วันเสาร์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2562

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 548

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 548 จื่อเมิ่งตื่นจากฝัน

เย่หวูเฉินยิ้มอย่างไม่อาจสังเกต วางเด็กหญิงตัวเล็กๆ ในอ้อมแขนลง มือหนึ่งเรียกกระบี่ตัดดารา อีกมือหนึ่งเรียกผลธุลีเทา เขาขยับกระบี่ตัดดาราและผลธุลีเทาเข้าหากันช้าๆ ในห้วงความคิดกล่าวคำ “หนานเอ๋อร์ ผ่อนคลายจิตใจ อย่าได้คิดสิ่งใด....”

ในอดีตจักรพรรดิเหนือค้นหาผลธุลีเทาอย่างยากลำบาก เพื่อสำหรับใช้ช่วยหนานเอ๋อร์ออกจากกระบี่ และในตอนนี้ นี่คือช่วงเวลาที่จักรพรรดิใต้และจักรพรรดิเหนือปรารถนาจะได้เห็นมากที่สุด ไม่ว่าหนานเอ๋อร์จะให้อภัยพวกเขาหรือไม่ พวกเขาก็ล้วนไม่มีหน้ากล่าวอำลาลูกสาวตัวเอง การต่อสู้ของพวกเขาสร้างหายนะต่อเนื่อง หนานเอ๋อร์กลายเป็นหนึ่งในเหยื่อที่ถูกสังเวยในหายนะนั้น สุดท้าย ผู้ที่ยุติหายนะนั้นลงคือเย่หวูเฉิน

ห้วงมิติอันมีเทพดำรงอยู่ วันหนึ่งย่อมมีปีศาจถือกำเนิดขึ้น ขั้วตรงข้ามของความดีคือความชั่ว และเพราะไม่มีความดีใดที่บริสุทธิ์ล้วน ดังนั้นไม่ช้าก็เร็ว ความชั่วที่แยกออกมาย่อมให้กำเนิดปีศาจ แม้ราชันจอมปีศาจได้ตายไปแล้ว แต่ปีศาจตนใหม่ย่อมถือกำเนิดขึ้นในวันหนึ่งข้างหน้า อย่างไรก็ตาม หากตอนนั้นเย่หวูเฉินยังคงดำรงอยู่ ปีศาจตนใดก็ไม่อาจสร้างหายนะได้อีก และหากยิ่งผู้คนมีจิตมุ่งร้ายต่อกันน้อยลง รบรากันน้อยลง ปีศาจก็จะยิ่งถือกำเนิดได้ยากขึ้น หรือต่อให้ถือกำเนิดขึ้นได้ มันก็จะอ่อนแอเป็นอย่างยิ่ง

ผลไม้วิญญาณและกระบี่ตัดดาราสัมผัสกัน แสงทมิฬกลุ่มหนึ่งแผ่ออกจากผลไม้วิญญาณ ห่อหุ้มกระบี่ตัดดาราไว้ หลังจากสงบนิ่งชั่วสั้นๆ เย่หวูเฉินถอนมือกลับ จากนั้นวางผลไม้วิญญาณลงบนอกของเด็กหญิง

แสงไร้สีที่ไม่อาจตรวจจับแผ่ออกจากผลไม้วิญญาณ ซึมซ่านลงสู่ร่างของเด็กหญิงตัวน้อย ในขณะเดียวกัน ผลไม้วิญญาณค่อยๆ หดลงอย่างเห็นได้ชัด จากขนาดเท่าหัวแม่มือเหลือขนาดเพียงเล็บนิ้ว จากนั้นมีขนาดเท่ากรวดทราย.... ในที่สุด มันหดเล็กลงจนหายไปจากตรงนั้น

ตอนนี้เอง ร่างของหนานเอ๋อร์มีการตอบสนองเล็กน้อย บนเปลือกตาที่ปิดสนิทอยู่ ขนตาทั้งสองข้างสั่นไหวเล็กน้อย

“อือ....”

