วันพฤหัสบดีที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2562

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 539

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 539 การตื่นของราชันปีศาจ

เสียงแผ่วบางของเซียงเซียงดุจแสงสว่างสาดทอในความมืด.... เป็นประกายแสงซึ่งไม่ควรมีอยู่ หนิงเสวี่ยและทงซินราวได้ยินเสียงอันไพเราะที่สุดในโลก.... บุคคลที่สูญสิ้นดวงวิญญาณล้วนไม่เคยฟื้นคืน ทว่าพวกนางเชื่อ.... ปรารถนาใช้ความมุ่งมั่นและศรัทธาลบล้างความเชื่อเดิม.... หนิงเสวี่ยจับร่างของเซียงเซียงอย่างระวัง ส่งเสียงอันสั่นเครือที่เจือด้วยน้ำตา “เซียงเซียง.... จริงเหรอ.... ไม่สิ.... จะต้องจริงแน่.... เซียงเซียง เจ้ารีบช่วยท่านพี่เร็วเข้า.... เซียงเซียง....”

“เซียงเซียง หากเจ้าช่วยท่านพี่ให้ฟื้นขึ้นได้จริงๆ.... เจ้าจะกลายเป็นผู้มีพระคุณใหญ่หลวงที่สุดในชีวิตของพวกเรา....” ทงซินรีบส่งเสียงตามมา

เซียงเซียงมิได้แสดงอาการรีบร้อนหากกลับสงบนิ่ง นางรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าเย่หวูเฉินมีหนทางฟื้นคืน.... เพราะนางคือความหวังสุดท้ายของเย่หวูเฉิน ในขณะที่ใช้วิญญาณอัคคี เย่หวูเฉินพลันตระหนักได้ว่านี่ไม่ใช่เส้นทางอันสิ้นหวัง หากแต่วางเดิมพันไว้กับเซียงเซียง คาดหวังว่านางจะสามารถนำพาปาฏิหาริย์มาสู่เขา

และเขามิได้คำนวณผิดพลาด ทั้งยังเอาชนะการเดิมพันครั้งนี้

ในโลกนี้ ผู้เดียวที่สามารถช่วยเขาได้มีเพียงเซียงเซียง.... เพราะนางครองพลังอันลึกลับและแข็งแกร่งสุด คือจิ้งจอกมังกรผู้สร้างจิตละโมภได้แม้กระทั่งจักรพรรดิใต้และจักรพรรดิเหนือ!

เซียงเซียงส่งเสียงนุ่มนวลแผ่วเบา “พี่หญิงหนิงเสวี่ย พี่หญิงทงซิน การที่จะช่วยนายท่าน ก่อนอื่นสิ่งแรกต้องอาศัยพลังของพวกท่าน”

“พลังของพวกเรา?” หนิงเสวี่ยเอ่ยทวนเบาๆ ตราบใดที่สามารถช่วยเขาได้ อย่าว่าแต่พลังของพวกนางเลย ต่อให้เป็นชีวิตและวิญญาณ.... พวกนางล้วนสละได้ทันทีโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย

“ในห้วงโกลาหลแห่งนี้ มุกเซียนโกลาหลต่างดำรงอยู่เพื่อนายท่าน ครั้งแรกที่ได้พบกับนายท่าน ข้าก็เกิดความรู้สึกนี้ขึ้นด้วยตัวเอง ด้วยเหตุนี้ ข้าจึงปรารถนาให้เขากลายเป็นนาย และเมื่อนายท่านได้รับมุกจิตวารีเป็นเม็ดแรก ข้าจึงแน่ใจเต็มสิบส่วน.... เวลานี้ นายท่านครองมุกจิตวารี , มุกมังกรอัคคี , มุกสลายวายุ , มุกเรืองปฐพี รวมทั้งมุกชุมอัสนี รวมทั้งสิ้นห้าในสิบมุกเซียนโกลาหล ในขณะที่อีกสี่ในห้าเม็ด มุกจรัสแสง , มุกโชนชีวิน , มุกสางทมิฬ และมุกภูติมรณะล้วนอยู่ในร่างของพวกท่าน การที่จะช่วยนายท่าน จำเป็นต้องใช้มุกเซียนทั้งสี่เม็ดส่งมอบพลังของมันให้กับนายท่านจนหมดสิ้น”

หนิงเสวี่ยและทงซินนิ่งงันเล็กน้อย พวกนางหันหน้ามองกัน เผยรอยยิ้มแห่งความปลดวางและน้ำตา หนิงเสวี่ยพยักหน้า “ตกลง พลังเหล่านี้แม้ข้ารังเกียจ แต่หากไม่มีมัน.... ข้าคงเป็นได้เพียงหญิงสาวธรรมดา และคงไม่มีทางได้มีวันนี้....”

