วันพฤหัสบดีที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 514

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 514 กระบี่สังหารซากสวรรค์

ฉิงเทียนมุ่นคิ้วด้วยความเดือดดาล หัวใจเต็มเปี่ยมด้วยความทรนงและสงสัย การเผยความอ่อนแอคือจุดด่างพร้อยอันใหญ่หลวง เงากระบี่บีบให้มันต้องหลบหลีก ทว่าต่อให้หลบได้มันก็ไม่คิดหลีกเลี่ยง จุดเด่นของมันไม่ใช่พลังโจมตีหากเป็นพลังป้องกัน! ร่างแกร่งกล้าผสานพลังปฐพีกลายเป็นพลังป้องกันอันเฉพาะ เมื่อเงากระบี่เคลื่อนมาถึง แสงเหลืองได้ปรากฎขึ้นบนผิวหนัง แผ่ออกมาเป็นวงล้อม

ซู่ว! ซู่ว! ซู่ว! ซู่ว....

เงากระบี่นับสิบๆเล่ม แทงสู่ร่างของฉิงเทียน การโจมตีประเภทนี้ย่อมหายไปเมื่อส่งพลังทำลายถึงเป้าหมาย หรือแตกสลายหากถูกกันไว้ด้วยพลังแกร่งกล้า.... ทว่าเป็นเรื่องประหลาด เงากระบี่หลังจากไม่อาจแทงทะลวงสู่ร่าง ไม่เพียงมันไม่หายไปเท่านั้น ตรงกันข้ามมันบินติดตามประชิดร่างของฉิงเทียนไว้....

ซี่....

เงากระบี่สีครามเฉือนถูกร่าง ความเร็วยิ่งมายิ่งมากขึ้น ยิ่งมายิ่งเฉือนเข้าลึก ในที่สุด มันเริ่มรับรู้ถึงความเจ็บปวด

พลังของมนุษย์ต่ำต้อย กลับทำให้มันรู้สึกเจ็บได้

“ฮ่าห์!!”

แสงเหลืองกลุ่มหนึ่งระเบิดออกจากร่างของฉิงเทียนดุจเพลิงพุ่ง ก่อนสลายไปอย่างฉับพลัน บนร่างของฉิงเทียนพลันปรากฎวัตถุแห่งธาตุปฐพี เป็นเกราะประหลาดที่ดูล้ำลึกยิ่งกว่าเกราะทั่วไป มันคลุมทับเกราะเดิมที่สวมอยู่ ห่อหุ้มตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า เว้นไว้เฉพาะใบหน้า ทำให้ร่างของมันยิ่งดูหนักมากขึ้น.... นี่ไม่ใช่เพียงการเสริมเกราะธรรมดา แสงปฐพีที่สะท้อนออกมานั้น บ่งบอกว่าเกราะนี้ไม่ธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง

“เฮ้ เพียงแค่เริ่ม กลับบีบคั้นให้ฉิงเทียนต้องใช้เกราะเทพพิสุทธิ์ได้” ฝาเทียนแตะจมูกและยิ้มแปลกแปร่ง

“ดูท่า การโจมตีของเจ้าหนุ่มนี่จะเกินธรรมดาไปไกลลิบ ด้วยอุปนิสัยของฉิงเทียน มันย่อมไม่นำเกราะเทพพิสุทธิ์ออกมาเล่นตามอำเภอใจ”

“เจ้าว่าฉิงเทียนมีโอกาสพ่ายแพ้ให้เจ้าหนุ่มนี่หรือไม่?”

“ฮี่ ฮี่ แม้ข้าอยากเห็นเช่นกัน แต่หากฉิงเทียนเอาชนะเจ้าหนุ่มนี่ไม่ได้ มันก็ไม่ใช่ฉิงเทียนแล้ว”

เกราะเทพพิสุทธิ์ถูกเพิ่มพลังป้องกันขึ้นห้าในสิบส่วน ความเจ็บที่ถูกเงากระบี่กรีดเฉือนได้หายไปจนหมด ฉิงเทียนเผยรอยยิ้มอำมหิต ฉับพลันมันเหวี่ยงหมัดลงพื้น.... ผืนปฐพีพลันสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง.... หากยังดีที่ที่นี่คือทวีปเทวะ เพราะหากเป็นทวีปเทียนเฉิน ผืนแผ่นดินโดยรอบอันกว้างใหญ่คงพังทลายลงสิ้น

ตูม!

