วันอาทิตย์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 493

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 493 ตามรอยเล่งหยา

บางเรื่องถูกลิขิตให้ไม่อาจหลีกเลี่ยง มิฉะนั้นต่อให้ยังใช้ชีวิตอยู่ต่อ คนย่อมไม่อาจสงบใจทั้งชีวิต

ที่นี่คือผาดาวตก สถานที่ที่เขาเคยยิงหนึ่งศรทะลายฟ้า เบื้องล่างเป็นทะเลสาบดาวตกที่ก่อระลอกคลื่นเล็กๆ เขายืนนิ่งงันตรงขอบผา ฟังเสียงคลื่นกระทบอย่างสงบ เย่หวูเฉินมองไปยังใจกลางทะเลสาบดาวตก หอคอยผ่านเทพตั้งตระหง่านไม่อาจเห็นยอดปลาย เขาจมจ่อมอยู่ในความคิดเป็นเวลาเนิ่นนาน

จากตำนานที่กล่าวไว้ นี่คือเส้นทางเดียวที่สามารถเดินทางจากทวีปเทียนเฉินไปยังทวีปเทวะ ตราบใดที่สามารถขึ้นไปถึงยอดหอคอยและเอาชนะคนที่อยู่บนนั้นได้ ตราบนั้นก็สามารถเข้าไปยังทวีปเทวะ

เขาต้องไป.... ต้องไปเท่านั้น!

ทว่านี่ราวกับเอาชีวิตไปทิ้ง.... เขาอาจไม่สนใจชีวิตของตัวเอง แต่ถ้าหากเขาตาย ภรรยาของเขาฮั่วฉุ่ยโหรวและหลงฮวงเอ๋อร์จะต้องเสียใจทั้งชีวิต เสี่ยวโม่จะกลับไปต่อต้านผู้คนกลายเป็นสตรีปีศาจอีกครั้ง พี่หญิงจะตรอมตรมทั้งชีวิต.... นอกจากนั้น สำนักมาร , สำนักจักรพรรดิใต้ และสำนักจักรพรรดิเหนือยังยึดถือเขาเป็นจุดศูนย์กลาง หากเขาเป็นอะไรไป คนเหล่านั้นย่อมค่อยๆแตกแยก แบบแผนของโลกย่อมเปลี่ยนไปอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง

ตอนนี้ ชีวิตของเขาไม่ใช่เพียงของเขา แต่ยังเกี่ยวพันถึงหลายสิ่ง ทว่าท่ามกลางเรื่องเหล่านี้ เขายังคงเลือกเดินบนเส้นทางที่เสี่ยงความเป็นตาย.... โดยไร้ซึ่งความลังเล

เสวี่ยเอ๋อร์ ทงซิน รอข้าก่อน

ดวงตาปิดลง เขาหายไปจากผาดาวตก แม้ตัดสินใจไปยังทวีปเทวะ แต่ไม่ได้หมายถึงเขาจะปีนขึ้นสู่หอคอยผ่านเทพในทันที ก่อนที่จะถึงเวลานั้น เขาต้องทำตัวเองให้มีพลังเพียงพอ และคู่ควรพอที่จะพาหนิงเสวี่ยและทงซินกลับมา

เขาไม่ได้กลับไปที่ตระกูลเย่ แต่ไปยังทะเลทรายไร้ขอบเขตทางทิศตะวันตกของทวีปเทียนเฉิน ลอยตัวอยู่บนฟ้า ตะโกนชื่อ ‘เต่าดำ’ สามครั้ง ทว่ามันยังคงเงียบงันไม่ตอบกลับเหมือนเช่นเดือนก่อน เย่หวูเฉินรอคอยเงียบงันเป็นเวลานาน สุดท้ายจึงจากไป

ไม่ว่าเขาจะทุ่มเทเพียงใด หลังหวูเฉินก็ยังคงติดค้างที่คอขวดของขั้นห้า ยากมากที่จะก้าวหน้าแม้เล็กน้อย ที่ผ่านมาเขาได้พยายามหลายครั้ง.... วันนั้นยังได้เผาผลาญพลังชีวิตเพื่อดูดกลืนพลังอย่างบ้าคลั่ง หวังให้เกิดปาฏิหาริย์ต่อพลังหวูเฉิน ทว่ามันยังคงติดอยู่ที่ขั้นห้าเหมือนดังเดิม

จุดเปลี่ยน! จะต้องมีจุดเปลี่ยนบางอย่าง หรือเงื่อนไขพิเศษสักอย่างหนึ่ง.... แต่ว่ามันคืออะไร?

