วันจันทร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 519

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 519 เชียนจ้ง , ปะทะพลัง

วิหารเทวะ

“โอ้ เจ้าพวกนั้นตายหมดแล้ว” เชียนจ้งเดินเข้าประตู กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักหน่วงทว่ามิได้กังวล

“โอ้.... ฮี่ ฮี่ ฮี่ ฮี่ ตายเสียได้ก็ดี พวกไร้ประโยชน์นั่นไม่มีอะไรให้น่าเล่นสักนิด” เสวี่ยเย่เลียลามไปทีละนิ้วของตัวเอง ไม่ทราบว่ามันอร่อยหรืออย่างไร นางมีร่างเล็กและบอบบาง นอนท่าตะแคงน่าดูชมเป็นอย่างยิ่ง ใบหน้าอายุราว 14-15 ปี ร่างกายน่าหลงใหลดุจสาวน้อย แต่หากเทียบกับเสน่ห์ของนางแล้ว ชื่อเสียงน่ากลัวของนางเป็นที่รู้จักยิ่งกว่า ใบเลื่อยโลหิตของนางไม่ทราบว่าอาบย้อมโลหิตมามากเพียงใด เทพและปีศาจที่ตกตายด้วยมือนางล้วนเผชิญความตายที่เจ็บปวดและน่าสยดสยองที่สุด ในทวีปเทวะ นางเป็นที่รู้จักว่าห้ามยั่วยุมากที่สุด เป็นบุคคลที่อย่าได้พานพบมากที่สุด

“คนผู้นั้นกำลังมาที่นี่ แต่มันมิได้มีปราณปีศาจ” เชียนจ้งนั่งลงบนพื้น ด้วยร่างดุจภูเขาลูกย่อมๆ ทำให้ทั้งวิหารเทวะสั่นไหวทันที น่ากลัวจะถล่มลงมา เย่หมิงยังคงมองออกไปที่นอกหน้าต่าง ไม่กล่าวคำใดๆ เทพขุนพลจะเป็นหรือตายล้วนไม่เกี่ยวกับเขา พวกมันตายไปเขาไม่รู้สึกใดๆทั้งสิ้น ทว่าทั่วทั้งทวีปเทวะ กลับต้องมาคอยรักษาความปลอดภัยร่วมกับเชียนจ้งและเสวี่ยเย่ ทำให้มันรู้สึกอึดอัดคับข้องไปทั่วร่าง

เสวี่ยเย่ปรับท่าทาง บิดเอวอย่างเกียจคร้าน อ้าปากหาวหวอด กล่าวคำด้วยความสนใจ “คนผู้เอาชนะพวกไร้ประโยชน์นั่นได้อย่างรวดเร็ว ฮี่ ฮี่ นี่น่าสนใจนัก พี่ชายตัวโต ท่านจะออกไป หรือให้ข้าไป?”

“ข้าไปเอง นานแล้วที่ไม่ได้ต่อสู้ ร่างกายชักจะเริ่มแข็งขัด” เชียนจ้งส่งเสียงธรรมดาดุจฟ้าผ่า เขาครองพลังระดับศักดิ์สิทธิ์ เป็นยอดฝีมือที่ไม่ลุแก่อารมณ์มากที่สุดในทวีปเทวะ ทั้งยังใจดีกับทุกผู้คน กับเสวี่ยเย่เขารู้สึกประหนึ่งน้องสาวของตัวเอง ปกตินางกล่าวสิ่งใดเขาจะฟังสิ่งนั้น ราวบุรุษร่างยักษ์ผู้มักถูกสาวน้อยไร้เหตุผลกลั่นแกล้ง ดังนั้น แม้ภาพภายนอกทำให้ผู้คนหวั่นกลัว แต่แท้จริงเขาคือคนที่น่ากลัวน้อยที่สุดในหมู่เทพขุนพล , เทพราชัน และขุนพลศักดิ์สิทธิ์

“ดีเลย ข้าเองไม่ได้เห็นพี่ชายตัวโตต่อสู้มานานแล้วเหมือนกัน ฮี่ ฮี่ ไปกันเถอะ” เสวี่ยเย่ดวงตาเป็นประกายระยิบ คิ้วพระจันทร์เสี้ยวโค้งเป็นรอยยิ้มบนใบหน้าเล็กๆ โน้มนำผู้คนให้รู้สึกรักใคร่เอ็นดู ยามนี้ไม่มีใครเชื่อมโยงนางกับฆาตกรโหดเหี้ยมได้

