วันอาทิตย์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2562

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 542

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 542 กำเนิดใหม่

สายลมทมิฬเย็นเยียบพัดมาฉับพลัน ท้องฟ้ายิ่งมายิ่งมืดมิด เสียงหัวเราะคลุ้มคลั่งยิ่งมายิ่งเข้าใกล้ ท้องฟ้าสิ้นประกายแสงสุดท้ายในที่สุด ในโลกที่มืดสนิทนั้น พลันปรากฎเงาขนาดใหญ่เหนือท้องฟ้า ดวงตามหึมาเปิดขึ้นเหนืออากาศ ส่งประกายโลหิตจ้องมองลงมายังโลกเบื้องล่าง

ทั่วทุกมุมในทวีปปีศาจสามารถมองเห็นเงาทะมึนบนท้องฟ้าได้อย่างเด่นชัด มันมิได้ปรากฎในสายตา หากปรากฎขึ้นในหัวใจของทุกชีวิต ปราณปีศาจที่แผ่ท่วมทำให้เหล่าปีศาจต้องสั่นกลัว เป็นความกลัวที่ใหญ่หลวงที่สุดในชีวิตของพวกมัน ไม่ทราบมีปีศาจมากเพียงใดที่คุกเข่าลงกับพื้น ทั้งร่างไม่กล้าขยับเคลื่อน นอกจากคู้ตัวลงงอ พวกมันไม่กล้าเคลื่อนไหวใดๆ อีก

ในตำนานของเผ่าพันธุ์ปีศาจ การปลุกราชันจอมปีศาจมีเพียงวิธีเดียวเท่านั้น คือใช้พลังทมิฬจำนวนมหาศาล ก่อนหน้านี้ ชาโหวหลอกล่อเทพลึกลับดำไปยังสถานที่ที่ราชันจอมปีศาจหลับไหลอยู่ ทว่าเพียงแค่นั้นยังไม่อาจปลุกราชันจอมปีศาจให้ตื่นขึ้นได้ ชาโหวรู้แก่ใจดีว่าราชันจอมปีศาจต้องใช้พลังทมิฬมหาศาลเพียงใด ถึงแม้เทพลึกลับดำจะแกร่งกล้า แต่พลังโจมตีของมันยังไม่มากพอปลุกราชันจอมปีศาจให้ตื่นขึ้นได้

อย่างไรก็ตาม พลังทมิฬที่ถูกปลดปล่อยออกจากร่างเทพลึกลับดำที่ถูกทำลายลงนั้น นับว่าเพียงพอโดยแท้! เพียงพอทำให้ราชันจอมปีศาจที่หลับลึกไหวตัวและดูดกลืนพลังอย่างบ้าคลั่ง ฉะนั้น พลังทมิฬของเทพลึกลับดำจึงไหลเลื่อนไปยังทิศใต้อย่างรวดเร็ว.... จนกระทั่งราชันจอมปีศาจตื่นขึ้น

มองยังท้องฟ้าดำมืดและดวงตาแดงก่ำเหนือศีรษะ ชาโหวและเทพจักรพรรดิต่างรู้สึกว่าวันพรุ่งนี้ไม่มีอีก นี่คือพลังอันไร้ต้าน.... ไร้หนทางใดๆ ให้ต่อสู้ ต่อให้มีโชคช่วย ทุกอย่างก็ล้วนไร้ค่า เมื่อยู่ต่อหน้าขุนเขาทะมึนที่สูงเสียดฟ้าไม่เห็นยอด

.....................

.....................

