วันอังคารที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 512

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 512 หกเทพขุนพล

ปราสาททองคำตั้งอยู่ตรงใจกลางวิหารเทวะ ร่างขนาดใหญ่หลายร่างในชุดเกราะหนักต่างสีสันกำลังพูดจาเหยียดหยันคนอื่น ปราณปีศาจแกร่งกล้าทะลวงผ่านประตูสวรรค์หวงห้าม.... ทั้งที่มีเทพคุ้มกันนับไม่ถ้วนประจำอยู่ สีหน้าของของพวกมันมิได้โกรธเกรี้ยวหรือร้อนใจแม้แต่น้อย กลับกันมีแต่ความตื่นเต้นและเหยียดหยัน ราวกับเห็นของเล่นฆ่าเวลาถูกจัดส่งมาให้ถึงที่

มีทั้งหมดหกบุคคล ผู้ที่ต่ำสุดสูงกว่าสองเมตร ผู้ที่สูงสุดสูงมากกว่าสามเมตร พวกมันเผยความโอหังโดยไม่ปิดบัง อีกทั้งยังแผ่แรงกดดันอันหนักหน่วง เพียงอยู่ต่อหน้าก็ชวนให้อึดอัดจนแทบไม่อาจหายใจ ราวกับถูกภูเขาทั้งลูกทับไว้

พวกมันมีนามว่า ฉิงเทียน , ฝาเทียน , ฮุ่นเทียน , เฟิงเทียน , หยางเทียน และ ตั๋วเทียน

เล่งหยาที่พุ่งสู่ใจกลางวิหารเทวะพลันหยุดร่างลงทันที มือขวากุมกระบี่คร่าสายลมไว้มั่น แววตาดุจหมาป่าจับจ้องยังหกบุคคลที่อยู่ตรงหน้า ฉู่จิงเทียนรีบปรับความเร็วตัวเองเพื่อหยุดร่าง เนื่องจากเล่งหยาหยุดร่างกะทันหัน ทำให้เขาเกือบร่วงลงพื้นด้วยแรงเฉื่อย พอยืนร่างได้มั่นคงดีแล้ว คนกำลังจะเอ่ยถามหัวใจก็ต้องกระตุกวูบ รีบหันศีรษะไปทางหกบุคคลที่อยู่ตรงหน้า ม่านตาหดลีบอย่างฉับพลัน

แข็งแกร่ง.... คือคำแรกที่ผุดขึ้นหลังจากเห็นบุคคลทั้งหก นี่คือกลุ่มคนทรงพลังสูงสุดที่พวกเขาได้เห็นตั้งแต่มาถึงที่นี่.... แต่ละคนทำให้หัวใจสั่นสะท้านอย่างไม่อาจอดได้

หกเทพขุนพล!

“หืม? ไม่ได้มีเพียงปีศาจ แต่ยังมีอีกหนึ่งตัวที่ไม่รักชีวิต.... เฮอะ สรุปแล้วมีแมลงสองตัว”

เพียงไม่นานนัก เหล่าเทพคุ้มกันได้ตามมาถึง พร้อมปิดล้อมไว้อย่างรวดเร็ว หนึ่งในหกคนนั้นเหยียดยิ้มและกล่าว “ถอยออกไป ที่นี่ไม่จำเป็นต้องใช้พวกเจ้า”

เสียงของมันมีพลังบางอย่างที่ไม่อาจต่อต้าน กลุ่มเทพคุ้มกันที่ล้อมอยู่ไม่ลังเลอีก รีบถอยออกไปอย่างเป็นระเบียบทันที เพียงพริบตาเดียวก็ไม่มีใครหลงเหลืออยู่อีก

“พวกเจ้าสมควรรู้สึกเป็นเกียรติ” บุรุษในชุดเกราะเหลืองเปล่งเสียงทรงอำนาจ “หากไม่ใช่เพราะวันนี้ พวกเราทั้งหกย่อมไม่มีทางรวมตัวกันได้.... ครั้งสุดท้ายที่พวกเรารวมตัวกันคือเมื่อ 700 ปีก่อน ได้รับการทักทายจากพวกเราทั้งหกคน แมลงสองตัวอย่างพวกเจ้า นับว่าได้ตายอย่างทรงเกียรติแล้ว”

