วันเสาร์ที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 492

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 492 ตัดสินใจ

ฉู่จิงเทียนไม่ได้เปลี่ยนไปจากหกเดือนก่อนอย่างสิ้นเชิง ในวันนั้น สหายสนิทและสหายประจำตัวของเขาได้จากไป สหายสนิทได้ทำลายสหายประจำตัวของเขา ฉู่จิงเทียนเจ็บปวดเพียงใดเย่หวูเฉินย่อมเข้าใจ

“เล่งหยาล่ะ?” เย่หวูเฉินถาม

ฉู่จิงเทียนสีหน้าหม่นหมองลง ยิ้มกล่าวอย่างฝืดฝืน “ข้ายังไม่เจอเขา”

“หากเขาตั้งใจหลบเลี่ยง พวกเราย่อมไม่อาจหาเขาเจอ บางที วันหนึ่งเขาอาจปรากฎตัวออกมาเอง” ตั้งแต่เล่งหยาจากไป เย่หวูเฉินหวนนึกซ้ำๆถึงอาการก่อนหน้านี้ของเล่งหยา ราวกับว่าเขาต่อสู้อยู่กับบางสิ่ง ขัดขืนดิ้นรนอย่างยิ่ง เพื่อไม่ให้ร่างกายและจิตวิญญาณเสียการควบคุม

ตอนนี้เขาเป็นยังไง กำลังอยู่ที่ไหน และทำอะไรอยู่?

“อืม” ฉู่จิงเทียนตอบรับคำหนึ่ง

เย่หวูเฉินขยับนั่งอยู่ข้างเตียง เตรียมตัวลุกออกไป ฮั่วฉุ่ยโหรวรีบประคองเขาอย่างรีบร้อน “สามี ท่านเพิ่งจะฟื้น ร่างกายสมควรยังอ่อนแอ ท่านพักผ่อนก่อนเถอะนะ”

เย่หวูเฉินยิ้มกล่าว “โหรวโหรว วางใจเถอะ สามีของเจ้าจะเป็นคนธรรมดาได้ยังไง” สองมือโอบนางไว้ทันที นำนางนอนลงบนเตียง จากนั้นคลุมผ้าห่มให้ “คนที่ต้องพักผ่อน คือเสี่ยวโหรวโหรวของข้า”

เหยียนกงลั่วขนลุกเฮือก เขาเร่งกล่าว “นายหญิงโปรดวางใจ แม้ว่านายท่านเพิ่งฟื้น แต่ร่างกายไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ อย่าว่าแต่ลุกออกจากเตียงเลย ต่อให้ตอนนี้บินบนฟ้าตลอดสามวันสามคืนก็ไม่นับเป็นอันใด”

ฮั่วฉุ่ยโหรวพลันรู้สึกโล่งใจ หลายวันมานี้นางเหน็ดเหนื่อยมามากเกินไป ยามนี้เมื่อวางใจลง เพียงหลับตาก็หลับไหลไปทันที

เย่หวูเฉินสวมรองเท้า กอดเสี่ยวโม่ไว้ในอ้อมแขน ไม่กล่าวคำอีกและเดินออกไปจากห้อง ได้อุ้มสาวน้อยอยู่ในอ้อมแขน จึงรู้สึกราวกับหนิงเสวี่ยกลับมาอยู่ในอ้อมอก ฉู่จิงเทียนติดตามจากเบื้องหลัง พวกเหยียนและฉุ่ยทั้งห้าคนแยกย้ายออกไปอย่างเงียบงัน

เย่หวูเฉินเข้าไปพบพ่อแม่ของตัวเองก่อนเป็นอันดับแรก บอกพวกเขาให้คลายใจ หวังเวิ่นชูที่ห่วงกังวลและแอบร้องไห้มาตลอดหนึ่งเดือนพลันปิติยินดี เย่หนู่ถอนหายใจอย่างโล่งอกในที่สุด เย่หวูเฉินกล่าวคำขอโทษ “ท่านปู่ ท่านพ่อ ท่านแม่ ทุกอย่างเป็นความผิดของข้า ที่ทำให้พวกท่านต้องเป็นห่วง.... ท่านแม่ ตอนนี้ข้าสบายดีแล้ว ท่านต้องอารมณ์ดีให้มาก จะได้ไม่เป็นอะไรต่อน้องชายของข้า”