เมื่อกลับมาถึงตระกูลเย่ ท้องฟ้าก็เริ่มมืดแล้ว หลังจากยืนอยู่อย่างเงียบงันในยามค่ำ เขาได้กลับสู่ห้องของตัวเอง นานแล้วที่ไม่ได้เข้านอนตั้งแต่หัวค่ำ

นี่คือห้องของตัวเอง เป็นเตียงที่คุ้นเคย ทว่าหลายสิ่งที่คุ้นเคยและอบอุ่นได้หายไป ครั้งหนึ่งสาวน้อยสามคนได้พักพิงอยู่ข้างกายเขาในท่วงท่าต่างๆ ทว่าตอนนี้ ในอ้อมแขนของเขาเหลือเพียงเสี่ยวโม่ นางขดตัวเป็นก้อนกลมซุกอยู่ข้างๆ คืนนี้ มีเพียงนางที่อยู่ข้างกายเขา

“ท่านพ่อ ข้าจะไม่มีวันไปจากท่าน.... ต่อให้วันหนึ่ง พวกเขามาพาข้ากลับไป ข้าก็จะไม่ไปจากท่านพ่อ ไม่ไปเด็ดขาด....”

เสียงแผ่วเบาราวกับละเมอกล่าว นางจับร่างของเขาไว้ แผ่ความอบอุ่นให้ตัวเขา ใช้เสียงและหัวใจของตนเองปลอบประโลม ในอดีตก่อนที่นางจะมายังทวีปเทียนเฉิน นางไม่เคยคิดเลยว่าคนผู้หนึ่งจะทำให้นางงมงายได้เพียงนี้ บางครั้งนางไร้เดียงสา บางครั้งนางสุขุม บางครั้งแย้มยิ้ม บางครั้งเงียบงัน แต่ไม่ว่านางจะเปลี่ยนไปอย่างไร ความรู้สึกต่อเย่หวูเฉินนั้นยากยิ่งที่จะเปลี่ยนแปลง หรืออาจไม่มีวันเปลี่ยนแปลงได้อีก

เย่หวูเฉินลืมตาขึ้น มองเสี่ยวโม่ในอ้อมแขนอย่างเงียบงัน นี่คือสตรีปีศาจที่มาจากอีกโลกหนึ่ง เขาค่อยๆกระชับแขนกอดนางไว้แน่นขึ้น หากเผ่าพันธุ์ปีศาจมายังทวีปเทียนเฉินและพาเสี่ยวโม่กลับไปอีกคน เขาคงไม่อาจอดทนต่อแรงกระทบเช่นนี้ได้อีก

เวลาล่วงเข้าสู่เที่ยงคืน แสงจันทร์ขาวกระจ่างฉายฉาบที่นอกหน้าต่าง เหนืออากาศเบื้องบนเป็นพระจันทร์เต็มดวง ดารามากมายทอแสงขับสู้

พระจันทร์เต็มดวง คืนอันเงียบสงบ ทว่ากลับถูกทำลายลงด้วยเหตุบางประการ

ณ เวลาเที่ยงคืน เย่หวูเฉินและเสี่ยวโม่ลืมตาขึ้นพร้อมกันฉับพลัน ทั้งสองมองหน้ากันแล้วหันไปทางทิศตะวันออก

“ท่านพ่อ ท่านรู้สึกรึเปล่า?” เสี่ยวโม่มองไปทางทิศตะวันออกและเอ่ยถาม นี่คือกลิ่นอายปีศาจ ยิ่งกว่านั้น ยังเป็นกลิ่นอายปีศาจที่บ้าคลั่ง บนผืนทวีปเทียนเฉินแห่งนี้ ไม่มีผู้ใดไวต่อกลิ่นอายปีศาจยิ่งกว่านาง ไม่ต้องกล่าวถึงกลิ่นอายที่อยู่ใกล้ถึงเพียงนี้

