วันอังคารที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 499

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 499 จากไปอย่างเงียบงัน

กลับถึงบ้านยามท้องฟ้ากระจ่าง เมื่อก้าวผ่านประตูที่เคยคุ้นกลับไม่อาจสัมผัสถึงความอบอุ่นที่ได้กลับบ้าน ทุกห้วงคำนึงล้วนจดจ่ออยู่ที่หนิงเสวี่ยและทงซินที่อยู่ห่างไกล

“ท่านพ่อ ท่านพี่เขา.... เขา....” เสี่ยวโม่สูญเสียครอบครัวอีกครั้งและได้ร้องไห้สะอึกสะอื้น เย่หวูเฉินลูบผมนาง ปลอบโยนเสียงเบา “เสี่ยวโม่ อย่าร้องไห้เลย.... แม้พี่ชายของเจ้าไม่อยู่แล้ว แต่เจ้ายังมีพ่ออยู่ รวมทั้งพ่อแม่แท้ๆของเจ้า”

“อือ....” เสี่ยวโม่เงยหน้าขึ้น ดวงตาพร่าน้ำจับจ้องนัยน์ตาเขา “ท่านพ่อ ท่านจะไม่ไปจากข้าใช่ไหม?”

เย่หวูเฉินเงียบงัน เขาก้มลงมองดวงตาพร่าน้ำ ยิ้มกล่าวอย่างอ่อนโยน “หลังจากที่ข้ากลับมาแล้ว ข้าจะไม่ไปจากเสี่ยวโม่อีก”

“หลังจากกลับมา....” เสี่ยวโม่กระซิบทวนคำ ลืมร้องไห้สะอึกสะอื้นอีก เพียงถามเสียงแผ่วเบา “ท่านพ่อ จะไปเมื่อไหร่....”

นางทราบดีว่าพ่อของนางอย่างไรก็ต้องไปยังทวีปเทวะ นางจึงไม่เอ่ยทัดทาน เพราะนางทราบดีว่าในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนการตัดสินใจของเขาได้

“วันนี้” เย่หวูเฉินตอบกลับเพียงสองคำ คำตอบนี้มิได้ทำให้เสี่ยวโม่รู้สึกแปลกใจแต่อย่างใด

“ท่านพ่อ ให้ข้าไปด้วยได้หรือเปล่า?” นางถามอย่างวิงวอน

เย่หวูเฉินมองนาง ยิ้มบางขณะสั่นศีรษะ “เจ้ามีเรื่องสำคัญกว่าที่ต้องทำ.... นั่นคือ เมื่อข้ากลับมา ข้าหวังว่าคนแรกที่ได้เห็นจะเป็นเสี่ยวโม่ของข้า”

“อื้ม” แม้นางอยากไปด้วยอย่างมาก แต่นางก็มิได้ดึงดัน ได้อยู่ร่วมกับเขามานานนางจึงเข้าใจเขาดีพอ นางทราบว่าเมื่อเขาตัดสินใจสิ่งใดลงไปแล้วย่อมไม่มีทางต่อต้าน อีกทั้งต่อให้นางติดตามเขาไป นางก็เป็นได้เพียงภาระสำหรับเขาเท่านั้น

“ท่านพ่อ ข้ารู้ ไม่ว่าผู้ใดห้ามปรามท่าน อย่างไรท่านก็ต้องไป.... ข้าจะไม่ทัดทานท่านพ่อ จะไม่ลอบติดตามท่านไป.... แต่ว่าท่านพ่อต้องจดจำถ้อยคำของข้าไว้อย่างหนึ่ง.... หากท่านพ่อเป็นอะไรไป ข้าจะติดตามไปอยู่กับท่าน.... จะขอตายในวันเดียวกัน!”