หวังเวิ่นชูปาดเช็ดมุมหางตา ยกมือขึ้นกุมหน้าท้องโดยสัญชาตญาณ พลางกล่าวด้วยรอยยิ้มบาง “ยังไม่รู้เลยว่าเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง”

“ข้าเดาว่าจะต้องเป็นผู้ชาย บางที อาจได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง อย่างไรเสีย สวรรค์ก็ติดค้างพวกเราตระกูลเย่อยู่หลายสิ่ง ดังนั้น สวรรค์ย่อมชดเชยให้อยู่แล้ว” เย่หวูเฉินยิ้มกล่าวธรรมดา เย่หนู่และหวังเวิ่นชูได้ยินแล้วไม่คิดอะไรมาก เพียงหัวเราะร่าเริงเท่านั้น ทว่าดวงตาของเย่เว่ยพลันฉายแววตื่นเต้น เขาเหลือบมองเย่หวูเฉินด้วยสายตาประหลาดล้ำลึก เย่หวูเฉินส่งยิ้มกลับให้ ความหมายทุกอย่างเป็นอันเข้าใจกัน

“อีกเรื่องหนึ่ง.... หลังจากนี้อีกสักพัก ข้าจะต้องจากบ้านไปไกล” เย่หวูเฉินยังคงยิ้มบนใบหน้า กล่าวคำอย่างนุ่มนวล

“จากบ้านไปไกล?” ความสุขบนใบหน้าของหวังเวิ่นชูหายไปทันที แทนที่ด้วยสีหน้ากระวนกระวาย “เฉินเอ๋อร์ เจ้าเพิ่งตื่นขึ้นมา ไหนเลยจะเดินทางไกลได้.... เจ้ายังไม่ได้บอกพวกเราเลยว่าใครกันที่ทำร้ายเจ้าให้มีสภาพแบบนั้น....”

เย่หวูเฉินสั่นศีรษะ “เรื่องบางอย่าง ไม่อาจบอกกล่าวให้ชัดเจนได้”

เย่เว่ยมุ่นคิ้วและถามอย่างสงบ “ต้องไปงั้นหรือ?”

“ต้องไป” เย่หวูเฉินตอบกลับอย่างจริงใจ

“แล้วจะกลับมาเมื่อไหร่?” เย่หนู่ก้าวออกมาและถาม สีหน้าที่เปลี่ยนไปของเย่หวูเฉิน ทำให้เขาตระหนักทันทีว่าเรื่องนี้ไม่ธรรมดา

“ยังไม่ทราบ บางทีอาจนานมาก....” เย่หวูเฉินตอบพลางถอนใจยาว เขาตอบได้เพียงเท่านี้ ชั่วขณะที่เขาตื่นขึ้น เขาก็ได้ตัดสินใจ.... การตัดสินใจนี้ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ไม่มีสิ่งใดสามารถหยุดยั้งเขาได้

“นาน? นานแค่ไหน?.... เฉินเอ๋อร์ เจ้าต้องไปทำเรื่องอันตรายแน่ๆ เฉินเอ๋อร์ เจ้าอยู่บ้านให้สงบสักช่วงก่อนเถอะนะ ให้แม่ได้วางใจ ไม่ต้องกังวลได้ไหม?” หวังเวิ่นชูจับเสื้อของเขาไว้แน่น น้ำเสียงที่กล่าวแทบจะอ้อนวอน

เย่หวูเฉินมองนางและกล่าวอย่างจริงจัง “ท่านแม่ ชีวิตข้าประสบความยากลำบากมามากนัก เฉียดผ่านความเป็นตายมาหลายครั้ง ทว่าไม่มีครั้งใดที่ทำให้ข้าร่วงหล่นได้ ชีวิตของข้าถูกลิขิตให้ไม่อาจอยู่นิ่งทั้งชีวิต ข้าขอยอมอยู่อย่างไม่สงบตลอดไปดีกว่ายอมแพ้.... ครั้งนี้ ข้าต้องจากไปสักพักใหญ่.... ในชีวิตของผู้คนมักมีเรื่องที่ต้องทำ ต่อให้เรื่องนั้นไม่สมควรหรือเสี่ยงชีวิตก็ตาม”

หวังเวิ่นชูนิ่งงันอยู่ตรงนั้น แววตาสั่นไหว เอ่ยคำอย่างแผ่วเบา “เฉินเอ๋อร์....”