ระหว่างที่หนิงเสวี่ยและทงซินรอคอยอย่างกระวนกระวาย ม่านพลังแสงขาวพลันสั่นไหวและร้าวออก จากนั้นเริ่มสลายไปช้าๆ หนิงเสวี่ยและทงซินรีบลุกพรวดขึ้นจากพื้น ขยับตรงเข้าหากลุ่มแสงขาวนั้น

ท่ามกลางแสงขาวที่ยังไม่ทันสลายไปจนหมด ปรากฎสองเงาร่างสีขาวอยู่ในฉาก ร่างหนึ่งสูงโปร่ง ส่วนอีกร่างเล็กบางและงดงาม สาวน้อยทั้งสองโง่งมลงพร้อมกัน จากนั้น หนิงเสวี่ยพลันพุ่งเข้าไปพร้อมร้องไห้ เงาร่างที่คุ้นเคยได้ประทับฝังใจไว้นานแล้ว ไม่ว่าผู้คนรอบข้างจะเป็นใคร พวกนางแทบไม่ต้องใช้เวลาในการแยกแยะมองหาเขา นางใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีกอดเขาไว้แน่น

“ท่านพี่! ท่านพี่! ท่านพี่....” หนิงเสวี่ยและทงซินกอดเขาไว้จากทางซ้ายและทางขวา บริเวณโดยรอบสะท้อนเสียงสะอื้นของหนิงเสวี่ย นอกจากคำเรียกหาอันผูกพัน นางไม่มีคำใดเพื่อปลดปล่อยความรู้สึกในใจในยามนี้

ในที่สุด พี่ชายที่สูญเสียไปของนางได้กลับคืนมาอีกครั้ง ระหว่างนางและเย่หวูเฉินผ่านประสบการณ์เป็นตายมาหลายครั้ง ทว่านี่เป็นครั้งที่นางสิ้นหวังมากที่สุด อีกทั้งยังเป็นครั้งที่นางไม่มีวันลืม

หนิงเสวี่ยที่คุ้นเคย ทงซินที่เคยคุ้น พวกนางในยามนี้ไม่ใช่องค์หญิงไป่เย่และองค์หญิงเฮยเย่แห่งทวีปเทวะอีกต่อไป หากแต่เป็นสาวน้อยผมขาวที่เขาเก็บมา และสตรีเทพพิโรธผู้ถูกพิชิตและรับไว้โดยเขา ครั้งหนึ่งพวกนางถูกพรากไปจากกาย ยามนี้เขากอดพวกนางไว้ด้วยแขนทั้งสองข้าง ใบหน้ายิ้มแย้มด้วยความพึงใจ

ให้เรื่องทุกอย่างกลายเป็นอดีต ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วจะไม่เกิดอีก.... เพราะตอนนี้ข้ามีพลังปกป้องพวกเจ้า ผู้ใดก็ไม่อาจพรากพวกเจ้าไปจากข้า ผู้ใดก็ไม่อาจทำร้ายพวกเจ้าอีก

เขาครุ่นคิดในใจซ้ำๆ รอยยิ้มตรงมุมปากสมบูรณ์ไร้ที่ติ

“เสวี่ยเอ๋อร์อย่าร้องไห้ เห็นพี่ชายของเจ้าแล้ว เจ้าควรมีความสุขมิใช่หรือ? ทงซิน.... อย่าร้องไห้สิ ข้าเคยบอกกับเจ้าแล้ว ว่าต้องเชื่อฟังถ้อยคำของพี่สาว อย่าได้ร้องไห้บ่อยเกินไป” เขาย่อกายลง ปลอบประโลมสาวน้อยทั้งสองคน หนิงเสวี่ยหลั่งน้ำตาเพื่อเขาเพียงคนเดียว ทงซินก็หลั่งน้ำตาเพื่อเขาเท่านั้นเช่นเดียวเช่นกัน การยืนกรานของคนทั้งสาม ทำให้โชคชะตาไม่ถูกตัดขาด ทุกอย่างจึงยุติลงได้ในที่สุด....