เสียงเยาว์วัย , แผ่วบาง , และเกียจคร้านลอยออกจากมุมปากของหนานเอ๋อร์ ขนตาของนางสั่นไหวดิ้นรนเพื่อจะเปิดออก นิ้วเล็กๆดุจหิมะค่อยๆขยับ สัมผัสถึงทรายอ่อนนุ่มที่อยู่ข้างกาย ในที่สุดหลังจากพยายามอยู่หลายครั้ง ดวงตานาง.... ก็ค่อยๆลืมขึ้น เป็นสิ่งบ่งชี้ว่าอย่างน้อยสติของนางได้ฟื้นฟูกลับมาเป็นส่วนมากแล้ว

ไม่ทราบว่ากี่ปีที่สายตามิได้สัมผัสแสง ฉับพลันนางหลับตาลงราวกับถูกทิ่ม ในปากส่งเสียงร้อง “อ๊า” ด้วยความตกใจ มือเล็กๆยกขึ้นบังใบหน้าตรงดวงตา ร่างกายค่อยๆลุกขึ้นนั่ง ตอนนี้นางลืมตาขึ้นอย่างระมัดระวังมากขึ้น

มือที่บังดวงตาไว้ค่อยๆถอนออก ดวงตาเป็นประกายใสแจ๋วดุจดาราจับจ้องที่นายตนด้วยความตื่นเต้น นางหันมองดูโลกรอบๆกาย จมูกเล็กๆขยับสูดกลิ่นรับความสดชื่นของลมทะเล ในกระบี่นางทำได้เพียงใช้พลังของกระบี่รับรู้โลก ใช้จิตสัมผัสสำรวจผู้คน.... การสัมผัสและสูดดมโดยอาศัยร่างกายที่แท้จริงนั้น ให้ความรู้สึกที่ต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง นางคล้ายกับลืมไปแล้วว่าตอนนี้ตนเองอยู่ในร่างเด็กหญิงอายุ 4-5 ขวบ ราวกับคนกำลังจมจ่อมอยู่ในความฝัน

“อ๊า....” นางดันร่างลุกขึ้นและล้มลงทันที หากยังมีมือข้างหนึ่งของเย่หวูเฉินประคองไว้ หนานเอ๋อร์เกาะแขนเขาไว้ กระพริบตาอย่างตื่นเต้น “เจ้านาย ข้ามีร่างแล้ว.... ข้ามีร่างกายจริงๆแล้ว”

นางมีร่างกาย ทว่าไร้พลังแม้แต่น้อย แม้นางเป็นลูกสาวของเทพแท้จริง แต่ตอนนี้นางยังคงไร้พลังแห่งเทพ เป็นเพียงเด็กหญิงที่ไม่ต่างจากคนธรรมดา แต่นางก็มิได้สนใจใดๆ หรือบางทีนางอาจกำลังตื่นเต้น เมื่อความฝันกลายเป็นความจริง สิ่งเดียวที่นางทำในตอนนี้คือกระโดดหยองๆ ด้วยความดีใจ

เย่หวูเฉินยิ้มบาง เสียงของหนานเอ๋อร์ในตอนนี้แตกต่างลิบลับกับเสียงเด็กสาวที่อยู่ในกระบี่ ยามนี้เสียงของนางเยาว์วัยกว่าตอนอยู่ในกระบี่เป็นอย่างมาก ทว่าน้ำเสียงยังคงความมีชีวิตชีวาดังเดิม มองเด็กน้อยที่สูงเพียงเอวตนแล้ว ในใจก็พลันคิดคำนึง....

ไม่ทราบต้องใช้เวลาอีกกี่ปีนางจึงจะเติบโตขึ้น....

กลายเป็นว่า นางกับซือเฉินมีอายุพอๆกัน....

ซือเฉิน....