ประตูวิหารเทวะเปิดออกอย่างรุนแรง เย่หวูเฉินถือกระบี่มือหนึ่ง อีกมือหนึ่งถือธนูเดินเข้ามา จับจ้องสบตากับสามขุนพลศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ด้านใน

เชียนจ้งสืบเท้าหยุดยืนมองหน้าเย่หวูเฉิน กล่าวคำโดยไร้ความรู้สึก “มาเถอะ สู้กับข้า เจ้าสมควรเล่นกับข้าได้สักช่วงหนึ่ง”

ไร้การดูถูก ไร้ความเป็นปฏิปักษ์ ไร้การเหยียดหยัน มีเพียงถ้อยคำเรียบง่ายชักชวนให้ต่อสู้  นี่ทำให้เย่หวูเฉินชะงักงันเล็กน้อย และขนาดร่างทำให้เขาต้องสีหน้าเปลี่ยน บุรุษผู้นี้สูงราว 5-6 เมตร ร่างหนาถึงราว 3 เมตร โครงร่างใหญ่โตเหนือคนธรรมดาไปไกล กล้ามเนื้อเป็นมัดสีดำเมื่อม ประดุจภูเขากล้ามเนื้อเคลื่อนที่ จินตนาการได้เลยว่าในนั้นบรรจุพลังแกร่งกล้าไว้เพียงใด

ใบหน้าของเขาน่าเกลียดมาก แต่มิได้น่าเกลียดแบบน่าขยะแขยง ทว่าเป็นแบบที่ทำให้ผู้คนไม่อาจอดยิ้ม เมื่อเทียบสัดส่วนศีรษะกับคนทั่วไป ศีรษะของเขาเล็กกว่าร่างมหึมาจนน่าขัน

จากนั้น เขาเคลื่อนสายตาไปยังเสวี่ยเย่ที่จ้องมองเขา.... สาวน้อยผู้นี้น่ารักเช่นเดียวกับหลงฮวงเอ๋อร์ในอดีต ทว่าจากร่างของนาง เขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายเย็นเยือกเหนือคำบรรยาย ทั้งยังมีกลิ่นเลือดอันหนาแน่น กลิ่นนี้มิใช่กลิ่นคาวของเลือดจริงๆ แต่เกิดจากการสังหารผู้คนมามากมายนัก จนลมหายใจปนเปื้อนกลิ่นเลือดและสั่งสม สาวน้อยผู้มีรูปลักษณ์ดุจเทพธิดา แท้จริงกลับมีหัวใจดุจปีศาจน่าหวั่นกลัว

ในที่สุด เขาหันศีรษะสบตากับเย่หมิง หัวคิ้วมุ่นต่ำลงทันที กระทั่งเย่หมิงยังสีหน้าเปลี่ยนอย่างเห็นได้ชัด มันถามเสียงต่ำ “เป็นเจ้า!?”

มันไม่คิดฝันว่าคนที่มันเกือบฆ่าเมื่อหนึ่งเดือนก่อนจะตามมาถึงนี่.... นี่มิใช่สองบุคคลที่เหมือนกัน กระบี่ตัดดาราและคันศรบาปวิบัติที่ถืออยู่ในมือคือข้อพิสูจน์อันหนาแน่น คนผู้นี้.... มนุษย์แห่งทวีปเทียนเฉินกลับเดินทางมาถึงนี่ได้! ยิ่งกว่านั้น ฮุ่นเทียน , เฟิงเทียน และคนอื่นๆยังถูกมันสังหาร!

