วันอาทิตย์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 517

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 517 หนึ่งชีวิตแลกชีวิต

ร่างสองส่วนของฉิงเทียนร่วงจากอากาศ ตกกระทบลงพื้นติดตามกัน เกิดเสียงหนักทึบขึ้นสองครั้ง เสียงนี้ยังปลุกเทพขุนพลทั้งห้าให้ตื่นจากการชะงักงัน

ฉิงเทียนตาย.... ตายแล้ว! ทั้งที่มันใช้เคล็ดเทวะต้องห้าม.... แต่ยังกลับตกตายในการปะทะ!

ทุกสายตาเคลื่อนไปยังร่างของฉู่จิงเทียนผู้ใช้พลังไปจนหมดสิ้น สีหน้าของฝาเทียนเปลี่ยนกลับกลาย มันโบกมือที่สว่างวาบด้วยแสงเงิน ทวนยาวสีเงินเล่มหนึ่งปรากฎขึ้นในมือมัน พลังสีเงินระเบิดออกทั่วร่าง เงาสีเงิน ‘แหวก’ ตัดอากาศ พริบตาเดียวมันผ่านระยะทางนับสิบๆเมตร เป้าหมายของมันมิใช่ฉู่จิงเทียนที่ไร้พลังขัดขืน ความตายของฉิงเทียนสำหรับพวกมันคือสิ่งที่ไม่อาจยอมรับได้อย่างเด็ดขาด ยามที่ฉิงเทียนถูกฉู่จิงเทียนทำร้าย พวกมันไม่คิดว่าฉิงเทียนจะตกตาย เพราะเทพขุนพลอย่างพวกมันล้วนมีเคล็ดเทวะต้องห้าม พวกมันคาดหวังให้ฉิงเทียนถูกบีบคั้นจนต้องใช้เคล็ดเทวะต้องห้าม และคิดว่าหากเคล็ดเทวะต้องห้ามถูกใช้ออกมา อย่าว่าแต่ฉู่จิงเทียนตัวลำพังเลย ต่อให้มีสิบคนก็สมควรถูกทำลายย่อยยับ....

ทว่าไม่คิดฝันว่าจะลงเอยเช่นนี้ ต่อหน้าเทพขุนพลทั้งหกที่อยู่ในฉาก ฉิงเทียนกลับตายเพราะผู้บุกรุก ตกตายด้วยน้ำมือของมนุษย์จากทวีปเทียนเฉิน!

ไม่เพียงเป็นความอัปยศต่อฉิงเทียนเท่านั้น หากยังเป็นความอัปยศใหญ่หลวงต่อเทพขุนพลทั้งหมดอย่างพวกมัน หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป ชื่อเสียงของเทพขุนพลย่อมป่นปี้ย่อยยับ ‘การเล่น’ แมวจับหนูที่พวกมันเริ่มขึ้นกลับนำไปสู่ความตาย ฉิงเทียนตายอาจไม่นับเป็นสิ่งใด แต่พวกมันไม่อาจยอมรับความอับอายที่จะเกิดขึ้นตามมาได้

ด้วยเหตุนี้ ฝาเทียนจึงโจมตีโดยไม่เก็บยั้งพลังไว้ ขณะที่ทวนยาวถูกใช้ออก เทพขุนพลทั้งห้าพลันมองเห็นเงาดำร่างหนึ่งระเบิดความเร็วดุจสายฟ้า รวดเร็วยิ่งกว่าทวนเงินอย่างคาดไม่ถึง ประกายสีเขียวแหวกอากาศ พร้อมเสียงคำรามเสียงต่ำ กระบี่คร่าสายลมตวัดส่ง ‘หนึ่งเส้นสวรรค์’ เข้าปะทะกับทวนเงิน ทันใดนั้น ทวนเงินเบี่ยงวิถีออกด้านข้าง มันพุ่งกระทบลงพื้นเสียงสนั่นหวั่นไหว ตกห่างจากร่างของฉู่จิงเทียนไม่กี่เมตรเท่านั้น

เงาสีดำทะยานร่างลงด้านข้างฉู่จิงเทียน แววตาสาดประกายเย็นเยียบจดจ้องอยู่ที่คนทั้งห้า

“เฮอะ! ไม่ปล่อยมันตาย”