“ไม่เลว ไม่เลว เหนือกว่าที่ข้าคิดไว้เสียอีก กระทั่งข้ายังเริ่มสนใจบ้างแล้ว”

เทพขุนพลล้วนหยิ่งผยอง ทว่าไม่มีผู้ใดโง่เง่า ฉู่จิงเทียนสัมผัสพลังแกร่งกล้าของพวกมันได้ ทว่าพวกมันไม่รู้สึกถึงแรงกดดันใดๆจาก ‘แมลงเล็กๆ’ สองตัวที่ยังหนุ่มแน่นนี้ พวกมันมีชีวิตมาหลายร้อยหลายพันปี และจิตสัมผัสของพวกมันห่างไกลจากมนุษย์ธรรมดามากนัก

แต่ไม่รู้สึกถึงแรงกดดันใดๆ มิได้หมายถึงไม่รู้สึกถึงภัยคุกคาม ตรงกันข้าม พวกมันเริ่มคิดว่าการละเล่นต่อจากนี้น่าสนใจกว่าที่คิดไว้มากนัก.... สองบุรุษเยาว์วัยกลับมีพลังที่พวกมันต้องหันมอง ตอนนี้พวกมันเริ่มคิดว่าแมลงเล็กๆสองตัวนี้คู่ควรให้พวกมันประเมินค่า

“ข่าวการปลุกเทพลึกลับได้ประกาศออกไปนานแล้ว เผ่าพันธุ์ปีศาจของเจ้ากลับตอบสนองได้ช้านัก ทำให้พวกเราต้องผิดหวัง อย่างไรก็ตาม คิดไม่ถึงจะมีเพียงพวกเจ้าที่บุกเข้ามา เผ่าพันธุ์ปีศาจของพวกเจ้าไม่มีปีศาจดีๆอีกแล้วรึ?”

พวกมันสัมผัสปราณปีศาจได้จากตัวของเล่งหยา แต่ว่าไม่อาจสัมผัสได้จากตัวของฉู่จิงเทียน แม้นี่ทำให้พวกมันสงสัย แต่ก็ไม่อาจขัดขวางให้พวกมันสรุปว่าฉู่จิงเทียนเป็นพวกเดียวกับปีศาจ

“ระวัง” เล่งหยากระซิบเสียงต่ำ พลังแกร่งกล้าของหกเทพสร้างปัญหาให้เผ่าพันธุ์ปีศาจอย่างมาก เพราะการปรากฎตัวของพวกมัน เทพคุ้มกันทั้งหมดจึงถอยออกไปโดยไม่ลังเล เนื่องจากไม่มีใครหลุดรอดจากหกเทพขุนพลได้ แม้เทพขุนพลทั้งหกหัวเราะร่าขณะคุยกัน แต่จิตสัมผัสล้วนติดตรึงที่พวกเขา ปิดกั้นทุกทางหนีทีถอย หากพวกเขาขยับกาย พวกมันจะลงมือทันที

แปดเทพขุนพลคือหัวหน้าระดับสูงสุด ควบคุมเหล่าเทพทั้งแปดทิศแห่งทวีปเทวะ ธรรมดาจะไม่เห็นพวกมันในวิหารเทวะ ยิ่งยากที่จะเห็นพวกมันมารวมตัวกัน ไม่คิดฝันว่าวันนี้ พวกเขาจะได้พบเทพขุนพลทั้งหกพร้อมกัน ไม่ทราบว่านี่โชคดีหรือโชคร้าย แต่เห็นได้ชัดว่า พวกมันมองพวกเขาเป็นเพียงของเล่นฆ่าเวลาเท่านั้น

“อืม” ฉู่จิงเทียนตอบกลับคำหนึ่ง บนหน้าผากผุดท่วมด้วยเหงื่อเย็น เทพขุนพล ในอดีตเพียงหนึ่งตนก็ทำลายสำนักจักรพรรดิใต้จนราบคาบ บีบคั้นเย่หวูเฉินจนเกือบตกตาย หากไม่ใช่เพราะมันบาดเจ็บจากแผนของเย่หวูเฉิน ทวีปเทียนเฉินทั้งหมดคงไม่อาจต่อต้าน ยอดฝีมือปานนี้ไม่มีทางปรากฎอยู่ในทวีปเทียนเฉิน เป็นพลังสุดขั้วที่มนุษย์ไม่มีวันไปถึง.... และเบื้องหน้าของพวกเขา กลับมีอยู่ถึงหกคน

จุดจบของชะตา ดูเหมือนมาถึงรวดเร็วเกินไปนัก

ฉิงเทียน : “น่าเบื่อจริงๆ มีแมลงไม่รักชีวิตเพียงสองตัวเท่านั้น.... จบกัน มีแค่สองตัวแล้วจะแบ่งกันยังไง?”

