วันศุกร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 506

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 506 สามมุกเซียนยอมจำนน

“ผู้อาวุโส.... ผู้อาวุโส.... ได้โปรดช่วยน้องเย่ก่อน ท่านครองพลังดุจเทพจะต้องรักษาน้องเย่ได้ทันทีแน่” ต่อหน้าบาดแผลอันสาหัส กระทั่งพลังชีวิตยังแทบหมดสิ้น ฉู่จิงเทียนจำได้ว่าไม่มีเทพตนใดจากทวีปเทวะทำให้เย่หวูเฉินมีสภาพปานนี้ได้ เวลานี้ คนผู้เดียวที่สามารถรักษาเขาได้คือชายชุดดำ เขากระทั่งซ่อมแซมกระบี่ชางหมิงได้ในพริบตา บาดแผลเจียนตายเช่นนี้เขาย่อมรักษาได้ง่ายไม่ต่างกัน.... ฉู่จิงเทียนกระทั่งสงสัย ในโลกนี้ยังมีสิ่งใดที่ชายผู้นี้ไม่อาจทำได้

ชายชุดดำยังคงไม่เคลื่อนไหว กลับกันเขาถอนสายตาจากเย่หวูเฉิน ยื่นมือกางออกมา ผงสีฟ้ากองหนึ่งปรากฎในฝ่ามือ บนมือวาบแสงสีฟ้าอย่างฉับพลัน ต่อหน้าฉู่จิงเทียนและเล่งหยา กระบี่ยาวสีฟ้าครามได้ปรากฎในมือของเขา เขาโยนกระบี่เล่มนั้นให้ฉู่จิงเทียน “เจ้าชนะ ตามที่ตกลงกันไว้ นี่คือกระบี่ของเจ้า”

ฉู่จิงเทียนรับกระบี่มาอย่างโง่งม เขาไม่ทราบว่าบนหมวกของชายชุดดำมีรอยขาดเล็กๆอยู่ ไม่ทราบว่าพวกตนเป็นฝ่ายชนะ ทั้งไม่ทราบว่าชนะได้อย่างไร กระบี่ชางหมิงได้ถือกำเนิดขึ้นอีกครั้ง ความรู้สึกที่สัมผัสได้ล้วนเหมือนเดิมไม่มีผิด เขาเปลี่ยนผงในมือให้กลายเป็นกระบี่ชางหมิง นี่คือกระบี่เทพอันโด่งดังในทวีปเทียนเฉิน

“เจ้าไปได้” ชายชุดดำยกมือขวาขึ้นโบกในอากาศ

“อ๊ะ.... รอเดี๋ยว!”

ชายชุดดำไม่สนใจเสียงตะโกนของฉู่จิงเทียน ขณะที่โบกมือขวา เล่งหยาและฉู่จิงเทียนได้หายไปจากตรงนั้นพร้อมกัน ไร้ร่องรอยใดๆอีก ราวกับพวกเขาหายไปจากมิติแห่งนี้โดยตรง

บรรยากาศพลันกลายเป็นสงบเงียบ ชายชุดดำเคลื่อนสายตาลงเบื้องล่าง มองเย่หวูเฉินที่นอนอยู่บนแอ่งเลือดใหญ่ แววตาไร้อารมณ์พลันสั่นไหว ทว่าเขาระงับอารมณ์ได้อย่างสมบูรณ์ในฉับพลัน “เจ็บปวดถึงเพียงนี้.... เหตุใดเจ้าถึงไม่ยอมหมดสติ หากไร้สติ เจ้าย่อมไม่ต้องทนแบกรับความเจ็บปวดสาหัสนี้ ลิ้มรสความเจ็บชำแรกทั่วร่างกาย ต่อให้เป็นเจ้า ก็ย่อมไม่รู้สึกผ่อนคลายเท่าใดนัก”