นางคือปีศาจ ทว่าความรู้สึกและจิตใจของนางนั้นดื้อรั้นยิ่งกว่าเด็กหญิงธรรมดา อันที่จริง นางทราบดีกว่าผู้ใดว่าเย่หวูเฉินแทบไม่มีโอกาสรอดชีวิตกลับมา เขาไม่ได้ไปเที่ยวเล่น แต่ไปเพื่อเป็นศัตรูกับทั้งทวีปเทวะ ไปเพื่อช่วงชิง ‘เครื่องบูชายัญ’ ซึ่งสำคัญที่สุดจากมือพวกมัน เป็นเรื่องหนักหนาที่แม้ทวีปปีศาจผนึกกำลังกันยังไม่อาจบรรลุ

“เด็กโง่เสี่ยวโม่” เย่หวูเฉินลูบใบหน้านางและแหงนมองไปยังท้องฟ้าห่างไกล หากเลือกลืมเลือนหนิงเสวี่ยและทงซิน เขาจะสามารถใช้ชีวิตอย่างอิสระในโลกใบนี้ ไร้สิ่งใดต้องกังวลอีก จะมีผู้คนรายล้อมอยู่รอบกาย.... แต่เขาทำแบบนั้นไม่ได้ ต่อให้มีกระบี่พาดจ่ออยู่ที่ลำคอ เขาก็ไม่อาจทำได้ แต่หากเขาไปทวีปเทวะทั้งแบบนี้ เขาก็แทบไร้โอกาสรอดชีวิตกลับมา เมื่อถึงตอนนั้น ไม่เพียงเขาไม่อาจช่วยหนิงเสวี่ยและทงซินกลับมา แต่เขายังทำให้ผู้คนอีกมากต้องเสียใจไปทั้งชีวิต นี่เป็นตัวเลือกที่เรียบง่ายสำหรับคนอื่น ทว่าเขายังคงยืนกรานเลือกอย่างหลัง.... เพียงอาศัยความหวังอันเลือนราง เพื่อให้หัวใจได้สมบูรณ์

“ท่านพ่อ หากวันหนึ่งข้าถูกคนชั่วช้าจับตัวไปบ้าง ท่านพ่อจะเป็นห่วงข้าเหมือนกันไหม?” เสี่ยวโม่ถามด้วยเสียงแผ่วเบายิ่ง

เย่หวูเฉินหันกลับมา ระงับใจลงและยิ้มกล่าว “แน่นอนสิ เพราะเจ้าคือลูกสาวของข้า”

“อื้ม” คำตอบนี้ทำให้นางยิ้มงมงายออกมาในที่สุด

ในวันนี้ ตระกูลเย่เงียบงันเป็นอย่างมาก และในวันนี้ เย่หวูเฉินได้จากไปโดยไม่บอกกล่าวต่อผู้ใด มีคนมากมายได้รับจดหมายของเย่หวูเฉิน เขาไม่มีหน้าไปพบกับคนเหล่านั้น ไม่ปรารถนาเห็นน้ำตาของพวกเขา.... ไม่ว่าอย่างไร ทางที่เขาเลือกนับว่าเห็นแก่ตัวอย่างยิ่ง

ฮั่วฉุ่ยโหรว : โหรวโหรว ภรรยาที่แสนดีของข้า ข้าต้องไปแล้ว บางทีครั้งนี้ข้าอาจต้องไปนานมาก ไม่รู้ว่าเมื่อใดจะได้กลับมา บางทีอาจเดือนหน้า บางที.... เสี่ยวโหรวโหรวของข้าอาจมีผมขาวบ้างแล้ว แต่ข้ารู้ดี ต่อให้ข้าไปอย่างเห็นแก่ตัวนานเท่าใด โหรวโหรวของข้าก็จะยังรอข้าเสมอ ได้ตบแต่งเจ้าเป็นภรรยานับเป็นวาสนาสูงสุดในชีวิตข้า หากเกิดมาในชีวิตหน้าอีกครั้ง ข้าก็ขอตามหาและตบแต่งเจ้าเป็นภรรยาอยู่ร่วมเคียงชั่วชีวิต.... เมื่อข้าไปแล้ว เจ้าจะคิดถึงข้าทุกวันไหม จะยิ้มแย้มปักผ้าขณะรอคอยข้ากลับมาหรือเปล่า? ความปรารถนาสูงสุดของข้า คือวันที่ข้าได้กลับมาแล้วได้เห็นโหรวโหรวของข้ายิ้มให้กับสามีนาง เย่หวูเฉินของเจ้า