ฝาเทียน : “เฮ้ แมลงเล็กๆ สองตัวนี้สมควรไม่ใช่แมลงธรรมดา เกรงว่าเจ้าคงไม่อาจรับประทานได้”

ฮุ่นเทียน : “เฮอะ! แบบนี้สิดี จะได้ใช้เล่นนานๆ บางทีอาจฆ่าเวลาจนเทพลึกลับตื่นขึ้นมาก็เป็นได้”

เฟิงเทียน : “เลิกพล่ามซะทีเถอะ ตามกฎโบราณ ผู้ใดชนะได้ก็เอาไป”

ถึงคราวต้องตกลงกันแล้ว เทพขุนพลทั้งหกมองลูกแกะตัวอ้วนด้วยแววตาหิวกระหาย จับจ้องที่ฉู่จิงเทียนและเล่งหยา ทว่าการเคลื่อนไหวต่อมา เกือบทำให้ฉู่จิงเทียนต้องร่วงลงพื้น

“เป่ายิ้งฉุบ!”

“เป่ายิ้งฉุบ!”

“เป่ายิ้งฉุบ....”

ฉิงเทียน และ ฝาเทียน ยื่นสองนิ้วเป็นรูปกรรไกร ขณะที่เทพอีกสี่ที่เหลือกางมือเป็นรูปกระดาษ....

หยางเทียนเบ้ปาก “เฮอะ พวกเจ้าเอาไป แต่อย่าได้จบเร็วนัก ให้พวกเราได้ชมเรื่องสนุกนานๆก่อน” ว่าแล้วชายชุดเขียวก็สะบัดชุดเดินออกไป นั่งลงบนพื้นด้านหนึ่ง เตรียมรอชมการแสดง เฟิงเทียน , ตั๋วเทียน และฮุ่นเทียน เดินตามมาและนั่งลงอย่างไร้อารมณ์ ผู้ชนะจะได้สู้ ผู้แพ้จะต้องนั่งดู ฝ่ายตรงข้ามมากันเพียงสองคน พวกมันย่อมลงมืออย่างมากเพียงสองคนเท่านั้น นอกจากเจอศัตรูที่แข็งแกร่งระดับขุนพลศักดิ์สิทธิ์ พวกมันจึงจะร่วมมือกัน ไม่อย่างนั้นต่อให้ชนะได้ ก็นับเป็นความอัปยศอันใหญ่หลวง โดยเฉพาะฝ่ายที่อยู่ตรงหน้าเป็นเพียงแมลงตัวจ้อยเท่านั้น

เล่งหยาและฉู่จิงเทียนหันมองกัน แววตาของพวกเขาล้วนเด็ดเดี่ยวไม่กลัวตาย ในเมื่อไม่มีทางให้หนีอีก เช่นนั้นก็มาสู้.... หากเผชิญหน้าหนึ่งต่อหนึ่ง พวกเขาเชื่อว่ายังพอมีทางสู้ได้

“อืม แบ่งกันยังไงดี” ฝาเทียนชี้นิ้วสลับไปมาที่เล่งหยาและฉู่จิงเทียน สีหน้าครุ่นคิด

ฉิงเทียนยกยิ้มอย่างไร้อารมณ์ “งั้นเจ้าเป็นคนเลือกก่อน แต่ต้องให้ข้าเริ่มสู้เป็นคนแรก เพราะข้าไม่ชอบรอนาน”

“โอ้ ไม่มีปัญหา” ฝาเทียนเคลื่อนนิ้วไปมาและหยุดที่เล่งหยา “ข้าเลือกเจ้าแมลงปีศาจตนนี้ เจ้าเอาอีกคนไป.... จบให้ไวหน่อยก็แล้วกัน ปีศาจเล็กๆตนนี้ ข้าอยากเล่นกับมันให้นานๆ”