สิ่งที่อยู่ในน้ำเสียงของเย่หวูเฉินคือการยืนกรานหนักแน่น ราวกับว่าเขาไม่ได้ใช้น้ำเสียงบ่งบอกความรู้สึกของตัวเอง แต่เป็นหัวใจที่เอ่ยออกมาโดยตรง

เย่เว่ยตบไหล่หวังเวิ่นชูเบาๆ ถอนหายใจบางและกล่าว “ปล่อยทุกอย่างให้เฉินเอ๋อร์ตัดสินใจเถอะ อย่าลืมสิ เขาไม่ได้เป็นเพียงลูกชายของพวกเรา แต่ยังเป็นจักรพรรดิมารผู้สะท้านทั่วหล้า เรื่องที่เขาต้องทำ พวกเราย่อมไม่อาจเข้าใจ ทั้งยังไม่อาจหลีกเลี่ยงหรือห้ามปรามได้”

เขาทราบดีว่าเย่หวูเฉินมีเรื่องสำคัญอย่างยิ่งที่ต้องทำ เย่หวูเฉินปฏิเสธกระทั่งการกล่าวตอบ ไม่ต้องมองดูเขาก็ทราบว่าเย่หวูเฉินกำลังจะไปทำเรื่องที่อันตรายอย่างยิ่ง บางทีอาจอันตรายถึงขั้น.... แทบเอาชีวิตไม่รอด

ทุกอย่างในตัวเขาเหนือล้ำกว่าคนทั่วไปจนสุดกู่ บางที เรื่องที่เขาต้องทำนั้น อาจไม่มีทางที่ผู้อื่นจะเข้าใจได้

เมื่อนึกถึงเรื่องราวทุกอย่างที่เย่หวูเฉินได้กระทำ สีหน้าของหวังเวิ่นชูจึงสงบลงในที่สุด แม่ลูกย่อมผูกโยงถึงกัน สำหรับผู้เป็นแม่แล้ว ความปลอดภัยของลูกย่อมเป็นเรื่องสำคัญที่สุด แต่นางทราบดีว่าต่อให้ห้ามปรามเย่หวูเฉินเพียงใด ก็ย่อมไม่อาจเปลี่ยนใจเขาได้ ตรงกันข้ามมีแต่จะทำให้เขาพะวง นางได้แต่ถามแผ่วเบา “เจ้าจะไปเมื่อไหร่?”

ในอดีตเย่หวูเฉินออกจากบ้านโดยแทบไม่บอกกล่าวพวกเขา ทว่าครั้งนี้เขากล่าวอย่างจริงจังว่าจะต้อง ‘จากบ้านไปไกล’ นี่ย่อมหมายถึงว่า ครั้งนี้เขาจะจากไปไกลแสนไกล อีกทั้งยังยาวนานมาก

“ข้าไม่รู้ บางทีอาจวันพรุ่งนี้ บางทีอาจต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่” เย่หวูเฉินกล่าวตอบ

“หากจำเป็นต้องใช้อะไรอย่าลืมบอกแม่นะ แม่จะได้จัดเตรียมไว้ให้เจ้าล่วงหน้า” หวังเวิ่นชูไม่โน้มน้าวให้เขาอยู่ต่ออีกหลายๆวัน นางอดกลั้นความกังวลและห่วงใยไว้ในใจ

“อื้ม....”

ด้านนอกห้องโถงมีเสียงฝีเท้าบางเบาใกล้เข้ามา นึกภาพได้เลยว่าเจ้าของฝีเท้านี้จะต้องก้าวเดินอย่างระวังมาก เย่หวูเฉินเหลือบหันไปมอง และพบหญิงสาวที่ทำให้เขาต้องประหลาดใจ

หญิงสาวก้มศีรษะอยู่ นางมองไม่เห็นเย่หวูเฉิน หยุดเท้าที่ปากทางเข้าห้องโถง จากนั้นกล่าวคำด้วยความเคารพ “นายท่าน นายหญิง.... อาหารเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว โปรด... เอ๋!?”

เย่หวูเฉิน “.......”

หญิงสาวจ้องมองตากว้าง สองมือยกขึ้นปิดปากตัวเอง ทว่าเสียงอุทานยังคงหลุดรอดออกจากปากนาง

มองเห็นหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้า เย่หวูเฉินค่อยๆนึกภาพในวันนั้นได้ นี่คือหญิงสาวที่ไม่สมควรปรากฎตัวอยู่ที่นี่ ในวันนั้นนางก้มศีรษะลง กล่าวคำกับเขาอย่างกระวนกระวาย “....ท่านต้องการคนช่วยซักผ้าเตรียมอาหาร จัดเตรียมที่นอนอีกสักคนไหม?”