เกิดอะไรขึ้น พลังของมันไม่ควรบรรลุถึงขั้นนี้

สายตาชิงชังมิได้มองเย่หมิงอีก หากมองยังเชียนจ้งบุรุษร่างใหญ่ แววตาลุกโชนด้วยเปลวไฟแห่งการต่อสู้ เก็บยั้งพลังที่ใกล้ปะทุออกมา เขาไม่อยากเสียเวลาต่อปากต่อคำ.... ต้องการเอาชนะพวกมันในเวลาอันสั้นสุด เพื่อพาหนิงเสวี่ยและทงซินออกไป เขาไม่กล้าชักช้าแม้ชั่วขณะนาที

“โอย โยะโย๋ว พี่ชายตัวน้อยช่างน่าดึงดูดจริงๆ.... พี่ชายตัวโต เบามือให้กับเขาด้วย เอาชนะเขาก็พอแล้ว ข้าจะนำเขาไปเป็นสัตว์เลี้ยงตัวน้อย” เสวี่ยเย่ส่งเสียงพร้อมยิ้มยิงฟัน จ้องมองเย่หวูเฉินด้วยดวงตากรีดกราย

“โอ้ ตกลง” เชียนจ้งกล่าวตอบ เสียงของมันสั่นสะเทือนโต๊ะและเก้าอี้ที่อยู่ในวิหารเทวะ

“อ้อ อีกอย่าง พวกเราไปเล่นกันข้างนอกดีกว่า หากทำให้ที่นี่เสียหาย องค์เทพจักรพรรดิจะต้องโกรธกริ้วมาก หากองค์เทพจักรพรรดิโกรธกริ้ว ข้าเองคงไม่ยินดีนัก”

“โอ้ ตกลง” เชียนจ้งกล่าวตอบอีกครั้งและรีบเดินตรงไปที่เย่หวูเฉิน เย่หวูเฉินสูดหายใจเข้าลึกแล้วกระโดดถอยออกไป เมื่อแตะเท้าลงพื้นอีกครั้ง เขากลับมาอยู่บนพื้นซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นลานจัตุรัสกว้าง พื้นที่ที่เคยราบเรียบถูกทำลายจนไม่อาจจดจำ ในที่ไกลๆยังมีซากร่างของหกเทพขุนพลในสภาพต่างกัน

เชียนจ้งเดินออกมา ติดตามด้วยเสวี่ยเย่ที่กอดกล่องยาวเดินมาอย่างคล่องแคล่ว นางอยู่ในชุดน่ารักกระโปรงสั้น สวมรองเท้าประดับลายดอกไม้งดงาม ร่างลักษณะแทบไม่ต่างจากเจ้าหญิง ไม่มีใครคิดว่านางมีอายุกว่าพันปี ในกล่องนั้น เก็บอาวุธของนางที่ทำผู้คนต้องสะพรึงไว้

รั้งท้ายสุดที่ตามมาคือเย่หมิงผู้มีสีหน้าไร้อารมณ์ มันกอดอกยืนมองเย่หวูเฉินอยู่ไม่ห่าง หนึ่งเดือนก่อนมันเพิ่งต่อสู้กับเย่หวูเฉิน เย่หวูเฉินใช้กระบวนท่าเฉพาะโจมตีมันอย่างต่อเนื่อง กล่าวได้ว่ามันรู้ขีดจำกัดของเย่หวูเฉินดี กระทั่งรู้จักทั่วทุกกระบวนท่า และถึงแม้จะน่าเหลือเชื่อ แต่มันไม่โง่พอคิดว่าเย่หวูเฉินคือคนเดิมเมื่อเดือนก่อน สามารถทำให้เชียนจ้งเอ่ยปากชักชวนให้ ‘ต่อสู้’ ทั่วโกลาหลนี้นับว่ามีอยู่น้อยยิ่ง มันต้องเห็นด้วยตาตัวเอง ว่ามนุษย์ที่เกือบถูกมันฆ่าตาย แต่รอดชีวิตเพราะคำขู่ฆ่าตัวตายขององค์หญิงไป่เย่ ในเวลาสั้นๆนี้ มันได้บรรลุพลังถึงขั้นใด....

“ลงมือ” เย่หวูเฉินกล่าวคำอย่างแห้งแล้ง ขยับร่างเก็บกระบี่ตัดดาราและคันศรบาปวิบัติ ก่อนเหวี่ยงหมัดพุ่งเข้าใส่เชียนจ้งอย่างรุนแรง

มุมปากของเสวี่ยเย่กระตุกขึ้นทันที อยากหัวเราะใส่เย่หวูเฉินที่ไม่ประมาณตนเป็นอย่างยิ่ง เชียนจ้งครองพลังน่าสะพรึง กระทั่งนางและเย่หมิงยังไม่กล้ารับมือโดยตรง หากหวังเอาชนะเชียนจ้ง ต้องคอยพัวพันรบกวนจนเผยจุดอ่อน แต่เย่หวูเฉินกลับเหวี่ยงหมัดจู่โจมเชียนจ้งโดยตรง เวลานี้ นางคาดการณ์ฉากน่าดูที่จะเกิดขึ้นถัดไปไว้แล้ว