“ข้าจะช่วยท่านพี่....” ทงซินยืนขึ้นและมองตรงที่เย่หวูเฉิน ร่างของนางเริ่มแผ่รัศมีสีดำจางๆ

เซียงเซียงส่งเสียงขัดจังหวะพวกนางขึ้น “พี่หญิงหนิงเสวี่ย พี่หญิงทงซิน.... พวกท่านทราบผลลัพธ์ของการสละมุกเซียนออกจากร่างหรือไม่? ตอนนี้มุกเซียนและชีวิตของพวกท่านได้หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน หากไร้มุกเซียน พวกท่านจะตายทันที.... และหากทำเช่นนั้น นายท่านจะต้องตำหนิตัวเองอย่างรุนแรง ต่อให้ตื่นขึ้นได้เขาย่อมไม่ปรารถนาตื่นขึ้น ข้าคือเซียงเซียงของนายท่าน ไหนเลยจะปรารถนาเห็นนายท่านต้องเสียใจ.... พี่หญิงหนิงเสวี่ย พี่หญิงทงซิน พวกท่านจะต้องอยู่เคียงข้างนายท่านไปจนชั่วชีวิต อย่าได้สละมุกเซียนออกจากร่างในตอนนี้....”

“เซียงเซียง เจ้า....” หนิงเสวี่ยย่อกายลง แววตาพร่าน้ำจ้องมองเซียงเซียงอย่างทึมทื่อ เป็นความจริงที่ว่าหากมุกเซียนออกจากร่าง พวกนางจะตกตาย ยิ่งกว่านั้นยังตายทันที ร่างกายจะสูญสลาย ทว่าอย่างที่เย่หวูเฉินเคยกล่าวไว้ ทั้งนางและเขาต่างโง่งมเกินไป แม้รู้ทั้งรู้ว่าหากไร้ตนเอง อีกฝ่ายย่อมเสียใจไปจนชั่วชีวิต ทว่าตราบใดที่สามารถช่วยอีกฝ่ายได้ ตนเองกลับไม่เคยลังเลยอมสละได้แม้ชีวิต.... ทว่าจากคำพูดของเซียงเซียงบ่งบอกอย่างชัดเจนว่า นางและทงซินไม่จำเป็นต้องสละชีวิต....

“พี่หญิงหนิงเสวี่ย พี่หญิงทงซิน จากความทรงจำที่ข้าส่งผ่านให้พวกท่านเมื่อครู่นี้ พวกท่านสมควรทราบแล้วว่าซือเฉินมีพลังอันยิ่งใหญ่สามารถหยุดเวลา.... ซือเฉินทรงพลังมาก ไม่เพียงสามารถหยุดเวลาได้เท่านั้น แต่ยังเคลื่อนเวลาให้ไหลย้อนกลับได้....” เซียงเซียงลอยร่างขึ้นและบินลงไปที่ข้างกายของซือเฉิน ซือเฉินกำลังเงียบงันราวกับหลับอยู่ ประหนึ่งตุ๊กตาน้ำแข็ง เซียงเซียงเป็นคนแรกที่ประจักษ์ในพลังของซือเฉิน นี่คือพลังเวลาอันหายากยิ่งกว่าพลังวิญญาณนับร้อยๆเท่า นี่มิใช่พลังเวลาอันบริสุทธิ์ แต่เป็นบางอย่างที่พิเศษอย่างยิ่ง พลังเวลาประเภทนี้ไม่เคยปรากฎอยู่ในความทรงจำของนาง

หนิงเสวี่ยลอยร่างตามมา อุ้มซือเฉินไว้อย่างระวัง นางพลันพบว่าร่างของซือเฉินเบาหวิวดุจปุยนุ่น