ในหัวใจเต็มไปด้วยเรื่องราวต่างๆ ยามนี้ถ้อยคำเหล่านั้นได้สัมผัสหัวใจเขา

เขาหลับไหลอยู่ตลอดหนึ่งเดือน หมายความว่านางได้อาศัยอยู่ในตระกูลตลอดหนึ่งเดือนนั้น ทว่าการแต่งกายของนางในยามนี้ และคำหาของนางว่านายท่านกับนายหญิง.... คุณหนูตระกูลเยว่แห่งอาณาจักรต้าฟง กลับกลายเป็นสาวใช้ตระกูลเย่ด้วยความตั้งใจของตัวเอง

โง่เขลาและงมงาย เป็นความดื้อรั้นของนางที่ทำเช่นนี้ ด้วยความหวังอันเลือนราง ขอเพียงได้เห็นเขาอยู่ใกล้ๆ ให้เขาปราดตามองนางบ้างก็ยังดี

หวังเวิ่นชูไม่เคยเห็นเยว่ซือฉีมาก่อน ทว่าเย่หนู่และเย่เว่ยเคยเห็นนางและทราบสถานะของนางดี เพราะการปรากฎตัวขึ้นของนาง จึงทำให้เยว่หานตงยอมคุกเข่าในที่สุด เป็นจุดเริ่มต้นของการยึดครองอาณาจักรต้าฟง แม้นางบอบบางและมีสถานะสูงส่งเช่นนี้ แต่นางกลับปรารถนาเป็นสาวใช้ของตระกูลเย่ ไม่ว่าพวกเขาจะเกลี้ยกล่อมเพียงใด เยว่ซือฉีก็ยังคงยืนกราน....

แต่ไม่ว่าอย่างไร การปรากฎตัวฉับพลันของนางในวันนั้น และถ้อยคำเหล่านั้นที่นางกล่าว เขาย่อมไม่มีวันลืม เพราะนางได้แสดงให้เห็นถึงความจริงใจและหัวใจอันบริสุทธิ์ของหญิงสาว

“ท่าน.... ท่านฟื้นแล้ว....” เยว่ซือฉีตื่นเต้นและตื่นตระหนกอย่างอดไม่ได้ สองมือกุมไว้แน่นตรงอก กุมเสื้อผ้าของตัวเอง ฉับพลันนางไม่ทราบว่าสมควรวางมือไว้ตรงไหน

เย่หวูเฉินไม่ตอบนางทันที ทว่าจ้องมองนางอยู่อย่างนั้น นางก้มลงไม่กล้าเงยหน้าขึ้น หัวใจเต้นรัวเร็ว ทันใดนั้น เย่หวูเฉินหันไปกล่าวกับหวังเวิ่นชู “ท่านแม่ หลังจากที่ข้ากลับมาแล้ว ให้นางเป็นสาวใช้ส่วนตัวของข้าได้หรือเปล่า?”

หวังเวิ่นชูสีหน้าคลายออก จากนั้นพยักหน้าหนัก ยิ้มกล่าวอย่างทราบความหมาย “ได้อยู่แล้ว แม่เองก็คิดว่าจะให้นางเป็นสาวใช้ส่วนตัวของเจ้าอยู่พอดี”

ความดีใจเอ่อท้นขึ้น เยว่ซือฉีพลันโง่งมอยู่ตรงนั้น ไม่เพียงแค่ดีใจจนอยากยิ้ม แต่ยังตื่นเต้นจนแทบจะร้องไห้ จิตวิญญาณมัวเมา กระทั่งเย่หวูเฉินเดินผ่านออกมานางยังไม่รู้ตัว

ในที่สุด สวรรค์ก็ไม่ทอดทิ้งความพยายามที่ ‘กล้าหาญ’ ที่สุดในชีวิตของนาง สาวใช้.... ต่อให้เป็นได้เพียงสาวใช้ส่วนตัวไปจนชั่วชีวิต นางก็ล้วนพึงพอใจ ได้ซักผ้าเตรียมอาหารและจัดเตรียมที่นอนให้.... ได้อุ่นเตียงนอน แค่นี้ก็ดีเพียงใดแล้ว



<<<PREV    .    NEXT>>>