วันพุธที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 501

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 501 บุรุษชุดดำลึกลับ

ฉู่จิงเทียนมองไปที่เย่หวูเฉิน เล่งหยามองไปที่เขาเช่นกัน เย่หวูเฉินมองตรงไปข้างหน้า สีหน้าและแววตามิได้ผิดหวังหรืองุนงง หากเต็มไปด้วยความตื่นเต้นที่ไม่อาจอธิบาย

“ท่าน.... เป็น.... ใคร!!”

มองความว่างเปล่าที่อยู่ตรงหน้า เอ่ยถามสามคำคล้ายเสียงสั่น ขณะเดียวกันไม่ทราบว่าเจตนาหรือไม่ เขายกมือขึ้นทาบตรงตำแหน่งหัวใจที่กำลังเต้นกระหน่ำบ้าคลั่งไม่ต่างจากกลอง

เขาเองก็เหมือนฉู่จิงเทียนและเล่งหยา คือมองเห็นเพียงอากาศว่างเปล่า ทว่าพลังจิตใจที่กระเพื่อมบ้าคลั่งไม่เคยหลอกลวงเขา เบื้องหน้ามีคนอยู่ เป็นคนที่พวกเขาไม่อาจมองเห็น.... ไม่ บางทีนั่นอาจไม่ใช่คนแต่เป็นเทพ

ดำรงอยู่ที่นี่ บางทีอาจเป็นเทพแห่งบททดสอบในตำนาน มนุษย์ไม่อาจมองเห็นสมควรเป็นเรื่องถูกต้อง ทว่าเหตุใดพลังจิตใจจึงกระเพื่อมรุนแรงอย่างไม่เคยเป็น กระทั่งตอนที่เย่หมิงมาถึงยังไม่รุนแรงถึงเพียงนี้ รุนแรงถึงขั้นสติแทบแตกกระเจิง....

“....ไม่คิดว่าเจ้าจะมองเห็นข้าได้ ไม่เลว.... ดูท่าเจ้ายังพอมีหวังเล็กน้อย ในการผ่านบททดสอบของข้า!”

อากาศว่างเบื้องหน้าพลันมีเสียงแหบพร่าดังก้องออกมา เสียงนี้ทำให้ฉู่จิงเทียนสะดุ้งเฮือก เล่งหยาพลันมุ่นหัวคิ้วลง.... การปกปิดตัวตนอาจไม่นับเป็นสิ่งใด แต่ถึงขั้นปกปิดตัวตนได้ในอากาศว่าง ทำให้พวกเขาไม่อาจตรวจจับตัวตน สามารถอธิบายได้คำเดียวว่า ‘เหลือเชื่อ’

ที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นก็คือ ทั้งที่เขาเปล่งเสียงออกมา แต่พวกเขายังคงไม่อาจตรวจพบตัวตนได้ ไม่อาจหาตำแหน่งของคนผู้นี้.... รู้สึกเพียงรางๆว่าเสียงดังมาจากเบื้องหน้า.... ทว่าเบื้องหน้าก็ยังคงว่างเปล่า.... ปกปิด? หรือว่าเขาบรรลุถึงระดับในตำนานที่เรียกว่า ‘ล่องหน’!

“ท่านเป็นใคร!” เย่หวูเฉินระงับลมหายใจ ถามออกไปด้วยเสียงต่ำ ตอนนี้เขาสงบลงจากเมื่อครู่มาก

เบื้องหน้าพลันปรากฎบุคคลผู้หนึ่ง แววตาของคนทั้งสามแปรเปลี่ยนทันที คนผู้นี้ออกมาจากอากาศว่างจริงๆ ราวกับเดินออกจากประตูล่องหน เขาเคลื่อนเท้าออกมาช้าๆ เสียงเท้ากระทบพื้นดังก้องอยู่ในหัวใจของพวกเขา

บุรุษชุดดำ

ร่างกายสูงโปร่ง แววตากร้าวแกร่งดุจประกายสายฟ้า ทั้งร่างสวมใส่อยู่ในชุดดำ ใบหน้าสวมหน้ากากดำปิดบังไว้ คู่รองเท้าเป็นสีดำ มือสองข้างล้วนสวมถุงมือดำ ศีรษะสวมหมวกดำปิดคลุมเส้นผมและคิ้วไว้ ไม่มีสิ่งใดโผล่ออกมานอกจากคู่ดวงตา ภาพที่เห็นล้วนไม่ต่างจากโจรที่สวมชุดย่องราตรี

ทว่าคู่ดวงตาที่โผล่ออกมานั้น ทำให้คนทั้งสามที่เห็นเพียงปราดตาพลันรู้สึกอึดอัดจนยากจะหายใจ....