เมื่อนึกถึงซือเฉิน ความห่วงหาที่ค้างคาอยู่ในใจมายาวนานพลันผุดขึ้นในสมอง ความตื่นเต้นดีใจจากหนานเอ๋อร์ถูกแทนที่ด้วยความมุ่งหมาย เขาอุ้มร่างเล็กๆของหนานเอ๋อร์ขึ้นและกล่าวกับนาง “หนานเอ๋อร์ ร่างกายและวิญญาณของเจ้าแยกกันมายาวนาน การผสานให้สมบูรณ์จำเป็นต้องใช้เวลา ตอนนี้เจ้าเพิ่งกลับคืนสู่ร่าง จะเป็นการดีหากไม่ใช้ความคิดมากนัก.... ตอนนี้เจ้าต้องพักผ่อนให้มาก เข้าใจไหม?”

หนานเอ๋อร์ออกแรงพยักหน้าหนักและยิ้มให้เขา สัมผัสรอยยิ้มของนางยอดเยี่ยมอย่างยิ่ง

“ต้องอย่างนี้สิ.... คอยเชื่อฟังเป็นเด็กดี ก่อนอื่นให้เซียงเซียงพาเจ้ากลับไปพักผ่อนที่บ้าน บอกกับเสวี่ยเอ๋อร์และทงซินว่าพวกนางมีน้องหญิงอีกหนึ่งคน บอกกับพวกนางว่าข้ายังทำธุระไม่เสร็จสิ้น ไม่ต้องกังวล”

“เอ๋? แต่ว่า.... เห็นอยู่ชัดๆ ว่าข้าแก่กว่าพวกนาง แถมยังแก่กว่ามากๆด้วย พวกนางต้องเป็นน้องข้าสิ” หนานเอ๋อร์ส่งเสียงประท้วงไม่เห็นด้วยทันที

“แต่เจ้าในตอนนี้ดูอายุน้อยกว่าพวกนางนะ” เย่หวูเฉินกล่าวด้วยสีหน้าหมดหนทาง

“อู่....”

มองดูเซียงเซียงพาหนานเอ๋อร์จากไป ใบหน้าของเย่หวูเฉินค่อยๆสงบลง เขากุมกระจกสีขาวไว้ในมือทั้งสองข้าง ก่อนกล่าวอย่างอ่อนโยน “ซือเฉิน.... ไปหาแม่กันเถอะ....”

“อยาก.... เห็นแม่ อยากเห็นแม่กับป๊ะป๋าอยู่ด้วยกัน”

ราวกับได้ยินเสียงสวรรค์แว่วเข้ามาในหู เย่หวูเฉินทั่วร่างสั่นสะท้านเล็กน้อย ท่ามกลางสายตาที่สั่นไหว เขามองเห็นกระจกในมือเปลี่ยนเป็นเด็กหญิงอายุสามขวบในกลุ่มแสงขาว.... นี่คือลูกสาวของเขา นางเงยหน้าขึ้นและกระพริบตามอง ริมฝีปากสีชมพูและคิ้วบางโค้งเป็นรอยยิ้มงดงามเหนือคำบรรยายใดๆ

เย่หวูเฉินฟื้นคืนจากความตะลึง แทนที่ด้วยความดีใจสุดขีด เขากอดซือเฉินไว้และกระซิบพึมพำ “....ซือเฉิน ข้าจะปลุกแม่เจ้าให้ตื่นขึ้น นางจะต้องคิดถึงลูกสาวของนางมากเช่นเดียวกัน”

มิติขาดออกจากกัน พวกเขาปรากฎตัวขึ้นในห้องน้ำแข็งแห่งหนึ่ง ตรงหน้ามีสตรีงดงามหลับไหลอยู่ในก้อนน้ำแข็ง

เย่หวูเฉินเคลื่อนมือสัมผัสก้อนน้ำแข็ง มองดูเหยียนจื่อเมิ่งอย่างเงียบงัน สี่ปีก่อนชะตาชีวิตของนางพลิกผันเพราะเสวี่ยเฟยเยี่ยนใช้หยกจิตกำหนัด หากมิได้พบกัน ชะตาชีวิตของแต่ละฝ่ายสมควรแตกต่างไปอย่างมาก.... ทว่าการที่นางพบเขากลับกลายเป็นโชคร้ายสาหัสสำหรับนาง ในวันที่แยกจาก นางได้ให้กำเนิดธิดาเพื่อเขา.... จากนั้นหลับไหลในน้ำแข็งกว่าสี่ปี