“ย่อมได้”

ฉิงเทียนคลายมือที่กอดอก ยกเท้าเดินตรงไปเบื้องหน้า ใบหน้าพาดผ่านด้วยรอยยิ้มอำมหิต จับจ้องฉู่จิงเทียนที่คล้ายแข็งทื่อ เล่งหยาท่าทีแกร่งกร้าวขึ้นทันใด ทว่าฉับพลันที่ข้างหูมีเสียงทะมึนของฝาเทียนดังขึ้น “เจ้าแมลงปีศาจตัวจ้อย คู่ต่อสู้ของเจ้าคือข้า จงรออยู่ดีๆสักครู่หนึ่ง ไม่อย่างนั้น หากทุกอย่างจบลงในคราเดียวคงน่าเบื่อแย่”

เล่งหยาเคลื่อนสายตามอง นิ่งงันอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดเลือกถอยออกไป ในมือยังคงกุมกระบี่คร่าสายลมไว้แน่น พร้อมตวัดคมกระบี่สังหารได้ในทุกเวลา เขารู้ว่าหากตนเองเคลื่อนไหว ฝาเทียนย่อมเคลื่อนไหวตาม หากฉู่จิงเทียนเอาชนะได้ก็นับว่าดี แต่หากเพลี่ยงพล้ำ เขาจะลงมือทันที

นอกจากนั้น เวลา.... ยังกระชั้นเข้ามาทุกขณะ วิกฤตใหญ่หลวงกำลังใกล้เข้ามา สุดท้ายจะถึงจุดที่ไม่อาจไถ่ถอนคืนได้

“เจ้าแมลง จงบอกนามของเจ้ามา ได้ตายในมือเทพผู้นี้ ถือเป็นเกียรติยศสูงสุดของเจ้าแล้ว” ใบหน้าของฉิงเทียนหยาบกร้านอย่างมาก รอยยิ้มเจ้าเลห์แฝงความอำมหิต เทพขุนพลหยิ่งผยอง , ลำพองตน , และอารมณ์ร้อนไม่ว่าตนใด ไม่มีผู้ใดข้ามหัวพวกมันได้ ด้วยพลังแกร่งกล้าของพวกมัน ทำให้ไม่มีเทพธรรมดาตนใดในทวีปเทวะกล้าล่วงเกินพวกมัน หลายร้อยหลายพันปีผ่านไป นิสัยด้านนี้ของพวกมันจึงยิ่งแสดงออกมาอย่างเห็นได้ชัด

ฉู่จิงเทียนไม่กล่าวตอบ หรี่ตาลงกึ่งหนึ่ง ปรับระงับลมหายใจ จนกระทั่งปัดเป่าความกังวลในใจลงได้ ลมหายใจกลายเป็นราบเรียบ อารมณ์กลายเป็นแจ่มกระจ่าง เขาไร้ความกังวลใดๆอีก สติและหัวใจ กลายเป็นเพียงกระบี่อันคมกล้า....

การเปลี่ยนผันของไอปราณรอบร่างฉู่จิงเทียน ทำให้เทพขุนพลทั้งหกหันมองกัน สีหน้าแสดงความสนใจอย่างยิ่งยวด

ฉู่จิงเทียนยังคงหลับตาอยู่กึ่งหนึ่ง ยกมือทั้งสองคว้าจับที่เบื้องหลัง ค่อยๆดึงกระบี่ชางหมิงที่ไม่เคยห่างกายออกมา  แสงฟ้าครามต้องสะท้อน กระบี่ยาวสีครามถูกชูขึ้น ปลายกระบี่ชี้ชูขึ้นฟ้า แม้ตอนนี้เขาไม่จำเป็นต้องใช้กระบี่จริงอีกต่อไป เพราะเขาสามารถเปลี่ยนทุกสิ่งให้กลายเป็นกระบี่ได้ ทว่ากระบี่ชางหมิงคือสหาย หากวันนี้คือการต่อสู้ครั้งสุดท้าย เขาก็ขอต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับกระบี่ชางหมิง!