“ท่านพี่....” หนิงเสวี่ยโน้มกายลงซบตรงอก กระซิบคำแผ่วเบา

“อื้ม” เย่หวูเฉินรับคำอย่างอ่อนโยน

หนิงเสวี่ยเงยหน้าขึ้นด้วยน้ำตา มองเขาด้วยดวงตาไม่กระพริบ สำหรับเย่หวูเฉินแล้ว โลกนี้ไม่มีสิ่งใดงดงามเท่าใบหน้าที่ถูกทำลายดวงนี้ แววตาเป็นประกายด้วยหยาดน้ำ นางกล่าวอย่างจริงจัง “ข้าอยาก.... แต่งงานกับท่านพี่”

เย่หวูเฉินยิ่งเผยยิ้มอ่อนโยนขึ้น “รอให้เจ้าโตก่อน”

“แล้ว.... ถ้าหากข้าไม่โตขึ้นอีกล่ะ?”

“งั้นข้าก็สามารถอุ้มเสวี่ยเอ๋อร์ได้ตลอดไป” เย่หวูเฉินอุ้มร่างของหนิงเสวี่ยขึ้น กอดนางไว้ในอกแน่น

หนิงเสวี่ยยกแขนทั้งสองข้างขึ้นกอดรอบลำคอเขา ใบหน้าอาบน้ำตาเผยรอยยิ้มแห่งความสุข “ถ้าอย่างนั้นข้าจะไม่โตขึ้น.... และข้าจะแต่งงานกับท่านพี่ด้วย.... แบบนั้นข้าจะอยู่กับท่านพี่ได้ตลอดไป....”

......................

......................

ทวีปปีศาจยามนี้กลายเป็นโลกมืดมิด ธาตุแสงทั้งหมดหลบลี้ภายใต้แรงกดดันของความมืด

ชาโหวสูดหายใจเข้าลึก เงยศีรษะขึ้นมองฟ้า จับจ้องไปยังดวงตาสีโลหิต ผู้ใดก็ตามที่เห็นดวงตาสีโลหิตนี้ มันย่อมรู้สึกว่าตนกำลังถูกจับจ้อง ดวงตาอันน่ากลัวนี้ ราวกับจะสามารถมองทะลุทุกสรรพสิ่ง กระทั่งมองลงไปถึงก้นบึ้งในหัวใจคน ชาโหวปรับจิตใจและลมหายใจให้สงบลงได้มากที่สุด ก่อนกล่าวด้วยเสียงดังลั่น “องค์ราชันแห่งเผ่าพันธุ์ปีศาจ ข้าคือจักรพรรดิปีศาจรุ่นที่ 37,275 แห่งผืนทวีปที่ท่านสร้างขึ้น ขอแสดงความยินดีและต้อนรับการตื่นขึ้นขององค์ราชัน!”

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า.... ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า....” บ้าคลั่ง , ดูหมิ่น , เหยียดหยาม.... เสียงหัวเราะนี้บรรจุอารมณ์ด้านลบนับไม่ถ้วนไว้ ไร้วี่แววยินดีหรือพอใจกับการ ‘ต้อนรับ’ นี้แม้แต่น้อย เสียงนี้ทำลายความหวังการดิ้นรนครั้งสุดท้ายของชาโหวลง “ขยะ.... ปล่อยให้ข้าต้องหลับรอมานานปีนัก.... พวกเจ้าทั้งหมดเป็นขยะ.... ขยะทั้งนั้น....”

“พวกขยะ.... ต้องถูกทำลาย.... ย่อยยับให้หมดสิ้น.... นี่คือโลกของปีศาจ โลกแห่งความชั่วช้า จักต้องอาบชำระด้วยความมืดและโลหิต.... ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า.... ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า....”

หัวใจของชาโหวและจักรพรรดิปีศาจยิ่งมายิ่งเย็นเยียบ ถ้อยคำไร้ยางอายนี้บ่งบอกอย่างชัดแจ้งว่าทุกชีวิตบนผืนทวีปปีศาจจะต้องตาย.... มันจะทำลายทุกชีวิตและดินแดนแห่งนี้ให้หมดสิ้น จากนั้นแสวงหาชีวิตใหม่ ดินแดนแห่งใหม่ แล้วเปลี่ยนให้กลายโลกมืดมิดที่อาบย้อมด้วยโลหิตจนกว่าจะหมดสิ้น!