“พลังของซือเฉินในยามนี้ แม้ยังไม่ถึงขั้นย้อนเวลาได้เต็มที่ แต่ก็สามารถย้อนไปยังช่วงเวลาหนึ่งของอดีตได้.... สามปีก่อน มุกเซียนแสง , ชีวิต , ทมิฬ และมรณะยังไม่ทันหลอมรวมเข้ากับร่างของพวกท่านอย่างเต็มที่ พลังส่วนใหญ่ที่ค้ำจุนชีวิตของพวกท่านได้มาจากเทพจักรพรรดิ ดังนั้น ต่อให้ไร้มุกเซียนพวกท่านก็ไม่ตกตาย ร่างของพวกท่านและมุกเซียนผสานเข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์ภายหลังจากนั้น ดังนั้น หากพวกท่านกลับคืนสู่สภาพร่างเมื่อสามปีก่อน พวกท่านจะสามารถมอบมุกเซียนเพื่อช่วยนายท่านได้”

เซียงเซียงราวกับเล่านิทานลึกลับปรัมปรา คนทั่วไปที่ได้ยินย่อมไม่อาจเข้าใจได้

นัยน์ตาส่วนลึกของหนิงเสวี่ยทอประกายความหวังและปิติดีใจ นางกอดร่างของซือเฉินไว้ ปาดหยาดน้ำใสออกจากมุมหางตาและเอ่ยถาม “แล้ว.... พอพวกเราย้อนเวลากลับไป ความทรงจำระหว่างสามปีนั้นจะยังคงอยู่หรือเปล่า?”

“ไม่ ทุกอย่างของพวกท่านจะถูกย้อนกลับไปเป็นเหมือนเมื่อสามปีก่อน ร่างกายจะกลับคืนสู่สภาพต้องคำสาป อุปนิสัยและความทรงจำจะกลับสู่ช่วงเวลาก่อนหน้าเมื่อสามปีก่อน.... อย่างไรก็ตาม ข้ามีวิธีรักษาความทรงจำทั้งหมดของพวกท่านไว้ เพราะข้าทราบดี ว่าความทรงจำคือสิ่งมีค่ามากที่สุดสำหรับพวกท่าน ข้าจะไม่มีวันทำให้บุคคลที่สำคัญที่สุดของนายท่านต้องสูญเสียสิ่งมีค่าที่สุดไป”

หนิงเสวี่ยเผยรอยยิ้มอ่อนโยน กอดซือเฉินในอกและกล่าว “ขอบคุณเซียงเซียง.... ขอบคุณซือเฉิน”

ในวันที่เย่หมิงพรากพวกนางไป นางมองทวีปเทียนเฉินที่ห่างออกไปเรื่อยๆ มองไปยังพี่ชายที่ไม่อาจมองเห็นอีก นางได้เปล่งคำ “ท่านพี่ ได้โปรดเชื่อข้า.... ระหว่างพวกเรานั้น ถูกผูกโยงไว้ด้วยด้ายแห่งโชคชะตาที่ไม่วันตัดขาด....”

นางไม่เคยรู้สึกยินดีต่อทุกสิ่งเหมือนเช่นเวลานี้ นางปล่อยมือจากซือเฉิน ยกสองมือประสานไว้ตรงอกอย่างเงียบงัน อยู่ในท่วงท่าที่ดูศักดิ์สิทธิ์เป็นอย่างยิ่ง

ซือเฉินเปิดดวงตากระจ่างใสและแย้มยิ้ม เป็นรอยยิ้มอ่อนหวานน่ารักและมีความสุขยิ่ง นางดีใจที่พลังของตนสามารถช่วยพ่อได้ สามารถช่วยอาหนิงเสวี่ยและอาทงซิน รู้สึกภาคภูมิใจที่ตนได้ครองพลังนี้

หนิงเสวี่ยและทงซินขยับยืนอยู่ใกล้กันภายใต้การเหนี่ยวนำของพลัง ร่างเล็กๆของซือเฉินลอยอยู่ตรงกลางระหว่างพวกนาง ร่างของซือเฉินโชนแสงขาวที่สว่างจ้าและจางลงสลับกัน หนิงเสวี่ยและทงซินหลับตาลงตามถ้อยคำของเซียงเซียง ผ่อนคลายร่างกายตัวเอง ไม่โคจรพลังใดๆเข้าต่อต้าน