ผืนดินแตกออกเป็นคูร่องยาวเส้นหนึ่ง ดินสีทองก่อตัวเป็นแท่งแหลมพุ่งสู่ฉู่จิงเทียนจากเบื้องล่าง เขากำลังหลับตาคุมกระบี่ เมื่อสัมผัสถึงภัยคุกคามจากเบื้องล่าง ฉู่จิงเทียนพลันลืมตากว้าง เงากระบี่ที่ล้อมร่างของฉิงเทียนไว้พลันหายไปในยามนี้ ทุกพลังโคจรไปที่ใต้เท้า ต่อต้านการโจมตีอันน่าหวั่นกลัวของพลังปฐพี

เสียงสนั่นดังขึ้น ฝุ่นทรายฟุ้งกระจายท่วมฟ้า ในหมอกฝุ่นมีร่างหนึ่งปลิวลิ่วขึ้นฟ้าเหมือนหุ่นไล่กา หลังจากปลิวขึ้นไปจนสูงเสียด ร่างนั้นก็ร่วงลงสู่เบื้องล่างอย่างไร้พลัง ตกกระแทกกับพื้นทองคำเย็นเยียบ....

ใบหน้าของเล่งหยาบิดกระตุก พุ่งตัวไปยังทิศทางของฉู่จิงเทียน ทว่าเบื้องหน้าพลันมีแสงน้ำเงินวาบผ่าน ปรากฎเป็นใบหน้าของฝาเทียน เขาตวัดคมกระบี่ไปที่ลำคอโดยไม่ชายตามอง ฉู่จิงเทียนร่วงลงพื้นอย่างหนักหน่วง ไหนเลยเขาจะสนใจกติกาที่เทพขุนพลพวกนี้สร้างขึ้นได้....

“หยุด!”

เล่งหยากับฝาเทียนเกือบระเบิดศึก ทว่าเสียงหนึ่งได้ตะโกนหยุดไว้ ฉู่จิงเทียนค่อยๆตะกายร่างขึ้นจากพื้น เสื้อผ้าบนร่างขาดวิ่น มุมปากไหลย้อยเป็นรอยเลือด เขามองไปที่เล่งหยาและสั่นศีรษะ “อย่าสอดมือ! ข้า.... เอาชนะมันได้!!”

เล่งหยาเก็บกระบี่คร่าสายลมกลับ ไม่พูดสักคำและกลับไปยืนอยู่กับที่ ฝาเทียนชะงักเล็กน้อย เผยรอยยิ้มอย่างมีเลศนัย มันไม่สนใจเล่งหยาอีกเช่นกัน และกลับไปเตรียมชมว่าฉู่จิงเทียนจะดิ้นรนต่ออย่างไร

“เจ้ายอดเยี่ยมมาก” ฉิงเทียนหมุนข้อมือตามนิสัย “ทนต่อพลังเจ็ดในสิบส่วนของข้าได้ บอกตามตรงว่าเจ้าทำให้ข้าประหลาดใจอยู่เล็กน้อย” มันหรี่ตาลง ยิ้มกล่าวอย่างนึกสนุก “ไม่รู้ว่า เจ้าจะทนพลังแปดในสิบส่วนของข้าได้หรือไม่?”

ฉู่จิงเทียนยันกระบี่ไว้กับพื้น หยัดร่างขึ้นอย่างมั่นคง เช็ดรอยเลือดจากมุมปากออก ฉับพลันเผยรอยยิ้มอันผ่อนคลาย “กลายเป็นว่า นี่คือพลังเจ็ดในสิบส่วนของเจ้า ที่แท้.... เจ้ามันก็แค่งั้นๆ!”

ฉิงเทียนสีหน้าทะมึนลง หากฉับพลันมันระเบิดเสียงหัวเราะลั่น “ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า.... มนุษย์ต่ำต้อยแห่งทวีปเทียนเฉินอย่างพวกเจ้า ไม่เพียงจะน่าสมเพช แต่ยังโง่เขลาน่าหัวร่อ....” มันหรี่ตาลง สองมือปกคลุมด้วยแสงปฐพี ถูกมนุษย์ที่มันเหยียดหยันบีบคั้นให้ต้องใช้เกราะเทพพิสุทธิ์ นับว่าน่าขายหน้าต่อเหล่าเทพขุนพลที่อยู่ที่นี่ เป็นความรู้สึกที่ไม่น่ารื่นรมณ์ยิ่ง มันกำลังโกรธเกรี้ยว “เจ้า จงลิ้มลองรสชาติที่บังอาจดูหมิ่นเทพ!”