“ข้าเป็นใครงั้นรึ? ในเมื่อพวกเจ้ามาที่นี่ ย่อมต้องหวังไปยังทวีปเทวะ บุคคลที่อยู่บนนี้ ย่อมเป็นคนที่พวกเจ้าต้องผ่านการทดสอบ....” เขาหยุดยืนและมองมาอย่างสงบ “เข้ามา เอาชนะข้า แล้วข้าจะส่งพวกเจ้าไปยังสถานที่ที่พวกเจ้าปรารถนา”

สิ้นเสียงจบลง กลุ่มแสงทมิฬได้ระเบิดออกจากร่างของเล่งหยา ประกายสีเขียวล้ำลึกดุจดวงตาอสรพิษตวัดอยู่ในมือ พลิกร่างครั้งเดียวก็ปรากฎตัวอยู่เบื้องหน้าบุรุษชุดดำ คมกระบี่ถูกส่งตรงไปที่ลำคอ

เย่หวูเฉินไม่ขัดขวาง แม้เขาคิดไว้แล้วว่าบุคคลที่จัดบททดสอบนี้ต้องทรงพลังอย่างน่ากลัว และแรงกดดันที่เขาสัมผัสได้หนักหน่วงอย่างยิ่ง ทว่าบททดสอบนี้อย่างไรก็ไม่ควรเกินขอบเขตของแปดเทพขุนพล ด้วยพลังเหนือเทพของเล่งหยาที่รับมาจากชาหลัว การโจมตีนี้ย่อมทดสอบความแข็งแกร่งของชายชุดดำลึกลับได้เป็นอย่างดี....

ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้น ได้ทำลายการคาดเดาของเขาลงอย่างสิ้นเชิง

เล่งหยาหยุดนิ่งอยู่ตรงหน้าชายชุดดำ เขาไม่ได้เคลื่อนไหว กระบี่คร่าสายลมแทงผ่านนิ้วของชายชุดดำ.... ไม่สิ ควรกล่าวว่าชายชุดดำเหยียดนิ้วออกมาธรรมดา คีบกระบี่คร่าสายลมที่พุ่งมาเบื้องหน้า ใช้สองนิ้วหยุดพลังเหนือเทพอันเกรียงไกร ดุจจับงูพิษไว้ก็ไม่ปาน

ม่านตาของเล่งหยาเบิกกว้าง เย่หวูเฉินตกตะลึงแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง

ระเบิดพลังความมืดแทงกระบี่คร่าสายลมฉับพลัน.... การโจมตีถึงปานนี้ กระทั่งแปดเทพขุนพลยังต้องหลบหลีก ขุนพลศักดิ์สิทธิ์ยังไม่มีทางรับไว้ด้วยวิธีเดียวกัน แต่ชายผู้นี้กลับ.... ไร้รอยเลือดใดๆในมือ ถุงมือที่คลุมนิ้วไว้ไร้รอยฉีกขาดใดๆทั้งสิ้น ราวกับว่านี่ไม่ใช่การโจมตีสุดกำลังของเล่งหยา แต่เป็นกลุ่มสำลีที่กระทบนิ้ว....

เล่งหยาชะงักงันอยู่ตรงนั้น บนศีรษะท่วมด้วยเหงื่อเย็น มิใช่เขาตกใจจนไม่อาจขยับตัว แต่เป็น.... พลังมหาศาลอันเหลือเชื่อได้ตรึงกระบี่คร่าสายลมไว้ ไม่ว่าเขาออกแรงเพียงใด ก็ล้วนไม่อาจถอนกระบี่ออกได้

นี่มัน.... พลังอะไรกัน!