ในอดีต เมื่อสำนักจักรพรรดิเหนือทราบว่านางตั้งครรภ์ ตอนนั้นนางจะรู้สึกดีใจและสิ้นหวังปานใด ยามที่เกือบสูญเสียลูกน้อยในไส้ นางจะเจ็บปวดมากเพียงใด เรื่องเหล่านี้นางต้องแบกรับไว้เพียงลำพัง ขณะที่เขากลับอยู่ในอีกโลกหนึ่ง

“จื่อเมิ่ง หากชาติหน้ามีจริง เจ้ายังปรารถนาเจอข้าอยู่หรือไม่?” เขากระซิบแผ่วเบา ไม่ทราบกำลังถามนางหรือถามตัวเอง เขาหลับตาลงและกล่าวอย่างนุ่มนวล “จื่อเมิ่ง ตื่นขึ้นเถิด.... ข้าปล่อยให้เจ้าและคนอื่นๆ รอมานานมากแล้ว....”

แสงเขียวมรกตแผ่ท่วมห้วงมิติโดยรอบจนหมดสิ้น พลังชีวิตของเย่หวูเฉินในยามนี้เข้มแข็งเพียงใด เขาสามารถฟื้นฟูชีวิตของเหยียนจื่อเมิ่งได้ในพริบตาเดียว ท่ามกลางแสงมรกตที่สว่างโชน น้ำแข็งหนาที่แช่ร่างของเหยียนจื่อเมิ่งไว้ราวกับหายวับไปกับตา เหยียนจื่อเมิ่งถูกล้อมรอบไว้ด้วยแสงมรกต นางลอยลงจากอากาศช้าๆ เย่หวูเฉินพุ่งไปเบื้องหน้าอุ้มรับนางไว้อย่างระวัง

“แม่.... แม่....” ซือเฉินราวกับภูติน้อยลอยไปอยู่อีกข้างหนึ่งของเหยียนจื่อเมิ่ง ส่งเสียงเล็กๆเรียกซ้ำๆ สองมือดึงเสื้อของนาง เย่หวูเฉินเผยยิ้มบนใบหน้า สัมผัสถึงชีวิตและอุณหภูมิของร่างกายที่ฟื้นฟูขึ้น เป็นเวลาแสนนานที่เขาไม่ได้มองนางใกล้ๆ ไม่ได้สัมผัสร่างนางเหมือนตอนนี้

พลังวิญญาณกระเพื่อมขึ้นจากซือเฉิน เย่หวูเฉินกำลังเงยขึ้นมอง ทว่าฉับพลันมีเสียงเล็กน้อยจากร่างที่อยู่ในอ้อมกอด เขาเคลื่อนสายตาลงอย่างรวดเร็ว ฉับพลันดวงตาสองคู่สบประสานกันในยามนี้

ความปีติ , ยินดี , เสียใจ , เศร้าใจ , รักใคร่.... อารมณ์หลากหลายผสมปนเปกันในคราเดียว เขากล่าวสามคำอย่างอ่อนโยน “เจ้าตื่นแล้ว....” จากนั้นเขาไม่อาจกล่าวคำใดอีก ห้วงสติและสายตาราวกับพร่าเลือนลงด้วยสายตาคู่นั้น

“แม่.... แม่.... ป๊ะป๋า....” ซือเฉินลอยร่างลงสู่พื้น มองดูเหยียนจื่อเมิ่งที่ตื่นขึ้นด้วยความดีใจ ในแววตาเป็นประกายเจิดจ้าคล้ายบางอย่าง ใบหน้าแย้มยิ้มด้วยความตื้นตัน หยดน้ำตาไหลร่วงอย่างรวดเร็ว