เย่หวูเฉินยังคงยกยิ้ม รอยยิ้มนั้นมิได้บิดเบี้ยวเพราะความเจ็บปวด แต่กลับเป็นรอยยิ้มตามธรรมชาติ “ไม่จำเป็น.... ข้าผ่านความเจ็บปวดมามากมายนัก ไม่ว่าความเจ็บทางกาย หรือความเจ็บปวดทางใจ ล้วนแต่เหนือกว่าที่ท่านจินตนาการไว้มากนัก.... ความเจ็บนี้ข้าทนได้.... ข้าต้องได้เห็นกับตา ว่าท่านรักษาข้อตกลงและส่งข้าไปยังทวีปเทวะ!”

ชายชุดดำย่อร่างกายลง มองดวงตาเขาในระยะใกล้ เผยรอยยิ้มบาง “ช่างดื้อรั้นจนน่ากลัวจริงๆ เจ้าชนะแล้ว พลัง , สติปัญญา , ความยืนกราน.... เจ้าสละทุกอย่างเพื่อบรรลุภารกิจที่ไม่อาจเป็นไปได้ เจ้ารู้หรือไม่ ที่จริงแล้ว ข้าไม่คิดว่าเจ้ามีความสามารถพอทำลายชุดข้าของได้ และ....”


“และยิ่งกว่านั้น ท่านยังเตรียมปล่อยให้พวกเราเอาชนะได้ในช่วงเวลาสุดท้าย.... ใช่หรือไม่?” เย่หวูเฉินกล่าวคำต่อจากเขาช้าๆ

“.......” ชายชุดดำพูดไม่ออกทันที

“โอ้.... ไม่จำเป็น! ไม่ว่าท่านเป็นใคร ข้าล้วนไม่จำเป็นต้องอาศัยความเมตตาจากท่าน! ต่อให้ข้าต้องสิ้นชีวิต ข้าก็ต้องใช้สองมือของตัวเอง.... นำสมบัติล้ำค่าที่สุดของข้ากลับคืนมา”

ชายชุดดำพลันยกยิ้มอย่างอ่อนโยน “เจ้าและข้า ช่างเหมือนกันนัก.... ทรนงไม่สนฟ้าดิน ยอมตายเพื่อรักษาเกรียรติภูมิไว้.... ช่างเหมือนกันจริงๆ....”

“เจ้าชนะแล้ว ข้าจะส่งเจ้าไปยังทวีปเทวะ หลับตาลงเสียแล้วพักผ่อน เมื่อเจ้าตื่นขึ้นมา เจ้าจะอยู่ในสถานที่ที่ตัวเองปรารถนา....” ชายชุดดำใช้น้ำเสียงที่เปลี่ยนไป ไม่แหบพร่าเหมือนตอนแรก ทว่าอ่อนโยนยิ่งดุจสายลม เป็นเสียงเฉพาะตัวของชายหนุ่มอันสมบูรณ์แบบ ทั้งยังแฝงด้วยพลังเวทย์อันลึกลับ.... กล่อมวิญญาณผู้คนให้หลับไหล

จิตวิญญาณอันแกร่งกล้าของเย่หวูเฉินค่อยๆผ่อนคลายด้วยการชี้นำของน้ำเสียง ดวงตาของเขาปิดลงในที่สุด ห้วงสติจมจ่อมสู่ความมืดมิดอันสงบ ก่อนที่ดวงตาจะปิดสนิทลง ราวกับเขามองเห็นสีขาวเงินตรงรอยขาดเล็กๆบนหมวกของชายชุดดำ