ด้วยเหตุนี้ พวกนางจึงไม่อาจมองเห็นการเปลี่ยนแปลงของซือเฉิน.... ซือเฉินในยามนี้กลายเป็นแสงขาวมัว ร่างกายค่อยๆโปร่งใส จนกระทั่งหายไปทั้งร่าง แทนที่ด้วยแสงขาวสว่างเจิดจ้าที่เข้าห่อหุ้มร่างของหนิงเสวี่ยและทงซินไว้

หากมองทะลุกลุ่มแสงขาวสว่างเจิดจ้านี้ได้ ตำแหน่งที่ซือเฉินเคยอยู่ บัดนี้กลับแทนที่ด้วยกระจกเล็กๆ ที่กำลังหมุนรอบตัวเองช้าๆ....

กระจก.... เป็นกระจกแผ่นหนึ่งขนาดประมาณหนึ่งฝ่ามือของผู้ใหญ่

ระหว่างการหมุนของกระจก สองชีวิตที่ถูกห่อหุ้มด้วยแสงขาวกำลังถูกกงล้อแห่งเวลาหมุนย้อนกลับ เวลาที่ไม่เคยหวนคืนกำลังไหลย้อนบนร่างของพวกนางอย่างแท้จริง

หากสามารถย้อนคืนชีวิตกลับสู่สภาพก่อนหน้าได้จริงๆ.... เช่นนั้นเหตุใดจึงไม่ให้เย่หวูเฉินย้อนกลับไปยังสภาพก่อนหน้าเมื่อครู่นี้?

เหตุผลคือพลังนี้แม้นับได้ว่าฝ่าฝืนเจตจำนงค์ของสวรรค์อย่างแท้จริง ทว่ามันมีกฎเกณฑ์ที่เข้มงวดอยู่ นอกจากพลังนี้บรรลุถึงระดับที่สามารถเพิกเฉยต่อกฎเกณฑ์ได้อย่างแท้จริง ซึ่งอย่างน้อยตอนนี้ซือเฉินยังไม่ถึงขั้นนั้น พลังเวลาที่นางครองอยู่สามารถเปลี่ยนจากมีเป็นไม่มี ทว่าไม่อาจเปลี่ยนจากไม่มีให้กลายเป็นมีได้ สามารถอ่อนแอลงแต่ไม่อาจเข็มแข็งขึ้น สรุปสั้นๆก็คือ ด้วยกฎสำคัญแห่งการย้อนเวลา นางจึงไม่อาจทำได้

ตัวอย่างเช่น หากร่างของเย่หวูเฉินย้อนกลับไปยังสภาพเมื่อหลายเดือนก่อน เขาจะมีวิญญาณเพิ่มอีกหนึ่งดวงในร่าง มุกมังกรอัคคีและมุกสลายวายุจะปรากฎเพิ่มอีกอย่างละเม็ด ซึ่งไม่ว่าสิ่งใดปรากฎขึ้นอีกครั้ง ล้วนแต่ขัดกฎเกณฑ์ที่ไม่อาจยอมรับได้ ในทำนองเดียวกัน บุคคลที่ตายแล้วจะไม่อาจใช้วิธีนี้ฟื้นคืนชีวิต.... ทว่า ขีดจำกัดเหล่านี้จะดำรงอยู่เมื่อพลังแห่งเวลายังไม่แกร่งกล้าพอเท่านั้น เมื่อใดที่พลังเวลาแกร่งกล้าถึงระดับหนึ่ง ขีดจำกัดเหล่านี้จะถูกทำลายลงโดยง่าย

เซียงเซียงอยู่ห่างออกไปเล็กน้อย มองยังกลุ่มแสงขาวตรงหน้าอย่างเงียบงัน ในความรู้ของนาง พลังเวลาคือพลังที่ไร้สี หากมันแกร่งกล้าขึ้นจะปรากฎเพียงสีมัว ทว่าพลังเวลาของซือเฉินกลับเป็นสีขาวสุดขั้ว แต่ถึงอย่างนั้น นางเชื่อมั่นว่าซือเฉินสามารถบรรลุผลลัพธ์ที่ต้องการ คือช่วยบิดานางได้

ส่วนสำคัญที่สุดในการปลุกเย่หวูเฉินยังคงเป็นเซียงเซียง ร่างของนางเล็กจ้อย ลอยอยู่กลางอากาศแผ่กลิ่นหอมจรุง งดงามดุจภาพความฝันอันเกินจินตนาการของมนุษย์

......................