เชียนจ้งแววตากลายเป็นจริงจัง ขณะเดียวกัน มันเหวี่ยงหมัดออกเบาๆรับการมาถึงของเย่หวูเฉิน การโจมตีของทั้งสองไร้ความหวือหวาใดๆ หนึ่งหมัดต่อหนึ่งหมัดเท่านั้น เป็นการประลองกำลังล้วนๆ หนึ่งหมัดดำเมื่อมมีขนาดเท่าหัวคนทั่วไป อีกหนึ่งหมัดขาวอ่อนแอประหนึ่งหมัดนักศึกษา ภายใต้ความแตกต่างอย่างสุดขั้ว สองหมัดได้ปะทะแลกกัน เกิดเสียงดังอันเลือนลั่น พื้นแข็งยกขึ้นสูงสิบๆเมตร เกิดคลื่นกระแทกราวจะฉีกกระชากฟากฟ้า

เชียนจ้ง หนึ่งหมัดทลายฟ้า หนึ่งหมัดถล่มผืนปฐพี มันปักเท้าปล่อยหมัดตรงใส่อีกฝ่าย เย่หวูเฉินถูกต่อยปลิวไปไกลกว่าร้อยเมตร ไม่ทราบว่าลอยร่างในอากาศนานเพียงใดจึงสามารถสลายพลังดุจขุนเขาออกได้ เขาแตะเท้าลงหยัดยืนบนพื้น สองหมัดที่ปะทะกันเมื่อครู่ ทำให้เขาได้ยินเสียงอันเลือนลั่น แขนเสื้อด้านขวาฉีกออกเป็นริ้ว แขนขวาแตกเต็มไปด้วยรอยเลือด เพียงครู่เดียวมันอาบย้อมไปครึ่งแขน

เย่หวูเฉินสูดหายใจเข้าลึก รักษาบาดแผลที่แขนขวาอย่างรวดเร็ว แขนขวายังคงสั่นเทาและปวดชา ขนาดร่างกายของเชียนจ้งบ่งบอกว่ามันมีพลังมหาศาล ยิ่งสามารถเป็นหนึ่งในขุนพลศักดิ์สิทธิ์แห่งทวีปเทวะ พลังของมันยิ่งน่ากลัวสะท้านฟ้า หมัดนี้ได้พิสูจน์ว่ามันมีพลังน่ากลัวเพียงใด แน่นอนว่า ขณะที่แลกหมัดกับเชียนจ้ง หนึ่งหมัดดำเมื่อมของมันทำให้เขาราวกับเห็นภูเขาสูงเสียดไม่เห็นยอด

เย่หวูเฉินตื่นตะลึง ทว่าเชียนจ้ง , เสวี่ยเย่ และเย่หมิงทั้งสามบุคคลตกตะลึงยิ่งกว่า เนื่องจากถูกหมัดโดยตรงของเชียนจ้ง เขากลับไม่ตายอย่างคาดไม่ถึง! ยิ่งกว่านั้น ยังเพียงปลิวไปเพียงร้อยเมตร กระทั่งหยัดยืนได้อย่างมั่นคงอยู่ตรงนั้น

หมัดของเชียนจ้งคู่ควรได้ชื่อว่าไม่อาจต้านรับ หากฝืนรับโดยตรงย่อมได้รับบาดแผลสาหัส

“พี่ชายตัวโต ดูเหมือนพี่ชายตัวน้อยผู้นี้จะแข็งแกร่งทัดเทียมกับพวกเรา ท่านต้องระวังตัวด้วย” คิ้วของเสวี่ยเย่โค้งขึ้น แม้กำลังกล่าวกับเชียนจ้ง แต่สายตากลับจ้องมองที่เย่หวูเฉิน ใบหน้าแฝงความสุขอันแปลกแปร่ง ราวกับสาวน้อยได้พบของเล่นที่หามานาน

เชียนจ้งมองหมัดตัวเองที่ไร้บาดแผล ก่อนพยักหน้ากล่าว “โอ้ สมแล้วที่เอาชนะพวกฮุ่นเทียนได้ หมัดที่ข้าใช้พลังไปกึ่งหนึ่ง กลับทำให้เขาได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น”