ยิ่งกว่านั้น นี่สมควรเป็นเสียงของคนแปลกหน้า.... ทว่าเหตุใดถึงได้คุ้นเคยนัก

เย่หวูเฉินไม่ส่งเสียงอีก ลมหายใจอ่อนแอจนแทบไม่อาจสัมผัส ชายชุดดำเงยหน้าขึ้นและถอนหายใจยาว ริมฝีปากขยับเล็กน้อย กล่าวคำบางอย่างๆอ่อนโยน ท้องฟ้ากระจ่าง บนพื้นมีรอยแตก อากาศยังคงปั่นป่วนด้วยพลัง หนึ่งคนในชุดดำ อีกคนในร่างโชกเลือด กับอีกหนึ่งเต่าดำที่ย่อร่างลงเล็กที่สุดและนอนแผ่อยู่ไกลๆ นอกจากสิ่งเหล่านี้แล้ว บรรยากาศที่นี่ไม่มีสิ่งใดอีก ไม่มีสิ่งใดสามารถรบกวนพวกเขาได้

ชายชุดดำยกมือขึ้นสู่ศีรษะ ดึงหมวกออกและโยนทิ้งไปไกล สีขาวสะท้อนออกมาทันที.... เป็นผมขาว แต่ไม่ได้ขาวเหมือนเส้มผมของหนิงเสวี่ย มันสะท้อนแสงผสานกับสีเงิน เส้นผมชนิดนี้ไม่ว่าใครได้เห็นย่อมนึกถึงคนชรา ทว่าใต้ผมสีขาว กลับกลายเป็นใบหน้าเยาว์วัยไม่ต่างจากเย่หวูเฉิน

ดวงตาคมกล้าประดุจเหยี่ยว คิ้วคมชี้ขึ้นดุจกระบี่ โครงหน้าสมบูรณ์แบบดุจรูปสลักยุคโรมโบราณ บุรุษผู้มีพลังใกล้เคียงกับสัตว์ประหลาด กลับมีใบหน้าของชนชั้นสูงที่ไม่อาจอธิบายด้วยคำว่า ‘เด่นล้ำ’ เป็นใบหน้าของผู้เป็นหนึ่งในโลกหล้า เป็นหนึ่งเหนือทั้งหมด อยู่จุดสูงสุดเหนือสิ่งอื่นใด

ดวงตาเคลื่อนลงต่ำ เขายื่นแขนออกวางลงบนอกของเย่หวูเฉิน แสงจางสว่างออกเล็กน้อย วินาทีแรก แผลน้อยใหญ่ทั่วร่างของเย่หวูเฉินถูกรักษาจนสมบูรณ์ วินาทีถัดมา รอยเลือดบนร่างและบนพื้นถูกขจัดหายไปสิ้น ไม่เหลือร่องรอยทิ้งไว้แม้แต่น้อย เสื้อผ้าที่ขาดวิ่นกลับมาสมบูรณ์ไร้รอยเสียหายใดๆ

ชายชุดดำถอนมือกลับ มองยังบาดแผลที่ถูกรักษา เย่หวูเฉินกำลังหมดสติ แววตาที่มองเขาบางครั้งอ่อนโยน บางครั้งเจ็บปวด บางครั้งยินดี บางครั้งเผยรอยยิ้มบางๆ เป็นเวลาเนิ่นนาน ในที่สุดเขาก็เปิดปากกล่าวคำ “ลำบากเจ้าเหลือเกิน.... เทียบกับข้าแล้ว เจ้ามีพรสวรรค์สูงส่งกว่าข้ามากนัก แต่เจ้ากลับถูกชะตาทอดทิ้ง ชีวิตต้องประสบความลำบากสาหัส ตั้งแต่เกิดมา เจ้าต้องแบกรับความเจ็บปวดเหนือคนธรรมดา เป็นความเจ็บปวดที่เติบโตขึ้นพร้อมกับเจ้าไม่เคยหายไปไหน เจ็บปวดเพียงใดมีแต่เจ้าเท่านั้นที่รู้ อย่างน้อย เจ้าเจ็บปวดในตอนนี้ล้วนไม่อาจเทียบกับแต่ก่อน.... หลังจากที่เจ้าหมดสตินับสิบปี สูญสิ้นทุกสิ่งที่ห่วงใย มาถึงยังโลกแปลกหน้า แม้เจ้ามีสติปัญญาล้ำเลิศ มีพรสวรรค์อันสูงส่ง แต่ศัตรูของเจ้ามักแกร่งกล้าอยู่เสมอ เจ้าต้องเผชิญความยากลำบากเหมือนแต่ก่อน.... เพราะมันคือชะตาชีวิตของเจ้า”