“อืม! เป็นเล่งหยา.... ในที่สุดเขาก็ปรากฎตัว” เย่หวูเฉินมุ่นคิ้วกล่าว นับเป็นความผิดพลาดของเขาที่ปล่อยให้เล่งหยากลายเป็นปีศาจคลั่ง กลิ่นอายนี้ไม่ได้เคลื่อนจากที่ไกลเข้ามาใกล้ แต่เป็นปรากฎขึ้นมาอย่างฉับพลัน ราวกับโผล่ออกมาจากอากาศว่าง ปลุกเสี่ยวโม่และเย่หวูเฉินให้ตื่นขึ้นพร้อมกัน นี่คือกลิ่นอายปีศาจที่เคยหายไปฉับพลันเหมือนตอนนั้น เย่หวูเฉินใช้ขุมกำลังขนาดใหญ่เสาะหาตลอดหกเดือนยังไม่อาจพบร่องรอย

เย่หวูเฉินแต่งกายอย่างรวดเร็ว ในเมื่อเล่งหยาปรากฎตัวขึ้น เขาย่อมไม่ปล่อยให้เล่งหยาหายไปอีกครั้ง เขาต้องหาสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงของเล่งหยา ไม่อย่างนั้น เล่งหยาอาจกลายเป็นหายนะครั้งใหม่ที่พร้อมปะทุขึ้นทุกเวลา เสี่ยวโม่รีบแต่งกายเช่นเดียวกัน จากนั้นจับแขนของเย่หวูเฉิน “ท่านพ่อ พาข้าไปด้วยเถอะ”

“อื้ม!” เย่หวูเฉินรับคำคราหนึ่ง กอดเสี่ยวโม่ไว้และพุ่งออกจากหน้าต่าง เตรียมบินทะยานไปทางทิศตะวันออก เย่หวูเฉินบินเร็วกว่าเสี่ยวโม่มากนัก ทว่าฉับพลันนั้น มีร่างสูงใหญ่แล่นลงมาที่กลางสวนตระกูลเย่ พบกับเย่หวูเฉินเข้าในเวลาเดียวกัน

“น้องเย่?”

“พี่ใหญ่ฉู่ ไปกันเถอะ” เย่หวูเฉินพุ่งไปทางเขา พยักหน้าและไม่กล่าวคำอีก สองบุรุษบินไปยังต้นกำเนิดกลิ่นอายปีศาจ หลังจากที่พวกเขาออกไป หลายเงาร่างได้ปรากฎตัวออกมาจากความมืด ร่างชราผู้หนึ่งกล่าว “ในเมื่อนายท่านไปด้วยตัวเอง พวกเราก็ไม่ต้องกังวลสิ่งใดอีก กลับไปพักผ่อนได้”

ลมราตรีไม่ได้หนาวจัดมากนัก ใต้แสงจันทร์อันกระจ่างทำให้ภาพไม่ได้มัวสลัว ทิศทางที่กลิ่นอายของเล่งหยาแผ่ออกมาอยู่ไม่ไกลจากพวกเขาเท่าใด ไม่ทราบว่าเขาจงใจแผ่กลิ่นอายให้รู้ตัว หรือเป็นเพราะไม่อาจควบคุมตัวเองและตกอยู่ในสภาพบ้าคลั่งเหมือนวันนั้น

เย่หวูเฉินเกือบใช้ความเร็วสูงสุดในการบิน ทว่าฉู่จิงเทียนกลับไล่ตามมาติดๆไม่มีทีท่าว่าจะถูกทิ้งห่าง ยิ่งกว่านั้น จากความทรงจำเขาต้องใช้กระบี่ชางหมิง แต่ตอนนี้ที่ใต้เท้าของเขาไม่มีสิ่งใดคล้ายกระบี่แม้แต่น้อย

“พี่ใหญ่ฉู่ ท่านเรียนรู้วิธีบินตั้งแต่เมื่อไหร่?” เย่หวูเฉินมองไปเบื้องหน้าและเอ่ยถาม