ฝาเทียนตวัดมือ เรียกทวนยาวสีเงินขึ้นจากพื้นบินหวือกลับสู่มือ ฉับพลันมันพุ่งร่างโจมตีเล่งหยาอีกครั้ง ร่างของมันนำพาคลื่นอากาศขนาดใหญ่ ในบรรดาแปดเทพขุนพล มันแข็งแกร่งสุดในด้านต่อสู้ระยะประชิด ได้เรียนรู้ความผิดพลาดของคนอื่น ดังนั้น มันจึงโจมตีอย่างเต็มกำลัง หวังสังหารเล่งหยาในกระบวนท่าเดียว.... แต่เป้าหมายไม่ใช่เพียงเล่งหยาเท่านั้น นอกจากเล่งหยาปัดป้องการโจมตีนี้ได้ ไม่อย่างนั้นคลื่นพลังย่อมส่งสู่เบื้องหลัง บดขยี้กระดูกของฉู่จิงเทียนจนไม่เหลือ

สัมผัสคลื่นอากาศที่แทบฉีกร่าง แววตาของเล่งหยาคล้ายลุกโชนด้วยเพลิงทมิฬ เขาถอยเท้าก้าวหนึ่ง เมื่อฝาเทียนเข้าใจว่าเล่งหยาคิดที่จะหลบเลี่ยง ฉับพลันเงาดำได้ขยายใหญ่ขึ้นในดวงตา....

นี่คือความเร็วสูงสุดที่เล่งหยาสามารถบรรลุ คือความเร็วสูงสุดที่ฝาเทียนเคยเห็นในชีวิต เมื่อเทียบกับความเร็วของฝาเทียน เงาดำนี้นับว่ารวดเร็วเกินไป ตัวมันไม่มีทางเบี่ยงทิศได้ทัน.... นอกจากส่งปลายทวนเข้าปะทะโดยตรงเท่านั้น....

ดุจสายฟ้าที่ไม่อาจหยั่งคาด ฝาเทียนพลันรู้สึกว่าทวนยาวแทงถูกบางสิ่ง และในขณะเดียวกัน มันรู้สึกเย็นโหวงที่ทรวงอก....

เล่งหยาถูกทวนยาวของฝาเทียนแทงทะลุกลางอก ในขณะเดียวกัน มือขวาของเขากุมกระบี่สั้นสีเขียวชุ่มเลือด แทงผ่านอกซ้ายของฝาเทียนออกด้านหลัง ตัดผ่านหัวใจโดยตรง

โลกหล้ายามนี้กลายเป็นเงียบงัน ฝาเทียนเบิกตาโพลงขนาดใหญ่ ดวงตาแทบถลนออกมา ขณะที่เล่งหยายังคงมีสีหน้าเย็นชา ราวกับจะไร้อารมณ์ตลอดกาล ไม่มีความเจ็บปวด ไม่มีความดีใจ ไม่มีความกลัวตาย ไม่มีสิ่งใดทั้งสิ้น....

เขาเข้าใจแจ่มแจ้งในพลังของเทพขุนพล ทราบดีว่าหากต่อสู้กันซึ่งหน้า เขาสามารถรับมือได้เต็มที่เพียงหนึ่งในพวกมันเท่านั้น ต่อให้ไม่แพ้ก็ไม่อาจเอาชนะได้ ตอนนี้ฉิงเทียนตกตาย เทพขุนพลทั้งห้าที่เหลือย่อมลงมือกำจัดพวกตนด้วยความเร็วสูงสุด ด้วยพลังของเขาย่อมไม่อาจรับมือพวกมันทั้งหมดได้ ดังนั้น เขาจึงเลือก....

หนึ่งชีวิตแลกชีวิต!

ในเมื่อต้องตาย แล้วเหตุใดต้องตายอย่างเปล่าประโยชน์ด้วย!

ชั่วขณะที่ทวนยาวแทงสู่ร่าง เขาพลันถอนพลังป้องกันทั้งหมดออก ส่งพวกมันลงสู่มือขวา เผชิญหน้าการโจมตีของฝาเทียน ปล่อยให้ทวนเงินแทงผ่านร่าง ใช้โอกาสนี้ส่งกระบี่คร่าสายลมแทงทะลุหัวใจของฝาเทียน ฝาเทียนคิดว่าเล่งหยาจะหลบเลี่ยงหรือปัดป้อง ทั้งไม่คิดว่าจะถูกโจมตีจากปลายทวนได้ ดังนั้น มันจึงมิได้โคจรพลังป้องกันใดๆไว้