“หากไร้หัวใจอันชั่วช้า มันย่อมไม่คู่ควรถูกเรียกขานว่าปีศาจ ปีศาจแบบนั้นสมควรถูกเปลี่ยนเป็นฝุ่นผงและละอองเลือด.... ขยะอย่างเจ้า ไม่คู่ควรต่อพลังปีศาจนี้!”

รังสีทมิฬร่วงลงจากฟ้า บริเวณโดยรอบมืดมิดไร้รัศมีแสงใด ทว่ารังสีทมิฬนี้กลับปรากฎเด่นชัดในโลกสีดำ นี่มิใช่เพียงความมืดธรรมดา หากแต่เป็นความมืดที่บรรลุถึงอีกหนึ่งขีดขั้นของความมืด

แสงทมิฬบางๆสายหนึ่งพุ่งลงมาด้วยความเร็วเหนือล้ำการคาดคำนวณ ไร้การกระเพื่อมของพลังมากนัก ทว่าแสงทมิฬที่ร่วงจากฟ้านี้กลับฟาดเข้าถูกชาโหวอย่างจัง ร่างของมันชะงักนิ่งงัน ดวงตาเหลือกขึ้น ร่างกายอ่อนปวกเปียก ปราณทมิฬกลุ่มใหญ่โชยออกจากร่างและพุ่งขึ้นสู่ฟ้าอย่างรวดเร็ว

เพียงพริบตาเดียว ยอดฝีมือที่แข็งแกร่งสุดแห่งทวีปปีศาจ จักรพรรดิปีศาจชาโหวกลับถูกลบล้างพลังในทันที ไม่มีแม้กระทั่งการดิ้นรน มันรู้สึกได้เพียงพลังที่ถูกพรากออกจากร่าง ราวกับว่าร่างกายไม่ใช่ของมันอีกต่อไป มันสั่นเทาด้วยความกลัวและสิ้นหวัง นอกจากดวงตาที่เบิกกว้างแล้ว มันไม่อาจกล่าวคำใด

เทพจักรพรรดิหอบร่างไร้สติของเสวี่ยเย่ถอยออกห่างจากชาโหว หัวคิ้วสีทองขมวดมุ่น นางรู้สึกไร้พลังและสิ้นหวังเช่นเดียวกับชาโหว ภายใต้พลังของราชันจอมปีศาจ ตัวตนที่เคยแข็งแกร่งสุดในห้วงโกลาหลอย่างนางและชาโหวกลับไร้หนทางต่อต้าน ไม่มีแม้กระทั่งทางหนี

นี่คือฝันร้าย คือฝันร้ายอย่างแท้จริง

“เจ้าขยะ ตายซะ”

เสียงแหบต่ำดุร้ายไร้เมตตาแผ่มาอีกครั้ง แสงทมิฬฟาดผ่าลงมาจากฟ้า เทียบกับครั้งก่อนแล้วมันเร็วกว่าไม่รู้กี่เท่า เกิดการบิดผันผิดธรรมชาติระหว่างที่ฟาดผ่าลงมา ดุจสายฟ้าทมิฬแล่นตรงมาที่ชาโหว

เทพจักรพรรดิเบือนหน้าออก นางไม่โหดร้ายพอมองชาโหวถูกทำลายย่อยยับลงต่อหน้า ทั้งยังรู้สึกถึงพลังไร้ต้านกำลังล็อคตรึงร่างของนางไว้ นางและชาโหวมีพลังทัดเทียมกัน ย่อมต้องดึงดูดความสนใจของราชันจอมปีศาจ บางทีผู้ที่ถูกสังหารคนต่อไปคงเป็นนาง

ฮู่ว.....