......................

ทวีปปีศาจ

กลุ่มหมอกทมิฬยังคงลอยขึ้น ทว่าชาโหวและเทพจักรพรรดิต่างยิ่งมายิ่งร้อนรนใจกับหมอกทมิฬที่ไหลอย่างเร็วรุด.... ความร้อนรนในใจนี้แทบไม่อาจบรรยาย สิ่งที่คนทั้งสองกำลังรู้สึกนั้น.... คือความกลัวอันล้ำลึก

ฮู่ว.....

กระแสลมปีศาจสุดท้ายได้พัดผ่าน นำพากลุ่มหมอกทมิฬสุดท้ายหายลับไปทางทิศใต้ ในที่สุดทุกอย่างก็สงบลง ทว่าชาโหวและเทพจักรพรรดิกลับรู้สึกหนักหน่วงราวกับถูกหินยักษ์กดทับหัวใจ บีบคั้นจนร่างกายสั่นคลอน

ราวกับตอบรับต่อความร้อนรนของพวกเขา ท้องฟ้าพลันท่วมทวีด้วยเมฆดำ เปลี่ยนท้องฟ้าสลัวให้กลายเป็นมืดมิด หมอกทมิฬกระเพื่อมจากบนฟ้า เปล่งแสงมืดทะมึนลงมาจากเบื้องบน ในเวลาเดียวกัน ทั่วทั้งทวีปปีศาจพลันตกอยู่ในความมืด ราวกับรัตติกาลมืดมิดได้มาถึงโดยไร้คำเตือน ทว่าหากเทียบกับความมืดแล้ว ที่น่ากลัวกว่าคือแรงกดดันหนักหน่วงเกินคำบรรยายที่ตามมา

พลังชั่วร้าย เป็นพลังชั่วร้ายถึงขีดสุด ชั่วร้ายจนกระทั่งเหล่า ‘ปีศาจ’ ยังต้องหวั่นสะพรึง ไม่ทราบว่าพลังปานนี้โผล่มาจากที่ใดในเวลาสั้นๆ มันบดบังทั้งทวีปปีศาจแทบในทันที

ชาโหวและเทพจักรพรรดิสีหน้ากลับกลายในที่สุด เวลานี้ทั้งสองต่างได้ยินเสียงหัวใจตนเต้นกระตุกอย่างชัดหู สัมผัสถึงความกลัวลึกล้ำในใจได้อย่างชัดเจน เผชิญหน้ากับเทพลึกลับดำทั้งสองมิได้หวาดกลัว ทว่าภายใต้พลังนี้ กระทั่งลมหายใจและหัวใจยังแทบจะหยุดลง

“รา.... ชัน.... จอมปีศาจ!” เสียงของชาโหวสั่นสะท้าน แต่ละคำกล่าวลอดซี่ฟันออกมาอย่างยากเย็น

มันกำลังหวาดกลัว ชั่วชีวิตมันไม่เคยหวาดกลัวถึงเพียงนี้มาก่อน ก่อนหน้าที่ผ่านมา มันเตรียมการมานานเนิ่นเพื่อปลุกราชันจอมปีศาจ.... ทว่าเมื่อแรงกดดันที่มีเพียงราชันจอมปีศาจได้ถูกปลดปล่อยออกมา มันจึงตระหนักได้ว่าความคิดของมันโง่เขลาเพียงใด พลังนี้น่ากลัวอย่างยิ่ง และยิ่งน่ากลัวขึ้นไปอีกเมื่อกลิ่นอายของมันเต็มไปด้วยความชั่วร้าย นี่คือพลังที่สามารถทำลายทุกชีวิตในห้วงโกลาหล.... รวมไปถึงทวีปปีศาจของมัน

เทพลึกลับดำตายแล้วอย่างเห็นได้ชัด! ทว่าเหตุใดราชันจอมปีศาจถึงฟื้นคืนได้อีก..... นี่มันเกิดอะไรขึ้น!!



<<<PREV    .    NEXT>>>