หลงฮวงเอ๋อร์ : ฮวงเอ๋อร์ จักรพรรดินีภรรยาข้า ข้าจำต้องจากไปอย่างเงียบงันเหมือนเมื่อสี่ปีก่อน.... ครั้งที่แล้วข้าหายหน้าไปถึงสามปี ครั้งนี้ ข้าไม่ทราบจะหายไปนานเท่าใด แต่ข้ารับรองได้ นี่คือครั้งสุดท้ายที่ข้าจะแอบไปจากเจ้า จงรอข้ากลับมา และต่อไปพวกเราจะไม่แยกจากกันอีก.... เมื่อข้าไม่อยู่ เจ้าต้องดูแลตัวเองให้ดี หากข้ากลับมาแล้วเห็นเจ้าผ่ายผอมลง ข้าจะปลดชุดเจ้า และตีก้นเจ้าให้หนักมือ....

เย่ฉุ่ยเหยา : พี่หญิง ข้าต้องไปแล้ว ข้าแอบนำรูปดอกบัวคู่บนก้านเดียวที่พี่หญิงวาดไว้นำติดตัวไปด้วย ในวันที่ข้ากลับมา พวกเราจะเป็นดุจดอกบัวขาวคู่นี้ เวลานั้นทั่วหล้าจะรับรู้ว่าท่านคือภรรยาของข้าเย่หวูเฉิน พี่หญิงสมควรรอคอยให้ถึงวันนั้นด้วยรอยยิ้ม....

ชูเกอเสี่ยวหยู : เสี่ยวหยู ข้าทำให้เจ้าต้องรอครั้งแล้วครั้งเล่า ความโง่งมของเจ้า , ความงมงายของเจ้า , ความปราดเปรื่องของเจ้า , ความดื้อรั้นของเจ้า , ความน่ารักของเจ้า , ความยืนกรานของเจ้า.... ทุกสิ่งล้วนมีเสน่ห์ดึงดูดใจข้า ในปีนั้น เมื่อตอนที่เจ้าผู้ไม่เคยร้องไห้ได้หลั่งน้ำตาเพราะข้า ข้าก็ตัดสินใจว่าจะกอดเจ้าไว้ไม่ปล่อยไปจนชั่วชีวิต ไม่คิดเลยว่า ข้ากลับทำให้เจ้ารอคอยอย่างทรมานปีแล้วปีเล่า.... เช่นนั้นแล้ว เจ้ายังปรารนารอคอยข้าเป็นครั้งสุดท้ายหรือไม่? รอคอยข้าอีกครั้ง.... เมื่อถึงวันที่ข้ากลับมา เจ้าจะเป็นภรรยาของข้าเย่หวูเฉิน....

เสวี่ยเฟยเยี่ยน.....

เหยียนกงเยว่.....

เหยียนกงรั่ว.....

ท่านพ่อ ท่านแม่ และท่านปู่.....

ทุกผู้คนที่เขาห่วงใย เขาได้ทิ้งข้อความไว้ก่อนจาก จดหมายแต่ละฉบับไม่ได้ระบุวันเวลากลับไว้ ทุกข้อความทิ้งความหวังให้กับพวกเขาอย่างล้ำลึก ต่อให้เขาไม่กลับมาอีก พวกเขาจะยังคงรักษาความหวังและรอคอยตลอดไป....