นี่คือครั้งแรกที่เหยียนจื่อเมิ่งได้ยินเสียงเรียกหาของลูกสาว ทุกถ้อยสำเนียงที่ได้ฟังในยามนี้กลายเป็นเลือนราง นางได้แต่ระบายน้ำตาออกมา.... ครั้งหนึ่งเคยคิดว่าเย่หวูเฉินได้ตายไปแล้ว เคยคิดว่าตนเองไม่มีทางรอด คิดว่าไม่มีวันได้เห็นลูกสาวอีก.... แต่ตอนนี้ ทุกคนกลับมาอยู่พร้อมหน้าดุจความฝัน นางตื่นขึ้นและได้เห็นชายอันเป็นที่รัก ได้เห็นลูกสาวที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตนเอง

แม้พลังชีวิตฟื้นกลับอย่างสมบูรณ์ ทว่าสี่ปีที่ถูกแช่แข็งทำให้นางยังไม่อาจขยับร่างกายได้อย่างอิสระ นางไม่อาจกอดพวกเขากลับได้ ทำได้เพียงใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดจับเขาและลูกสาวไว้ ยึดเหนี่ยวไว้แน่นหนา ไม่ปรารถนาแยกจาก

พลังวิญญาณที่กระเพื่อมขึ้นมิใช่เพราะซือเฉินใช้เพื่อปลุกนาง หากแต่ก่อนที่เหยียนจื่อเมิ่งจะลืมตาขึ้นนั้น ซือเฉินได้ถ่ายทอดความทรงจำของตนให้กับมารดา.... ถ่ายทอดเรื่องราวทุกอย่างที่เกิดขึ้นระหว่างปีเหล่านี้ให้นางทราบ บอกว่าพ่อกับลูกสาวได้พบกันด้วยวิธีใด เช่นเดียวกับเรื่องราวต่างๆ ที่เย่หวูเฉินได้กระทำระหว่างปีเหล่านี้ นางคือมารดา ระหว่างมารดาและลูกสาวไม่จำเป็นต้องมีเรื่องปิดบังใดๆ ในครอบครัว แม้ระหว่างปีเหล่านี้พวกเขาไม่ได้อยู่ร่วมกัน แต่จากความทรงจำของซือเฉินที่ถ่ายทอดให้ นางจึงได้เห็นการเติบโตของซือเฉินด้วยตัวเอง ทำให้นางได้เห็นว่าบุรุษของตนได้ก้าวไปถึงระดับที่สูงเสียดเพียงใด

“หวูเฉิน.... ซือเฉิน....” เหยียนจื่อเมิ่งเรียกหาสองบุคคลที่สำคัญที่สุดในชีวิต แต่ละถ้อยคำเต็มไปด้วยน้ำตา.... นี่คือความฝันที่สวยงามที่สุด เป็นความฝันที่ไม่อยากตื่นขึ้น

เสวี่ยเฟยเยี่ยนไม่ทราบว่าปรากฎกายอยู่หน้าประตูน้ำแข็งตั้งแต่เมื่อใด นางยืนมองครอบครัวโอบกอดกันอยู่ตรงนั้น บนใบหน้าเผยรอยยิ้มกระจ่างไร้มลทิน นางถอยกายออกไปเงียบงัน ในหัวใจนั้น ทุกความเมื่อยล้า , ทุกความกังวล , ทุกความคับข้อง ล้วนหายไปหมดสิ้นในยามนี้ เขากลับมา ซือเฉินกลับมา.... ในที่สุดนางได้ตื่นขึ้น บางทีคงไม่มีผลลัพธ์ใดสมบูรณ์แบบยิ่งกว่านี้ หลายวันก่อน นางได้รับจดหมายที่ทำหัวใจแทบสลายจากเย่หวูเฉิน ความปิติยินดีในตอนนี้จึงล้นพ้นประดุจผุดขึ้นจากขุมนรกสู่สรวงสวรรค์ นางแหงนมองท้องฟ้าสีขาวมัว เผยรอยยิ้มชั่วร้ายประดุจมารเสน่ห์ ในใจครุ่นคิดอย่างเบิกบานว่าจะใช้ร่างกายของตน ‘ลงโทษ’ เขาอย่างไร....



<<<PREV    .    NEXT>>>