สายฟ้าทมิฬฟาดลงสู่นภากาศ ทว่าเสียงที่เกิดขึ้นกลับไม่ใช่การทำลายล้าง หากแต่เป็นประหนึ่งเสียงลมพัด เทพจักรพรรดิเหลือบมองเล็กน้อย นัยน์ตางดงามภายใต้ม่านทองคำสั่นไหวอย่างรุนแรงทันที

เหนือฟากฟ้า ไม่ทราบมีบุรุษชุดขาวลอยนิ่งอยู่ตรงนั้นตั้งแต่เมื่อใด เขาหันร่างเฉียงมายังนาง ทำให้นางไม่อาจเห็นใบหน้าของเขาได้ชัด ทว่าเพียงปราดตาแรกที่มองเห็น นางเชื่อมั่นทันทีว่าบุรุษผู้นี้คือใคร.... ทั้งยังไม่อาจเชื่อในสิ่งที่สายตามองเห็นในยามนี้

เขาหงายฝ่ามือข้างหนึ่งผลักขึ้นฟ้า รับการปะทะของสายฟ้าที่หมายสังหารชาโหวโดยตรง ทว่ากลับไร้การกระจายของคลื่นพลังแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามมันหายไปในทันที.... ราวกับถูกพลังประหลาดดูดกลืนไว้ เหมือนถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายของเขา

“ทำลายทุกชีวิตให้หมดสิ้นอย่างนั้นรึ?.... ราชันจอมปีศาจ เจ้าถามความเห็นของข้าแล้วหรือยัง?” เย่หวูเฉินหรี่ตาลงกึ่งหนึ่ง มุมปากยกขึ้นอย่างปลอดโปร่ง ไร้ความหวั่นไหวใดๆ แม้เขากำลังกล่าวกับราชันจอมปีศาจ ทว่ากลับมิได้แหงนเงยศีรษะขึ้นมองฟ้า ตรงกันข้ามเขาก้มศีรษะลงเล็กน้อย ราวกับกำลังกล่าวคำกับตนเอง

ราชันจอมปีศาจ.... กลับไม่คู่ควรให้เขาแหงนมองขึ้น กล่าวอีกอย่างหนึ่งคือ ยามนี้ไร้ผู้ใดที่คู่ควรให้เขาแหงนมองขึ้น

เทพจักรพรรดิตื่นตะลึง ชาโหวที่คิดว่าตนตายแน่นิ่งงันอยู่ตรงนั้น เย่หวูเฉิน.... วิญญาณของเขาสลายไปแล้วอย่างเห็นได้ชัด ไร้ร่องรอยการดำรงอยู่อีก เหตุใดเขาจึงปรากฎตัวขึ้นที่นี่ได้? ยิ่งกว่านั้น เขายังเปลี่ยนไป เพียงการจากไปในชั่วเวลาสั้นๆ เขากลับทำให้พวกนางรู้สึกถึงการเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เขายังคงเป็นเขา ทว่านี่ไม่ใช่เขา.... เพียงบรรยากาศที่แผ่ออกมารอบกายในยามนี้ ก็ทำให้ชาโหวและนางตื่นตะลึงและไม่กล้ามองตรงไปที่เขา

ถามความเห็นของข้าหรือยัง.... ต่อหน้าราชันจอมปีศาจ เทพจักรพรรดิและจักรพรรดิปีศาจล้วนไม่อาจปฏิเสธว่าถ้อยคำนี้โอหังอย่างยิ่ง.... ทว่าเมื่อพวกนางได้ยิน กลับเกิดความรู้สึกประหลาดว่าถ้อยคำนี้ฟังดูไม่ขัดแย้งเลยแม้แต่น้อย

ในเวลาเพียงสั้นๆ เกิดอะไรขึ้นกับเขากันแน่!?



<<<PREV    .    NEXT>>>