“....เรื่องวิธีบิน ข้าเพียงบินได้อย่างฝืดฝืนเท่านั้น แต่หากเป็น ‘แสงกระบี่ไร้เงา’ ข้าสามารถใช้มันบินได้เร็วกว่า” ฉู่จิงเทียนกล่าวตอบ

“โอ้?” เย่หวูเฉินหันศีรษะมองร่างของฉู่จิงเทียน ถามอย่างสงสัย “แสงกระบี่ไร้เงาต้องอาศัยกระบี่เป็นสื่อกลางในการใช้ออก.... ท่านสามารถใช้เคล็ดเทพกระบี่ออกได้โดยไม่ต้องใช้กระบี่จริงๆแล้วอย่างนั้นหรือ?”

ฉู่จิงเทียนยิ้มบาง อธิบายอย่างสงบ “ตอนนั้น ข้าจากไปเพื่อตามหาเล่งหยา ยามที่ข้าอยู่เพียงตัวลำพัง ข้ามักนึกถึงคำพูดของเจ้าอยู่เสมอ แต่ละวันความคิดของข้าเริ่มตอบสนองต่อมัน ยิ่งข้าคิดยิ่งสัมผัสได้ มีบางอย่างก่อร่างขึ้นในใจของข้าอย่างเป็นธรรมชาติ เป็นบางสิ่งที่ลึกลับถึงที่สุด ราวกับว่ามีอยู่และไม่มีในเวลาเดียวกัน ยามที่ข้าพิจารณามันอย่างตั้งใจ ข้ากลับไม่อาจมองเห็นมันได้ชัด ทว่ายามที่ข้าไม่ได้ตั้งใจคิด ข้ากลับสามารถรู้สึกถึงมันได้อย่างชัดเจน.... จากนั้น ข้าจึงนึกถึงถ้อยคำของท่านปู่ บางทีนี่อาจเป็นทักษะพิเศษเฉพาะตัวของข้า มันค่อยๆตื่นขึ้นภายใต้สัมผัสการรับรู้ หรือบางที ข้าอาจตระหนักถึงมันนานแล้วแต่ไม่ได้สนใจ แต่มันค่อยๆสะสมอยู่ในใจข้า”

เย่หวูเฉิน “......”

“เจ้าเคยบอกว่ากระบี่อาจมีตัวตน หรืออาจไม่มีตัวตนก็ได้ ดอกไม้และใบหญ้าอาจใช้แทนกระบี่ เส้นผมอาจใช้ต่างกระบี่ กระทั่งอากาศหรือหยดน้ำอาจใช้แทนกระบี่ได้ เมื่อถึงจุดหนึ่ง กระทั่งเจตจำนงค์อาจใช้แทนกระบี่ได้ สรรพสิ่งในโลกหล้าสามารถใช้แทนกระบี่ จำเป็นด้วยหรือที่ต้องใช้เคล็ดเทพกระบี่กับกระบี่ที่มีตัวตน ในที่สุด ข้าก็พลันตระหนักได้ ชั่วข้ามคืนได้บรรลุคอขวดของเคล็ดกระบี่ไร้ตัวตน ไร้กระบี่ผันแปรเป็นกระบี่ จากมีกระบี่แปรเปลี่ยนเป็นกระบี่ไร้ตัวตน นี่คือวิถีกระบี่ที่ท่านปู่ไม่เคยสอนข้า บางที ข้าอาจเป็นคนแรกที่เรียนรู้วิถีกระบี่นี้.... น้องเย่ ทั้งหมดนี้เป็นเพราะคำชี้แนะของเจ้า” ฉู่จิงเทียนถอนใจกล่าว เขารู้สึกขอบคุณ ทว่าเสียงแผ่วเบาของเขาไม่ได้แฝงความยินดีใดๆ จิตใจของเขาสงบนิ่ง ไม่ทราบว่ายากเพียงใดหากจะทำให้กระเพื่อมรุนแรง