ชายชุดดำหรี่ตาลงเล็กน้อย ในปากเปล่งเสียงแหบพร่า “กระบี่สั้นที่ดี แต่พลังแค่นี้หวังไปยังทวีปเทวะ ช่างนับว่าไม่ประมาณตน กลับไปฝึกใหม่อีกหมื่นปี” เขาปล่อยมือออกและดีดนิ้วใส่อากาศว่าง

เปรี้ยง!!!!

เพียงดีดนิ้วธรรมดา อากาศโดยรอบพลันกลายเป็นพายุคลั่ง.... นี่ไม่ใช่เพียงธาตุลมธรรมดา แต่เป็นธาตุลมที่ถูกพลังควบกลั่นในฉับพลัน กระแสลมพุ่งตรงไปยังเล่งหยา ทะลวงผ่านพลังป้องกันของเย่หวูเฉินและฉู่จิงเทียนอย่างง่ายดาย เพียงพริบตาเดียว ทั้งสามคนได้ถูกพัดปลิวลอยละลิ่ว.... หลุดออกจากขอบหอคอย และร่วงลงไปลึกเบื้องล่าง

“เซียงเซียง!”

ถูกกระแทกจนไม่อาจรวบรวบพลังอยู่ชั่วขณะ เย่หวูเฉินตะโกนเรียก ‘เซียงเซียง’ ในขณะที่ร่วงหล่น แสงขาวสว่างวาบ ทั้งสามคนกลับมาอยู่บนยอดหอคอยอีกครั้ง เย่หวูเฉินโงนเงนเล็กน้อยก่อนยืนได้มั่นคง สีหน้าซีดขาวลงบ้าง ทว่าฉู่จิงเทียนหล่นนั่งลงกับพื้นทันที อ้าปากหอบหายใจหนักหน่วง เล่งหยากุมกระบี่คร่าสายลมไว้ในมืออันสั่นเทา ไม่ระเบิดพลังพุ่งออกไปโจมตีเหมือนเมื่อครู่

แข็งแกร่งเกินไป คนผู้นี้ทรงพลังเกินไปแล้ว เหนือล้ำความเข้าใจของพวกเขา เกินกว่าความเข้าใจของชาหลัว จากความทรงจำของชาหลัว เล่งหยาได้ข้อสรุปหนึ่งที่น่าหวั่นกลัว....

กลายเป็นว่า พลังของคนผู้นี้ เหนือล้ำยิ่งกว่าของจักรพรรดิปีศาจแห่งทวีปเทวะ ชาโหวผู้เป็นบิดาของชาหลัว!!

ชายชุดดำยังคงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น นอกจากก้าวเท้าออกจากอากาศว่างแล้ว เขาก็มิได้ขยับเท้าไปทางใด เผชิญหน้ากับคนทั้งสาม เขาไม่จำเป็นต้องขยับเท้า ยามนี้เขากล่าวอย่างไร้อารมณ์ “พลังตัดมิติ? พวกเจ้ากลับมาหาที่ตายอย่างนั้นรึ?”

คิ้วของเย่หวูเฉินขมวดแน่น สายตาจับจ้องที่ชายชุดดำเป็นเวลานานก่อนกล่าวช้าๆ “ท่าน ไม่ใช่ผู้ที่อยู่เฝ้าบททดสอบนี้....”

“โอ้?” แววตาของชายชุดดำไหววูบ จับจ้องที่เย่หวูเฉินด้วยสายตาสนอกสนใจ

“แม้การแสดงท่าทีของท่านเป็นธรรมชาติมาก หากยังคงมีพิรุธอยู่หลายส่วน.... ประการแรก หลายปีนับไม่ถ้วนที่ผ่านมา พวกเราสามคนสมควรเป็นกลุ่มแรกที่มาถึงบนนี้ หากท่านคือผู้ที่เฝ้าอยู่บนยอดหอคอยเพื่อทดสอบ ท่านย่อมรู้สึกโดดเดี่ยวที่ต้องอยู่ตามลำพังมานับปีไม่ถ้วน เมื่อมีคนปรากฎตรงหน้าท่านสมควรดีใจ สมควรต้องการให้มีคนเป็นเพื่อน.... แต่ท่านกลับไม่ลังเล เอาชนะและขับไล่พวกเราทั้งสามโดยตรง....”