สำนักมาร สำนักจักรพรรดิใต้ และสำนักจักรพรรดิเหนือ.... เขาใช้วิธีการเดียวกันวางกฎระเบียบที่ครอบคลุมทุกด้าน ดังนั้น ต่อให้เขาไม่กลับมาอีกนับสิบๆปี ทวีปแห่งนี้ก็จะไม่ปั่นป่วนจากพวกเขา

ลอยตัวอยู่เหนืออากาศสูงลิ่ว มองมายังเมืองเทียนหลงเป็นครั้งสุดท้าย เขาหันศีรษะและหายไปจากอากาศ เขาจะไม่กลับมาที่นี่หากไม่อาจพาหนิงเสวี่ยและทงซินกลับมา บางทีนี่อาจเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตที่เขาได้เห็นเมืองเทียนหลง เพียงปราดตาเดียวก็ราวกับว่าเขาเห็นเสี่ยวโม่ที่รอคอยด้วยใจละห้อย สัมผัสได้ถึงความโศกเศร้าของผู้คนมากมาย ทางเลือกของเขาช่างโหดร้ายสำหรับพวกเขา ทว่านี่คือชะตาที่เขาต้องเผชิญอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง

ทรายสีเหลืองลอยฟุ้งในอากาศ เขามาถึงทางทิศตะวันตกของทวีปเทียนเฉิน เมื่อคืนเขาสัมผัสได้ว่าห่างออกไปหลายพันลี้เต่าดำน้อยได้ส่งสัญญาณ ในที่สุดมันก็ตอบสนองแล้ว

เต่าดำน้อยกำลังรอเขาอยู่.... ทว่าเต่าดำน้อยในยามนี้ไม่อาจเรียกว่าเต่าดำน้อยได้อีก ขณะที่เย่หวูเฉินปรากฎกาย สิ่งที่เขามองเห็นคือเต่ายักษ์สีน้ำตาลสูงกว่าร้อยเมตร นอนแผ่ร่างอยู่บนทะเลทรายกว้าง ราวก้อนหินมหึมาที่โผล่ขึ้นจากพื้นทราย เมื่อรู้สึกถึงเย่หวูเฉินที่เข้ามาใกล้ ‘ก้อนหินมหึมา’ ได้เหยียดยื่นลำคอยาว พร้อมเปิดปากกลางอากาศส่งเสียงร้องอย่างตื่นเต้นไปทางเย่หวูเฉิน

เวลานี้ ในที่สุดเต่าดำน้อยก็เติบโต.... วัยเด็ก 30 ล้านปี ถูกหดสั้นลงเหลือเพียงหกเดือนด้วยพลังมหาศาลของมุกเรืองปฐพี แสดงให้เห็นว่าพลังนี้น่าหวาดหวั่นเพียงใด เย่หวูเฉินมองสำรวจและอดยิ้มบางไม่ได้ จากนั้นเขามุ่นคิ้วเล็กน้อย แม้ว่าเต่าดำน้อยอาศัยเลือดของเขา ทำให้มันมีความภักดีต่อเขาอย่างยิ่ง ทว่าอย่างไรมันคืออสูรเซียนแห่งธาตุระดับสูงสุด ทำให้เขาไม่อาจเป็นเจ้านายมันได้ตลอดชีวิต ดังนั้นจึงไม่อาจเรียกมันเข้าสู่ร่างได้เหมือนเซียงเซียง ในอดีต เมื่อเต่าดำน้อยกลายร่าง อย่างมากมันก็มีขนาดเพียงไม่กี่เมตร ทว่าตอนนี้ มันกลายเป็นเต่าดำยักษ์ขนาดกว่าร้อยเมตร แล้วเขาจะเอามันติดตัวไปด้วยวิธีไหน

เต่าดำที่ร้องอย่างตื่นเต้นราวกับเห็นความสงสัยของเย่หวูเฉิน ดวงตาเล็กๆเปล่งประกาย ลำคอยาวหดกลับเข้าไปอย่างฉับพลัน ร่างขนาดใหญ่ห่อหุ้มด้วยแสงสีน้ำตาลและหดลดขนาดลง จนกระทั่งเหลือขนาดที่ยากจะมองเห็น ก้อนหินมหึมาราวกับจมหายไปในทะเลทรายกว้าง แสงน้ำตาลดีดพุ่งขึ้นกลางอากาศและตกลงบนมือของเย่หวูเฉิน ตอนนี้ มันได้กลายเป็นเต่าดำขนาดเท่าฝ่ามือ ขาสั้นๆทั้งสี่กอดมุกสีน้ำตาลไว้แน่น