“โอ้? กระบี่ชางหมิง”

ดวงตาที่หรี่อยู่ของฉู่จิงเทียนพลันเบิกกว้าง เพราะฉิงเทียนกลับเรียกชื่อของกระบี่นี้ได้อย่างถูกต้อง

“เจ้าเป็นชาวทวีปเทียนเฉินอย่างนั้นรึ?” หลังจากชะงักเล็กน้อย รอยยิ้มบนใบหน้าของฉิงเทียนได้พลันหายไป แทนที่ด้วยความประหลาดใจล้ำลึก ถ้อยคำนี้ทำให้เทพขุนพลทั้งห้าสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อยเช่นเดียวกัน

ทวีปเทียนเฉิน? ทวีปที่มีพลังเบาบางยิ่ง สถานที่อาศัยของมนุษย์ที่อ่อนแอและต่ำต้อย? เหตุใดดินแดนแบบนั้นถึงปรากฎแมลงตัวจ้อยที่ทรงพลังปานนี้ได้? แม้พวกมันไม่พบปราณปีศาจจากร่างของฉู่จิงเทียน แต่พวกมันล้วนไม่คิดว่าฉู่จิงเทียนเป็นคนของทวีปเทียนเฉิน.... ไม่เพียงทวีปเทียนเฉินมีพลังเบาบาง จนไม่อาจส่งผู้คนให้บรรลุพลังระดับนี้ได้ แต่ชาวทวีปเทียนเฉินยังไม่มีเหตุผลใดๆ ให้ต้องบุกมายังวิหารเทวะอย่างโง่เขลาเช่นนี้

“ฉิงเทียน เมื่อคืนเจ้าไม่ควรดื่มให้มากนัก ตอนนี้ยังไม่ยังสร่างเมาละสิท่า” ฝาเทียนกล่าวช้าๆ

แต่ทว่า ถ้อยคำของฉู่จิงเทียนทำให้พวกมันต้องประหลาดใจยิ่งขึ้น เขาขมวดคิ้วกล่าวกับฉิงเทียน “ถูกต้อง ข้ามาจากทวีปเทียนเฉิน.... เหตุใดเจ้าถึงรู้จักชื่อของกระบี่เล่มนี้?”

เทพขุนพลทั้งห้าเงียบงันทันที พวกมันคิดสิ่งใดในใจย่อมพอจินตนาการได้

“โอ้” ฉิงเทียนแค่นเสียงเย็น “ในอดีต เพื่อตามหาองค์หญิงเฮยเย่และองค์หญิงไป่เย่ ข้าต้องเดินทางไปยังดินแดนชั้นต่ำนั้นถึงสามครั้ง ครั้งสุดท้ายคือราว 20 กว่าปีก่อน ข้าได้เห็นกระบี่เล่มนี้และแปลกใจดินแดนชั้นต่ำกลับมีกระบี่เทพปานนี้ได้ ดังนั้นข้าจึงจำนามของมันไว้ ในขณะเดียวกัน ข้าได้พบเจ้าของกระบี่ที่น่าสนใจ ทว่ามันกลับตกตายเมื่อข้าลงมือได้เพียงสามกระบวนท่า มันสมควรเป็นยอดฝีมือระดับสูงสุดในทวีปเทียนเฉินอันต่ำต้อย หากข้าจำไม่ผิด มันผู้นั้นมีชื่อว่า.... ฉู่ชิงหยุน”

ฉู่จิงเทียนตะลึงงันไปชั่วขณะ ก่อนกลายเป็นเหม่อลอย เนิ่นนานที่เขาเหม่อลอยอยู่อย่างนั้น สุดท้ายม่านตาหดวูบลงอย่างฉับพลัน เล่งหยายังยกศีรษขึ้น จับจ้องไปที่ฉิงเทียน

“เจ้า.... เจ้า.... เป็นเจ้า!! เป็นเจ้าที่สังหารพ่อแม่ข้า.... เป็นเจ้า!!”

ถ้อยคำของฉิงเทียนราวกับก้อนหินใหญ่หล่นจากอากาศ ตกกระทบหัวใจทะเลสาบอันสงบนิ่ง ก่อคลื่นขนาดใหญ่จนไม่อาจสงบลงได้อีก



<<<PREV    .    NEXT>>>