วยพลังของเย่หวูเฉินในตอนนี้ คิดถอนคำสาปให้หนิงเสวี่ยและทงซินนับเป็นเรื่องที่ง่ายยิ่ง ทว่าพวกนางต่างปฏิเสธ.... เพราะพวกนางคือหนิงเสวี่ยและทงซินของเขา ไม่ใช่องค์หญิงเฮยเย่และองค์หญิงไป่เย่แห่งทวีปเทวะ พวกนางอยากรักษาภาพเหล่านี้ไว้ ตั้งแต่ได้พบเจอและพึ่งพิงกัน ความทรงจำเหล่านั้นจะได้คงไว้ตลอดไป และจะไม่แปรเปลี่ยนเป็นคนอื่น

ทว่าอีกหนึ่งเหตุผลที่สำคัญยิ่ง.... คือการอยู่ในสภาพสาวน้อยตัวเล็กๆนี้ ทำให้พวกนางสามารถซุกอยู่ในอ้อมแขนเป็นลูกแมวเกียจคร้านได้ตามอำเภอใจ ปล่อยให้เขาคอยมองพวกนางเติบโตขึ้นช้าๆ

“เอ๋? ไปเยี่ยมท่านแม่จักรพรรดิเหรอ?” หนิงเสวี่ยดวงตาเป็นประกาย กางแขนสองข้างให้เย่หวูเฉินช่วยจัดแจงชุดให้

“ใช่ เจ้าไม่ได้กลับไปที่นั่นนานแล้ว มาเถอะ ทงซิน แต่งตัวก่อน”

ครู่ต่อมา เย่หวูเฉินพาหนิงเสวี่ยและทงซินไปยังห้องโถงตระกูลเย่ หวังเวิ่นชูและเย่เว่ยอยู่ที่นั่น พวกเขาอุ้มเด็กตัวเล็กๆ ราวกับตุ๊กตาหยกและหยอกล้อด้วยมือ เสียงหัวเราะแห่งความสุขดังสะท้อนออกไปถึงภายนอก ที่หวังเวิ่นชูกำลังอุ้มอยู่คือเด็กชายน้อยตัวอ้วนกลม แม้เขามีอายุเพียงสองขวบ แต่แววตากลับมีเสน่ห์ลึกล้ำเหนือธรรมดา ส่วนเย่เว่ยกำลังอุ้มเด็กหญิงตัวเล็กๆ ฝ่าเท้าสีชมพู อายุเท่าๆกับเด็กชาย นางพยายามใช้สองมือเล็กๆดึงผมของเย่เว่ย พร้อมเสียงหัวเราะแจ่มใสดุจระฆัง

เห็นเย่หวูเฉินเดินเข้ามา เด็กน้อยทั้งสองหยุดเล่นทันที ก่อนส่งเสียงด้วยความดีใจ “ท่านพี่.... พี่หญิงเสวี่ย พี่หญิงซิน.... อุ้มหน่อย....”

พวกเขาเปล่งเสียงได้อย่างถูกต้อง ไร้วี่แววของความไร้เดียงสา กระทั่งสีหน้ายังดูองอาจกว่าเด็กวัยเดียวกัน สองปีก่อนหวังเวิ่นชูให้กำเนิดคู่แฝดต่างเพศ นำความปิติยินดีมาสู่ทั้งตระกูลเย่ กระทั่งเย่หนู่ผู้มักถ่อมตนยังไม่อาจอดใจประกาศก้องให้โลกรู้.... เวลาต่อมา เย่หวูเฉินได้สารภาพต่อพวกเขา ว่าเขาไม่ใช่เย่หวูเฉินตัวจริงของตระกูลเย่ บุตรชายตระกูลเย่ที่แท้จริงได้ตกตายไปแล้วเมื่อหกปีก่อน....

หากเย่หวูเฉินบอกความจริงกับพวกเขาก่อนหน้านี้ พวกเขาย่อมไม่อาจทนรับแรงกระทบกระเทือนนี้ได้ ทว่าตอนนี้ตระกูลเย่มีทายาทแล้ว อีกทั้งยังเป็นคู่แฝด ความโศกเศร้าที่ผ่านมาจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว.... พวกเขาสูญเสียบุตรชายไปคนหนึ่ง แต่ได้รับ ‘บุตรชาย’ อีกคนที่ยอดเยี่ยมยิ่งกว่า และ ‘บุตรชาย’ ผู้นี้ คือผู้ที่ยืนอยู่เหนือโลกหล้าอย่างแท้จริง เพราะเขาเกียรติภูมิของตระกูลเย่จึงรุ่งเรืองในทวีปเทียนเฉิน ตอนนี้ยังมีสายเลือดใหม่ของตระกูล เย่เว่ยที่ทราบความจริงมาก่อนหน้ายังช่วยปลอบประโลม ความโศกเศร้าเสียใจจากเรื่องหกปีก่อนจึงค่อยๆ คลายลง ตอนนี้พวกเขามีเหตุผลอื่นแล้ว ไม่จำเป็นต้องจมจ่อมอยู่ในความโศกเศร้าอีกต่อไป