มันเหวี่ยงมือสองข้าง ท้องฟ้าสีขาวพลันมืดลง แสงสามกลุ่มปรากฎขึ้นบนท้องฟ้าเหนือร่างของฉิงเทียน แรงกดดันแกร่งกล้าสามสาย แผ่ออกจากแสงสามกลุ่ม ภายใต้แรงกดดันนี้ สีหน้าของเทพขุนพลทั้งห้ากลับกลายเล็กน้อย พวกมันต้องโคจรพลังเพื่อป้องกันร่าง.... กระทั่งพวกมันยังตอบสนองถึงเพียงนี้ เห็นได้ชัดว่าการโจมตีนี้.... ฉิงเทียนแทบไม่รั้งมือแล้ว

ทั้งรัศมีและความเข้มข้นของพลังล้วนน่าสะพรึงถึงขีดสุด แรงกดดันของพลังยิ่งมายิ่งสาหัส แสงสามกลุ่มบนท้องฟ้าค่อยๆควบกลั่น แปรเปลี่ยนเป็นลูกศรปฐพียาวนับสิบเมตร ฉิงเทียนยิ้มอย่างชั่วร้าย ส่งศรปฐพีพุ่งเข้าใส่ฉู่จิงเทียน.... ศรปฐพีบรรจุพลังน่าสะพรึงของเทวะและธาตุปฐพี ลูกศรแหวกตัดอากาศอย่างน่ากลัว สร้างคลื่นระลอกต่ออากาศโดยรอบ เกิดเสียงเสียดโสตอันคมกล้า ราวกับพร้อมระเบิดออกทุกขณะ

ฉู่จิงเทียนยันร่างด้วยกระบี่ชางหมิง ลืมตามองลูกศรปฐพีทั้งสามเล่มที่พุ่งตรงมาดุจพายุ.... นี่ไม่ใช่ลูกศรปฐพีธรรมดา แต่ถูกส่งมาโดยเทพขุนพลแห่งทวีปเทวะ สามารถทำลายสรวงสวรรค์และแผ่นดิน ฉู่จิงเทียนมิได้เคลื่อนไหวใดๆ แววตากลับไร้จุดรวมศูนย์ ราวกับคนหวาดกลัวจนโง่งม

ในสายตาของพวกมัน บางทีเขากำลังหวาดกลัวอยู่ หรือบางทีอาจกำลังเจ็บหนัก จึงถูกพลังแกร่งกล้าของศรปฐพีล็อคตรึงไว้ ไม่อาจขยับร่างกายได้....

ในห้วงสติของฉู่จิงเทียน มีเสียงสะท้อนดังก้อง

ท่านพ่อ.... ท่านแม่....

แม้ข้าไม่เคยเห็นพวกท่าน ไม่ทราบว่าพวกท่านมีหน้าตาเป็นอย่างไร ไม่เคยได้สัมผัสความรักของพ่อแม่ แต่ชีวิตข้าอย่างไรก็เป็นพวกท่านมอบให้ ความแค้นของพวกท่าน คือความแค้นใหญ่หลวงที่สุดในชีวิตข้า.... วันนี้ ในที่สุดข้าก็พบบุคคลที่สังหารพวกท่าน.... และนี่ คือสิ่งสุดท้ายที่ข้าสามารถกระทำเพื่อพวกท่านในฐานะบุตรชาย....

ในที่สุด ก็ถึงเวลาลองทดสอบพลังของมัน.... ข้าจะไม่พ่ายแพ้ เพื่อเกียรติภูมิของเทพกระบี่ที่ไหลเวียนอยู่ในสายเลือด เพื่อกำจัดศัตรูที่ไม่อาจอยู่ร่วมฟ้า.... บางที หลังจากแก้แค้นให้พวกท่านได้แล้ว ข้าอาจต้องติดตามไปอยู่ร่วมกับพวกท่าน....

แววตาของเขายังคงเลื่อนลอย หากกระบี่ชางหมิงที่ยันร่างไว้ค่อยๆถูกยกขึ้น ชี้ตรงขึ้นสู่ฟ้า

กระบี่สังหารซากสวรรค์.... ฉู่จิงเทียนมักผสานเคล็ดเทพกระบี่ที่ร่ำเรียนมาจากปู่ เข้ากับวิถีกระบี่ที่เข้าใจด้วยตนเอง ทว่ากระบวนท่านี้ เป็นผลลัพธ์จากความเข้าใจและพรสวรรค์ขั้นสูงสุด และเขาไม่เคยใช้มัน เขาตั้งชื่อให้มันว่า ‘กระบี่สังหารซากสวรรค์’ เพราะเมื่อใดที่ใช้ออกมันย่อมสังหาร เป็นกระบวนท่าเดียวที่เขาไม่อาจคุมได้อย่างสมบูรณ์แบบ หากเพียงสังหารธรรมดา เขาคงไม่กังวลนัก แต่สิ่งที่ทำให้เขาต้องห่วงพะวงคือคำว่า ‘ซาก’..... กระบี่นี้จะตัดเป้าหมายจนกลายเป็นเศษซากนับไม่ถ้วน ตกตายอย่างน่าอนาถที่สุด ไหนเลยจิตใต้สำนึกอันบริสุทธิ์และหัวใจอันดีงาม จะปล่อยให้ตัวเองกระทำเรื่องโหดเหี้ยมปานนี้ได้.....