“โอ้” ชายชุดดำหัวเราะ รอฟังเขากล่าวต่อ

“ประการที่สอง นี่คือน้ำเสียงปลอมของท่านอย่างเห็นได้ชัด ท่านสมควรต้องการปิดบังบางอย่าง แม้เสียงของท่านจะแหบพร่า ทว่ามิได้ผิดเพี้ยนแม้แต่น้อย เมื่อคนผู้หนึ่งไม่ได้กล่าวคำมานับปีไม่ถ้วน ต่อให้คนผู้นั้นเป็นเทพ เขาย่อมไม่อาจกล่าวคำได้อย่างราบรื่น ประการที่สาม....” สายตาของเย่หวูเฉินกลายเป็นคมกล้า จ้องตรงไปที่ดวงตาของชายผู้นั้น “แม้ท่านปิดบังตนเองเป็นอย่างดี ทว่ายามที่ท่านมองข้าสายตากลับแปรเปลี่ยน แววตาของผู้คนไม่เคยโกหกใคร.... แววตาของท่านได้บอกว่า ท่านเคยพบข้า!”

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า” ชายชุดดำปรบมือหัวเราะร่า เขาเคลื่อนเท้าในที่สุด ค่อยๆเดินตรงมาที่เย่หวูเฉิน “ไม่เลว ไม่เลว ถือว่าเจ้าพูดได้ดีอยู่บ้าง.... เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะบอกเจ้าก็ได้ ข้าไม่ใช่เทพที่เฝ้าด่านทดสอบในสถานที่นี้  จริงๆแล้ว ก่อนหน้านี้ เคยมีเทพตนหนึ่งเป็นบ้าอยู่ที่นี่ เพราะมันเฝ้าด่านทดสอบอย่างโดดเดี่ยวมานานเกินไป ข้าจึงช่วยมันให้หลุดพ้น.... ดังนั้น ตรงนี้จึงมีเพียงข้าเท่านั้น.... เป็นเทพแห่งบททดสอบ หากเจ้าหวังไปเยือนยังทวีปเทวะ จะต้องผ่านความเห็นชอบของข้าก่อน!!”

“ในเมื่อเทพแห่งบททดสอบที่แท้จริงได้ตายไปแล้ว เหตุใดพวกเราต้องผ่านการทดสอบของท่านด้วย.... ท่านต้องการอะไรกันแน่?” เย่หวูเฉินมุ่นหัวคิ้วถาม.... ไม่ว่าชายชุดดำตรงหน้าจะเป็นใคร.... เขากลับรู้สึกว่าชายชุดดำผู้นี้กำลังตั้งใจรอคอยพวกเขา.... หรืออาจกำลังรอเขาอยู่ ชายผู้นี้แข็งแกร่งเกินไป สามารถสังหารเทพแห่งบททดสอบที่แท้จริงได้ หมายความว่าชายผู้นี้มีพลังเหนือล้ำกว่าเขาไปห่างไกล อีกความหมายหนึ่งก็คือ บททดสอบเพื่อไปยังทวีปเทวะนี้ ย่อมยากเย็นขึ้นอีกหลายเท่า

พลังที่ชายผู้นี้แสดงออกมา.... บ่งบอกว่าการเอาชนะเขาคือเรื่องที่เป็นไปไม่ได้! ไม่มีหวังต่อให้ใช้โชคใดๆ....

“หึๆ ถามได้ดี” ชายชุดดำหัวเราะ ทว่าแววตายังคงสงบนิ่งไร้ระลอก เขาเหยียดนิ้วออกมาชี้ที่เย่หวูเฉินและพวกอีกสองคน “ทำไมพวกเจ้าต้องผ่านบททดสอบของข้าน่ะหรือ?.... นั่นเพราะข้าแข็งแกร่งกว่าพวกเจ้า! เพราะข้าตัดสินความเป็นตายของพวกเจ้าได้! เป็นผู้เดียวที่สามารถส่งพวกเจ้าไปยังทวีปเทวะ.... ดังนั้น ข้าจึงกำหนดชะตาของพวกเจ้าได้ตามอำเภอใจ ตัดสินได้ว่าจะส่งพวกเจ้าไปยังทวีปเทวะหรือไม่ ทุกสิ่งที่ข้ากระทำไม่จำเป็นต้องมีเหตุผล เพราะพลังอันเหลือล้นของข้าคือเหตุผล เจ้าเข้าใจหรือไม่!!”