นอกจากนี้ เขายังได้เสนอต่อเย่เว่ย , เย่หนู่ , และหวังเวิ่นชู ว่าจะตบแต่งเย่ฉุ่ยเหยาเป็นภรรยาและประกาศให้โลกรู้ แน่นอนว่าพวกเขาไม่อาจปฏิเสธเรื่องนี้ได้ เพราะนี่คือวิธีเดียวที่พวกเขาจะกลายเป็นครอบครัวเดียวกันที่แท้จริง.... อย่างไรก็ตาม สถานะของเย่หวูเฉินที่ไม่ใช่บุตรชายตระกูลเย่ ได้ถูกลิขิตให้ไม่อาจเปิดเผย ไม่อย่างนั้น อาจเกิดความเห็นที่เกินหยั่งคาดของสาธารณชน ดังนั้น พวกเขาจึงแต่งเรื่องให้กับเย่ฉุ่ยเหยา สร้างเรื่องราวพลิกผันว่านางไม่ใช่ธิดาตระกูลเย่แทน มีเพียงวิธีนี้เท่านั้น นางจึงจะสามารถแต่งงานกับเย่หวูเฉินได้อย่างถูกต้องตามทำนองคลองธรรม ไร้ข้อครหานินทาในเวลาเดียวกัน

ด้วยวัยและความโดดเด่นของเย่ฉุ่ยเหยา รวมถึงความรู้สึกลึกซึ้งที่เขามีให้ต่อนาง ทำให้นางมีอำนาจสูงสุดในบรรดาสตรีของเย่หวูเฉิน กระทั่งฉุ่ยเมิ่งฉานเมื่อพบเห็นนางยังต้องเรียกหาว่า ‘น้องหญิง’ ด้วยความเคารพ ชูเกอเสี่ยวหยูและเหยียนกงรั่วยังสงบเสงี่ยมต่อหน้านาง อุปนิสัยและความสูงส่งเหล่านี้ถูกสืบทอดและยากต่อการลอกเลียน ทำให้นางสามารถกำราบเย่หวูเฉินได้จนชั่วชีวิต.... รวมถึงรัชทายาทต้าฟง ฟงหลิงในอดีต

เย่หวูเฉินอุ้มเด็กน้อยทั้งสองคนไว้ในแขนทั้งสองข้าง หอมแก้มของทั้งสองคนละฟอด จากนั้นกล่าวอย่างรักใคร่ “เทียนสื่อ วันนี้พี่ชายเจ้าต้องออกไปข้างนอก คอยเชื่อฟังท่านพ่อกับท่านแม่ให้ดี เป็นเด็กดีอย่าดื้อซนเข้าใจมั้ย?”

เด็กชายมีนามว่าเทียนสื่อ เช่นเดียวกับความหมายของชื่อเขา นี่คือสายเลือดที่สวรรค์ประทานให้กับตระกูลเย่ ส่วนเด็กหญิงมีนามว่าเย่เจินเจิน ชื่อของนางพ้องเสียงกับคำว่าสมบัติ และเป็นสมบัติที่มีค่าสูงล้ำ

“พวกเราต้องเชื่อฟังอยู่แล้ว เชื่อฟังยิ่งกว่าท่านพี่และพี่หญิงเสียอีก” เด็กน้อยสองคนพูดประสานเป็นเสียงเดียวกัน เย่เว่ยหัวเราะร่า หวังเวิ่นชูยิ้มกล่าวอย่างรักใคร่ “เจ้าลูกสองคนนี้.... เฉินเอ๋อร์ เจ้าจะออกไปข้างนอกหรือ?”

“อื้ม ข้าจะพาเสวี่ยเอ๋อร์กับทงซินไปข้างนอก ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้าอยากปรึกษาเรื่องการแต่งงานของข้ากับพี่หญิง....” แม้อยู่ต่อหน้าเย่เว่ยและหวังเวิ่นชู เขายังคงเรียกหาเย่ฉุ่ยเหยาว่า ‘พี่หญิง’ เพราะนี่คือความคุ้นชินที่ไม่อาจเปลี่ยนได้



<<<PREV    .    NEXT>>>