เย่หมิงสีหน้าสงบ ไม่กล่าวแม้สักคำ มันไม่ค่อยพูดจากับเชียนจ้งและเสวี่ยเย่เท่าใดนัก แต่ครั้งนี้มันตกตะลึงยิ่งกว่าทั้งสองไปไกล เสวี่ยเย่และเชียนจ้งไม่รู้ว่าหนึ่งเดือนก่อนเย่หวูเฉินมีสภาพแบบใด ทว่ามันล้วนรู้ชัด ช่องว่างขนาดใหญ่ถึงปานนี้มันย่อมไม่อาจรับได้ เย่หวูเฉินเป็นเพียงมนุษย์ต่ำต้อยแห่งทวีปเทียนเฉิน.... ต่อให้มันเป็นบุตรแห่งเทพศักดิ์สิทธิ์ หรือต่อให้เป็นบุตรของเทพจักรพรรดิ มันก็ไม่มีทางก้าวหน้าอย่างน่าตระหนกในช่วงเวลาสั้นๆ.... ในหนึ่งเดือนที่ผ่านมา เกิดอะไรกับร่างของมันกันแน่!

จริงสิ.... มันถูกกระบี่หนานฮวงและคันศรเป่ยตี้ยอมรับเป็นนาย อาศัยพลังของมนุษย์ต่ำต้อยเกือบฆ่ามันได้ บุคคลปานนี้ไหนเลยจะเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา.... มันสมควรฆ่าคนผู้นี้เสียตั้งแต่ตอนนั้น! อันตรายซ่อนเร้นที่ไม่ถูกกำจัด บัดนี้ตามมาถึงที่นี่ได้อย่างคาดไม่ถึง

เย่หมิงมิได้ผ่อนคลายเหมือนเชียนจ้งและเสวี่ยเย่ เดิมที เย่หวูเฉินอาศัยพลังเพียงขอบเขตเทวะส่งกระบวนท่า ‘ดาราวินาศ’ จนเกือบฝังมันไว้ในทวีปเทียนเฉิน ตอนนี้ ไม่ทราบว่าเย่หวูเฉินแข็งแกร่งขึ้นอีกกี่เท่า ด้วยการส่งเสริมของกระบี่ตัดดาราและคันศรบาปวิบัติ สองศาสตราต้องห้ามที่ทรงพลังสูงสุด.... นี่ย่อมมิใช่การต่อสู้ที่เรียบง่าย

มันไม่กล่าวแม้สักคำ ไม่บอกเชียนจ้งกับเสวี่ยเย่ว่าคนผู้นี้ปกป้ององค์หญิงเฮยเย่และองค์หญิงไป่เย่ในทวีปเทียนเฉิน เพียงมองอย่างนิ่งงัน รอดูว่าเย่หวูเฉินจะทำได้ถึงเพียงใดในการปะทะพลังกับเชียนจ้ง

เย่หวูเฉินในที่ไกลๆเคลื่อนไหวในที่สุด เขาขยับข้อมือที่ปวดชาและกล่าว “เมื่อครู่ คือพลังเพียงครึ่งหนึ่งของเจ้าอย่างนั้นรึ?”

แม้อยู่ห่างออกไปนับร้อยเมตร แต่เสียงของเขายังคงแผ่มาให้ได้ยินอย่างชัดเจน เชียนจ้งผู้ไม่เคยโกหกพยักหน้า “ถูกต้อง นี่คือพลังกึ่งหนึ่งของข้า เสวี่ยเย่บอกให้ข้าเบามือ ดังนั้น ข้าจึงใช้พลังเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น”

“โอ้” เย่หวูเฉินยิ้มแปลกแปร่งทันที เขายกมือขวาขึ้น กลุ่มแสงไร้สีที่สามขุนพลศักดิ์สิทธิ์ไม่อาจมองเห็นแผ่เคลือบมือขวาทันที เขาแค่นเสียงกล่าว “เจ้าใช้ออกมาให้เต็มกำลัง.... ใช้พลังสูงสุดของเจ้า ลองรับหมัดนี้ของข้าดู....”

“อ๊า~~อ๊า!!!!”



<<<PREV    .    NEXT>>>