แววตาว่างเปล่ามองลูกศรปฐพีที่พุ่งจากฟ้าและขยายเข้าใกล้ ร่างของเขาสั่นเทาเล็กน้อย ทันใดนั้น กระแสลมเย็นได้พวยพุ่งออกจากร่าง กระบี่สีครามได้พุ่งขึ้นจากเบื้องหลัง เพียงพริบตาเงากระบี่แทบบดบังท้องนภา เงากระบี่น่าหวาดหวั่นนับไม่ถ้วน ทำให้ฉิงเทียนและเทพขุนพลทั้งหมดเริ่มหน้าถอดสี

ท้องฟ้ามืดทะมึน เงากระบี่มหาศาลท่วมฟ้า พื้นเบื้องล่างยิ่งมืดทะมึน ลานจัตุรัสขนาดใหญ่หน้าวิหารเทวะมืดหม่นลง เทพคุ้มกันที่อยู่ด้านนอกต่างแหงนมองฟ้า เงากระบี่บดบังทุกแห่งหน ทำให้พวกมันตะลึงงันจนหมดสิ้น

เวลานี้ มีเพียงฉู่จิงเทียนเท่านั้นที่สงบอยู่ เขามองเงากระบี่นับไม่ถ้วนที่ปกคลุมทุกหนแห่ง ฉับพลันมันพุ่งลงฟ้าดุจดาวตก บดบังลูกศรปฐพีของฉิงเทียนไว้หมดสิ้น แม้นี่คือเงากระบี่ ทว่าแตกต่างจากเงากระบี่ที่ฉู่จิงเทียนเคยใช้อย่างสิ้นเชิง ไม่เพียงจำนวนที่มากกว่าไม่รู้กี่เท่า หากพลังยังน่าหวั่นกลัว เพราะเงากระบี่นับไม่ถ้วนกลับไม่มีพลังรั่วไหล แต่ละเล่มมีพลังเหนือล้ำกว่าทุกครั้ง ยิ่งกว่านั้น นี่คือพลังสังหารที่ไม่เคยถูกใช้

กระบี่สังหารซากสวรรค์ นี่คือกระบี่ที่พร้อมสังหารทุกสรรพสิ่ง มันไม่ได้ถูกควบคุมโดยฉู่จิงเทียน เพราะเมื่อใดที่เป้าหมายถูกกำหนดไว้ มันจะไม่มีวันหวนกลับอีก

ลูกศรปฐพีขนาดใหญ่ถูกเงากระบี่ห่อหุ้มไว้จนหมด  ถัดจากนั้นมันแตกออก มีเพียงเสียงเลือนลั่นดุจสายฟ้า พลังมหาศาลได้แผ่จากอากาศลงสู่ผืนปฐพี พลังน่าสะพรึงอัดอากาศให้กระจายออก กระทั่งม่านทะมึนที่ปกคลุมฟ้ายังถูกทำลายไปหลายส่วน เทพขุนพลทั้งห้าและเล่งหยาแหงนหน้าขึ้น มองศรปฐพีทั้งสามเล่มถูกเงากระบี่นับไม่ถ้วนกลืนกินทีละน้อย ท่ามกลางเสียงระเบิดเลือนลั่น มันค่อยๆเล็กลง จนสุดท้ายได้หายไป.... ทว่าเงากระบี่กลับมิได้ลดลงแม้แต่น้อย มันแผ่กลิ่นอายแห่งหายนะ เงากระบี่แต่ละเล่มชี้ปลายมาที่ฉิงเทียน

เวลานี้เอง ฉิงเทียนพลันรู้สึกถึงความกลัว ฝาเทียน , ฮุ่นเทียน , เฟิงเทียน , หยางเทียน และตั๋วเทียน ทั้งหมดถอยเท้าหนึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัว พลังยิ่งใหญ่ของเงากระบี่สีคราม ทำให้พวกมันต้องหวาดหวั่น 
“ฮ่าห์!!!”

นี่คือเสียงกู่ก้อง ด้วยเสียงกู่ร้องนี้ ร่างที่สวมเกราะเทพพิสุทธิ์พลันลุกโชนด้วยเพลิงเหลือง ทว่าภายใต้เพลิงเหลืองที่ลุกโชนนี้ ดวงตาของมันกลับฉายแววแดงก่ำอย่างเห็นได้ชัด มันไม่ได้มองเงากระบี่ที่เล็งล้อมรอบกาย แต่พุ่งตัวไปที่ฉู่จิงเทียนด้วยความเดือดดาล



<<<PREV    .    NEXT>>>