เย่หวูเฉินเงียบงัน แต่ภายในใจไม่อาจอดห้ามความตกตะลึง หกเดือน.... ใช้เวลาเพียงหกเดือนเท่านั้น เขาเข้าใจในวิถีกระบี่ที่ตลอดชั่วรุ่นไม่เคยมีเคยมีใครบรรลุถึง พรสวรรค์ของเขาเข้าขั้นมหัศจรรย์ วิถีกระบี่ที่เขาค้นพบไม่ใช่ ‘ไร้กระบี่’ อย่างที่ฉู่ชางหมิงเคยคิดไว้ อีกทั้งยังไม่ใช่ ‘กระบี่ที่หัวใจ’ อย่างที่เขาเคยกล่าว แต่นี่คือวิธีกระบี่อีกแบบหนึ่งที่เขาไม่เคยได้ยิน และมันเป็นของฉู่จิงเทียนเท่านั้น

“พี่ใหญ่ฉู่ ท่านตั้งชื่อให้กับวิถีกระบี่ที่ท่านค้นพบแล้วหรือยัง?” เย่หวูเฉินถาม

“....ยัง สำหรับข้าแล้ว ชื่อของมันไม่สำคัญ” ฉู่จิงเทียนสั่นศีรษะ

“ทุกสรรพสิ่งในโลกหล้าสามารถใช้ต่างกระบี่ แม้ข้าไม่รู้ว่าขอบเขตของมันจะลึกล้ำเพียงใด แต่จากพลังของพี่ใหญ่ฉู่ที่พุ่งทะยานขึ้นในเวลาเพียงครึ่งปี ล้วนเป็นข้อพิสูจน์ถึงพลังอันยิ่งใหญ่ของมัน เช่นนั้น ควรให้มันมีชื่อว่า ‘กระบี่ฟ้า’ สองคำนี้!” เย่หวูเฉินกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“กระบี่ฟ้า.... วิถีกระบี่แห่งสวรรค์.... ได้! มันถือกำเนิดขึ้นเพราะการชี้แนะของเจ้า และชื่อที่เจ้าตั้งให้ยังเหมาะสมกับมัน แม้ข้ายังเพิ่งเข้าใจแค่ขั้นต้น แต่ข้าเชื่อว่าพลังของมันจะไม่พ่ายแพ้ให้กับวิถีกระบี่ใด” ฉู่จิงเทียนพยักหน้าหนัก สายตามองตรงไปเบื้องหน้า พวกเขาเข้าใกล้เล่งหยาขึ้นเรื่อยๆ

เย่หวูเฉินยิ้มและพยักหน้าตอบ “ข้าก็เชื่อเช่นนั้น”

ในเวลาเพียงครึ่งปี คนผู้หนึ่งที่เคยมีพลังขอบเขตสวรรค์ชั้นกลางกลับแกร่งกล้าขึ้นได้ถึงเพียงนี้ ไม่ว่าจะเป็นวิถีกระบี่แบบใด แม้เขาไม่เคยเห็นฉู่จิงเทียนใช้ออกหลังจากที่กลับมา แต่เขามักลอบตะลึงจากกลิ่นอายแกร่งกร้าวของฉู่จิงเทียนไม่รู้กี่ครั้ง ไร้พลังช่วยเหลือจากภายนอกใดๆ เขากลับบรรลุพลังน่าสะพรึงถึงปานนี้ เย่หวูเฉินไม่อาจหาใครได้อีกเป็นคนที่สอง

ที่แห่งนี้คือทิศตะวันออกของป่าดำ เนื่องจากบรรยากาศอันวังเวงของมัน สถานที่นี้จึงถูกทิ้งรกร้าง พื้นที่บริเวณนี้ขรุขระเต็มไปด้วยหญ้าแห้ง บรรยากาศในกลางคืนน่ากลัวมาก จากท้องฟ้าเบื้องบน ใต้เงาสะท้อนของแสงจันทร์ พวกเขามองเห็นหมอกทมิฬพวยพุ่งขึ้นมาจากสนามหญ้าแห้ง มีคนผู้หนึ่งขดคู้อยู่บนพื้นหญ้าถูกปกคลุมด้วยแสงทมิฬ

“เล่งหยา!”

เมื่อเห็นกลุ่มหมอกดำนั้น หัวใจของฉู่จิงเทียนพลันเกิดคลื่นกระเพื่อม เขาตะโกนคำออกไป และลอยร่างลงใกล้ๆเล่งหยา



<<<PREV    .    NEXT>>>