พลัง....

พลังอันเหลือล้น....

ใช่แล้ว นี่คือคำตอบ เป็นคำตอบที่ไม่อาจมีผู้ใดปฏิเสธ เพราะครองพลังในมือ เขาจึงกำหนดทุกอย่างได้ตามใจนึก สร้างกฎเกณฑ์ทุกอย่างได้ตามที่ต้องการ....

“เจ้ามีสติปัญญาเลิศล้ำ ใช้เวลาเพียงไม่กี่ปี สำนักจักรพรรดิใต้และสำนักจักรพรรดิเหนือที่แกร่งกล้าสูงสุดในทวีปเทียนเฉินได้ตกอยู่ในมือเจ้า ทุกการเคลื่อนไหวในทวีปเทียนเฉินไม่อาจหลุดรอดจากสายตาเจ้า เจ้ากลายเป็นราชันไร้ต้านในทวีปเทียนเฉิน เพื่อบรรลุถึงขั้นนี้ สิ่งที่เจ้าอาศัยคือโชคสามส่วน หกส่วนคือสติปัญญา และอีกหนึ่งส่วนคือพลัง.... หึๆ ไหนเจ้าลองใช้สติปัญญาเอาชนะข้าในตอนนี้ ทำให้ข้าส่งเจ้าไปยังทวีปเทวะ.... ฮ่าๆๆ!”

เย่หวูเฉินยังคงสงบนิ่ง กล่าวถ้อยคำราบเรียบธรรมดา “....ท่านกำลังจะบอกว่า สิ่งที่ข้าจำเป็นอย่างยิ่งคือพลังอย่างนั้นหรือ?”

เห็นสีหน้าของเขาไม่ได้เปลี่ยนไป ชายชุดดำจึงสงบลงเล็กน้อย เขายิ้มกล่าว “ดูเหมือนคงไม่ต้องให้ใครบอกเจ้า เฮอะ เจ้าเหมือนคนที่มั่นใจในสติปัญญาของตัวเองจนเกินตัว ถึงขนาดดึงดันไปยังทวีปเทวะเพื่อแส่หาความตาย”

เย่หวูเฉินสั่นศีรษะ ลดหัวคิ้วลงกล่าว “ดูเหมือนท่านไม่เพียงรู้จักข้าเท่านั้น แต่ยังรู้จักข้าดีด้วย.... สติปัญญา? มีสติปัญญามากแล้วทำอันใดได้ ข้าไม่อาจปกป้องคนสำคัญที่อยู่ข้างกาย.... สิ่งที่ข้าโหยหามากที่สุดคือพลัง พลังที่สามารถเหยียบย่ำมนุษย์ เทพ ปีศาจ และกระทั่งท่านเอาไว้ใต้เท้า!”

“โอ้? ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า.... เหยียบย่ำข้าเอาไว้ใต้เท้าอย่างนั้นรึ? มีความมุ่งมั่นดี.... แต่เจ้าเอาความมั่นใจมาจากไหน หรืออาศัยเพียงพลังน่าหัวร่อของเจ้าที่ในสายตาข้าล้วนไม่ต่างจากขี้ผง? ข้าฆ่าเจ้าได้โดยขยับเพียงนิ้วมือเดียว ชาวทวีปเทวะฆ่าเจ้าได้โดยยกหนึ่งฝ่ามือ คนฉลาดอย่างเจ้า ที่แท้ก็เป็นเพียงคนโง่เง่าน่าหัวร่อ” ชายชุดดำแค่นเสียงกล่าว

“ข้าไม่เคยเสียใจในความ ‘โง่เง่า’ ของตัวเอง!” เย่หวูเฉินสั่นศีรษะช้าๆ ในดวงตาวาบเป็นประกาย “อีกอย่างหนึ่ง.... ท่านเองก็ไม่ใช่ตัวจริง แต่เป็นร่างที่ฉายขึ้นจากพลังวิญญาณ! ตัวจริงของท่าน.... คือใครกันแน่?”

ประกายแบบเดียวกันวาบขึ้นในดวงตาของชายชุดดำ เขาเหยียดยิ้มขึ้น “โอ้?”



<<<PREV    .    NEXT>>>