ชายชุดดำกล่าวถ้อยคำปริศนาอย่างอ่อนโยน เขาทราบว่าเย่หวูเฉินหมดสติและไม่อาจได้ยินเสียงของเขา แต่เขาเพียงต้องการกล่าวถ้อยคำเหล่านี้ออกมา เพราะเขาเก็บคำพูดพวกนี้ไว้ในใจมานานแล้ว

“เพื่อความปลอดภัยของเจ้า ข้าจึงส่งร่างเงามาที่นี่เพียงชั่วเวลาสั้นๆ ข้าไม่อาจใช้พลังนี้ได้บ่อยนัก ไม่อย่างนั้น มันจะทำร้ายเจ้าแทน ฉะนั้น ข้าจึงถูกกำหนดให้ไม่อาจช่วยเจ้าได้ ทำได้เพียงมองเจ้าจากที่ห่างไกล นี่คือความล้มเหลวที่สุดในชีวิตข้า เพื่อสาวน้อยสองคนนั้น เจ้าถึงกับพร้อมยอมสละชีวิต.... บางที อาจเป็นเพราะพวกเรามีรากเหง้าเดียวกัน ทวีปเทวะมีพลังแกร่งกล้าเกินจินตนาการของเจ้ามากนัก ต่อให้เจ้าร้อยคนก็ไม่มีหวังรอดกลับมาได้ โชคยังดี.... ที่ข้าเลือกมาที่นี่ในเวลานี้ นี่อาจเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดในชีวิตข้า เพราะครั้งต่อไปที่ข้าสามารถมาที่นี่ได้ คืออีกสามปีให้หลัง บางทีข้าอาจมาในร่างเงา บางทีอาจมาในร่างจริง.... และข้าหวังให้เป็นอย่างหลัง”

ชายชุดดำในยามนี้มิได้มีท่าทีทรนงและก้าวร้าวเหมือนตอนแรก ไม่ว่าจะเป็นสีหน้าหรือน้ำเสียง ล้วนแต่อ่อนโยนอย่างยิ่ง

“พลังโกลาหลขั้นห้า.... ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ สามารถบรรลุถึงขั้นนี้ได้นับว่ารวดเร็วยิ่ง ทว่าเจ้าก้าวเดินไปผิดทาง สิ่งที่ต้องใช้ในการทะลวงผ่านพลังโกลาหล คือจิตปราณอันบริสุทธิ์แห่งสวรรค์และปฐพี แต่เจ้าบรรลุพลังโกลาหลด้วยจิตปราณเดียวเป็นพื้นฐาน.... จากขั้นสองสู่ขั้นสามเจ้าอาศัยพลังอัคคี จากขั้นสามไปขั้นสี่เจ้าอาศัยพลังวายุ จากขั้นสี่ไปขั้นห้าเจ้าอาศัยพลังวารี.... พลังโกลาหลที่เพิ่มขึ้นจากจิตปราณเดี่ยวไหนเลยจะเทียบเคียงกับจิตปราณบริสุทธ์แห่งสวรรค์และปฐพีได้ ดังนั้น แม้พลังโกลาหลของเจ้าจะบรรลุถึงขั้นที่ห้า แต่มันกลับอ่อนด้อยกว่าพลังโกลาหลแท้จริงขั้นที่สี่ ไม่อย่างนั้น เพียงเย่หมิงกระจอกงอกง่อยนั่นไหนเลยจะเป็นคู่มือเจ้า”