ทั้งสองร่างร่วงลงพื้นพร้อมกัน ม่านตาของฝาเทียนเบิกค้าง ในปากพยายามกล่าวบางสิ่ง ทว่าไม่มีเสียงใดหลุดรอดออกมา ต่อให้มันเทพในหมู่เทพ หัวใจก็ย่อมเป็นจุดตายที่อ่อนแอที่สุด

เฟิงเทียน , ฮุ่นเทียน , หยางเทียน และตั๋วเทียนยืนโง่งมอยู่ตรงนั้น พวกมันไม่คิดฝันว่าเพียงชั่วพริบตาเดียว ฝาเทียนกลับตกตายเช่นนี้.... หกเทพขุนพล ยามนี้เหลือพวกมันเพียงสี่คนเท่านั้น

อากาศเย็นเยียบแผ่ท่วมทรวงอกของพวกมัน ในที่สุด พวกมันก็รู้ว่าการ ‘เล่น’ กับสองผู้บุกรุกนี้เป็นเรื่องโง่เขลาเพียงใด เพราะความหยิ่งผยองและโอหังของพวกมัน ทำให้พวกมันต้องจ่ายราคาสาหัส คิดเสียใจในยามนี้ก็สายเกินไปแล้ว

เล่งหยาร่วงลงพื้นมีทวนปักอก เขาหันไปมองทางฉู่จิงเทียนด้วยสายตาเริ่มพร่าเลือน

ฉู่จิงเทียนขยับยิ้มหยันที่มุมปาก ก่อนกล่าวคำ “เจ้าหน้าน้ำแข็ง.... ข้ารู้เจ้าต้องการกล่าวสิ่งใด เจ้าต้องการบอกข้าว่า.... ไม่น่าพาข้ามาที่นี่เลย.... อันที่จริง ข้าต้องขอบคุณเจ้า เพราะเจ้า ข้าจึงได้พบศัตรูที่ฆ่าพ่อแม่ ได้แก้แค้นให้กับพวกท่าน.... ได้รู้สึกว่ากระทำบางสิ่งตอบแทนพ่อแม่ของตนเอง.... ยอดเยี่ยม หวังว่าเกิดมาในชาติหน้า ข้าจะไม่เพียงมีพ่อแม่เท่านั้น แต่ยังมีหลานๆให้พวกท่านอุ้มด้วย”

เล่งหยา “.......”

“เสียดายก็แต่ พวกเราไร้ประโยชน์เกินไป.... ไม่อาจช่วยเหลือพวกหนิงเสวี่ยได้.... อย่างไรก็ตาม พวกเราได้ฆ่าสองตัวตนที่แกร่งกล้า.... น้องเย่คงไม่บ่นว่าพวกเราแล้ว....” มองดูเล่งหยาที่เลือดไหลออกจากอกอยู่ไม่ไกล แววตาของเขาค่อยๆเลื่อนลอย ห้วงความคิดหวนย้อนไปยังอดีตที่ผ่านมาไม่นานนัก เขากล่าวคำแผ่วเบา “เจ้าหน้าน้ำแข็ง แม้เจ้ามีลักษณะท่าทางเย็นชา..... ไม่ปรารถนาตอบคำผู้ใด แต่ข้ารู้ว่าเจ้าคือบุคคลที่คู่ควรนับถือเป็นสหาย ชั่วชีวิตนี้ สามารถเป็นสหายกับน้องเย่และเจ้าได้ ข้า.... มีความสุขแล้วจริงๆ ชาติหน้า.... พวกเราจะต้องเป็นสหาย.... หรือไม่ก็พี่น้อง....”

เงาสีเขียวร่างหนึ่งลอยจากอากาศ ดิ่งลงมาหยุดอยู่ต่อหน้าคนทั้งสอง มันแสดงสีหน้าทะมึน “ฝากไปบอกเจ้าขยะสองตัวนั่นในนรกด้วย ว่าข้าฮุ่นเทียนช่วยแก้แค้นแทนพวกมันแล้ว!”

มันยกมือขึ้น แค่นเสียงเย็น ส่งปราณพลังสองสายพุ่งไปยังร่างของเล่งหยาและฉู่จิงเทียนทันที

สมองของเล่งหยากลายเป็นว่างเปล่า เขาไม่อาจรับรู้ถึงความเจ็บอีก ทว่ายังคงสัมผัสถึงชีวิตและห้วงสติได้ เขาหลับตาลง รอคอยจุดจบที่ใกล้มาถึงอย่างสงบ มุมปากค่อยๆยกขึ้นช้าๆ เผยรอยยิ้มอันอ่อนโยน....