ชายชุดดำคว้ามือกลางอากาศ มุกเซียนสามเม็ดต่างสีสันลอยออกจากร่างของเย่หวูเฉิน เม็ดหนึ่งเปล่งสีแดงแผดร้อน เม็ดหนึ่งเปล่งแสงสีเขียวเงียบงัน อีกเม็ดห่อหุ้มด้วยแสงน้ำตาล ชายชุดดำคว้ามุกเซียนทั้งสามไว้และกระซิบเสียงเบา “มุกเซียนโกลาหล.... มีคำว่า ‘โกลาหล’ ในชื่อได้ สมควรแล้วที่มีพลังแกร่งกล้า ในเมื่อนี่คือพลังธาตุที่แข็งแกร่งที่สุดในห้วงมิติแห่งนี้ เช่นนั้น มันย่อมสมควรเป็นของเจ้า....”

มุกมังกรอัคคี , มุกสลายวายุ และมุกเรืองปฐพี.... ชายชุดดำกำมุกเซียนโกลาหลทั้งสามเม็ดไว้ในมือแน่น แววตากลายเป็นเย็นเยียบและแกร่งกร้าว เขากล่าวคำเสียงต่ำ “ในเมื่อพลังของเขาในยามนี้ ไม่เพียงพอทำให้พวกเจ้ายอมรับ.... เช่นนั้น ข้าขอสั่งให้พวกเจ้า จงละทิ้งการดำรงอยู่ ยอมจำนนให้กับเขา! มอบพลังทั้งหมด กลายเป็นแก่นพลังให้กับเขา!!”

เขาเคลื่อนมือลง กดมุกเซียนโกลาหลทั้งสามเม็ดลงบนอกของเย่หวูเฉิน สีแดง , สีเขียว และสีน้ำตาล พวยพุ่งรัศมีขึ้นสู่ฟ้า ราวกับทะลวงสู่ทรวงสวรรค์

บนท้องฟ้าห่างไกล มีแสงสีแดง , สีเขียว และสีน้ำตาลส่องสะท้อน ทั่วยอดหอคอยผ่านเทพปกคลุมด้วยแสงสามสี เข้มข้นจนไม่อาจมองตรง จุดศูนย์กลางความเข้มข้นคือที่ร่างของเย่หวูเฉิน เวลานี้ ร่างของเขาอัดแน่นด้วยพลังอัคคี , วายุ , และปฐพีอันบ้าคลั่งจนแทบถึงขีดจำกัด

ท่ามกลางแสงสว่างอันเข้มข้น ชายชุดดำจับจ้องที่ร่างของเย่หวูเฉิน เขามิได้ขยับร่างกายใดๆ บนหน้าผากผุดเหงื่อเย็นออกมาช้าๆ เขาระงับธาตุอัคคีไว้ทั้งหมด ร่างเงาของเขาบรรจุพลังเพียงหนึ่งในพันของร่างจริง หากเขาใช้ร่างจริงได้ อย่าว่าแต่สามเม็ดเลย ต่อให้สั่งมุกเซียนโกลาหลทุกเม็ดพร้อมกันก็ล้วนง่ายดายเพียงใช้ความคิด ทว่าตอนนี้ เขาต้องเค้นพลังสูงสุดเพื่อบังคับมุกเซียนให้ยอมจำนน

สีแดงคือสีแห่งธาตุไฟ มุกมังกรอัคคีค่อยๆจมเข้าไปในร่างของเย่หวูเฉิน มอบพลังอัคคีไร้สิ้นสุดของมันให้กับเขา ถัดจากนั้น แสงสีเขียวของมุกสลายวายุค่อยๆจางลง ธาตุวายุหนาแน่นจมสู่ร่างของเย่หวูเฉิน กลายเป็นแก่นพลังวายุไร้สิ้นสุด สุดท้าย แสงน้ำตาลที่เข้มข้นมากที่สุดได้ซึมแทรกสู่ร่างของเย่หวูเฉิน มอบพลังปฐพีอันแกร่งกล้าไม่มีวันเหือดแห้ง ไม่มีวันหมดสิ้นให้กับเขา



<<<PREV    .    NEXT>>>