“ปิง.... เอ๋อร์....”

บุรุษผู้ตัดขาดสายใยอารมณ์ ในชั่วขณะสุดท้ายของชีวิต เขาเผยรอยยิ้มอ่อนโยนที่สุดให้กับสตรีผู้เดียวที่เขารัก

“ตูม!”

เกิดเสียงสะเทือนเลือนลั่นขึ้นในหู ทว่ารอคอยเป็นเวลานาน เขากลับไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวด ห้วงสติยังคงอยู่ ชีวิตยังไม่ถูกพรากไป เวลานี้เอง มีเสียงสั่นเครือลอยมาสู่ข้างหู

“น้อง.... น้องเย่....”

เล่งหยาเบิกตาขึ้นทันที ในสายตาที่พร่าเลือนนั้น เขาเห็นร่างของฮุ่นเทียนปลิวไปดุจใบไม้ร่วง ตกกระแทกพื้นอย่างรุนแรง ร่างไถลครูดกับพื้นจนเกิดเป็นคูร่องลึก

ตำแหน่งที่ฮุ่นเทียนเคยยืนอยู่ บัดนี้มีร่างหนึ่งสีขาวยืนอยู่อย่างเงียบงัน เป็นแผ่นหลังที่คุ้นเคยยิ่ง เป็นชุดขาวที่คุ้นเคย รวมถึงกลิ่นอาย มือสองข้างปล่อยขนานลำตัวตามสบาย ไร้ร่องรอยการลงมือใดๆทั้งสิ้น ทั่วร่างมีเพียงเส้นผมและชุดขาวที่พัดพริ้วอย่างสงบเงียบ

เย่หวูเฉิน!

การปรากฎตัวของเขา ทำให้เล่งหยาบังเกิดปรารถนามีชีวิตอยู่ต่อขึ้นมาทันที ความคิดยอมตายได้สลายหายไป ความหวังที่พลันเกิดขึ้น ทำให้เขากัดฟันเหนี่ยวรั้งชีวิตไว้ไม่ยอมตาย

เย่หวูเฉินหันร่างมา ย่อกายลงข้างๆเล่งหยา กดฝ่ามือลงบนอกตรงตำแหน่งทวนเงิน เล่งหยาพลันรู้สึกถึงกระแสพลังอันอบอุ่น ทำให้สติและชีวิตที่ล่องลอยไปไกลหวนกลับมา สายตาและสติค่อยๆคมชัดขึ้น ความเจ็บยังเพิ่มทวีจนเสียดหัวใจ.... ประสาทสัมผัสของเขากำลังฟื้นกลับมา

เขาขยับมืออีกครั้ง หอกเงินที่เสียบอยู่ตรงอกถูกผลักปลิวไปไกลลิ่ว เล่งหยาเจ็บปวดจนแทบหยุดหายใจ มีรูขนาดใหญ่เกิดขึ้นตรงอก ทว่าเลือดยังไม่ทันกระเซ็นออกมา สายพลังอบอุ่นและยิ่งใหญ่ได้ผนึกมันไว้ ความเจ็บปวดเหนือจินตนาการหายไปฉับพลัน บาดแผลร้ายแรงถูกรักษาอย่างรวดเร็วจนมองเห็นด้วยตาเปล่า เพียงชั่วเวลาสั้นๆ รูขนาดใหญ่ตรงอกได้หายไป แทนที่ด้วยผิวเกิดใหม่ ไร้รอยแผลเป็นใดๆทั้งสิ้น

ความเจ็บปวดหายไปจนหมด บาดแผลถูกรักษาโดยสมบูรณ์ มีเพียงพลังที่หมดไปหลังบาดเจ็บสาหัส ต่อให้เขามีหัวใจราบเรียบเหมือนผิวน้ำ ก็ไม่อาจอดห้ามความตะลึงจากสิ่งที่บังเกิดกับตน บาดแผลรุนแรงปานนี้ หากเป็นคนธรรมดาย่อมตกตายทันที คิดไม่ถึงว่าจะเกิดปาฏิหาริย์ขึ้นในชั่วเวลาสั้นๆ.... ดุจคนละเมอฝันในห้วงมายา



<<<PREV    .    NEXT>>>