หลังจากที่เต่าดำเติบโตขึ้นมันสามารถปรับเปลี่ยนขนาดร่างได้ตามใจนึก เย่หวูเฉินคลายใจในที่สุดและลูบหลังของเต่าดำ เขาส่งพลังหวูเฉินเข้าไปอย่างเงียบงัน ระหว่างนั้นร่างกายต้องสั่นสะท้านเล็กน้อย

พลังนี้มัน....

หรือว่าจะเป็น....

เป็นพลังน่าหวาดหวั่นและเข้มข้นอย่างยิ่ง พลังระดับนี้ สามารถสัมผัสได้จากตัวเย่หมิงเท่านั้น หรือว่าตอนนี้ เต่าดำได้บรรลุถึงขั้น....

เพียงเวลาครึ่งปี! ทะลวงผ่านขอบเขตเหนือเทพขั้นสูงสุด ในทวีปเทวะมีอยู่เพียงสามบุคคล มันกลับ.... บรรลุถึงขั้นนี้ได้! ในเวลาสั้นๆเพียงหกเดือนเท่านั้น

เขาจับเต่าดำไว้มั่น ไม่กลัวว่ามันจะบาดเจ็บเพราะถูกจับหนักมือ ด้วยพลังป้องกันของเต่าดำ ต่อให้มันนอนนิ่งเฉยให้เขาโจมตีตลอดสามวันสามคืนก็ล้วนไม่อาจทำอันใดมันได้ มีเต่าดำอยู่กับตัว ความหวังในการช่วยเหลือหนิงเสวี่ยและทงซินได้เพิ่มขึ้นอีกหลายเท่า มิได้เป็นเพียงความหวังอันเลือนรางอีกต่อไป

หยิบมุกสีน้ำตาลที่มันกอดไว้ เย่หวูเฉินพลันสัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่ขาดหายไป เขาขมวดคิ้วและเอ่ยเรียกมุกเรืองปฐพี “ท่านอยู่ในนั้นรึเปล่า?”

.............

“ท่านได้ยินเสียงของเข้ามั้ย?”

.............

เย่หวูเฉินเอ่ยเรียกติดต่อกัน ทว่าไม่มีเสียงตอบกลับของมุกเรืองปฐพีแม้สักครั้ง เขาครุ่นคิดเล็กน้อยและเก็บมันไว้ในแหวนเทพกระบี่ จับเต่าดำและเอ่ยเสียงแผ่วเบา “พวกเราต้องไปแล้ว.... ไปยังสถานที่ที่ต้องไป”

สติของมุกเรืองปฐพีได้หายไป.... พลังที่เต่าดำต้องใช้ในการเติบโตมีมากเกินไป เพียงพลังที่รั่วไหลของมุกเรืองปฐพียังถือว่าขาดแคลนอีกมาก ดังนั้น ร่างของมันจึงเริ่มดูดกลืนแก่นพลังของมุกเรืองปฐพี ในขณะที่มุกเรืองปฐพีไม่อาจต่อต้าน เมื่อถูกดูดกลืนพลังสติของมันจึงค่อยๆเลือนไป สุดท้ายสติที่ดำรงมาไม่รู้กี่ปีได้ดับสูญเพราะเต่าดำ มุกเรืองปฐพีทำได้เพียงมองสติตัวเองหายไปจนหมดสิ้น ถอนหายใจและคิดเพียงว่านี่คือการหลุดพ้น

หลังจากที่เต่าดำเติบโตขึ้น พลังของมุกเรืองปฐพีได้ถูกดูดกลืนไปราวกึ่งหนึ่ง ทว่าพลังที่เหลืออยู่ยังคงไม่ด้อยไปกว่ามุกเซียนโกลาหลเม็ดใดๆ เต่าดำที่เติบโตแล้วไม่อาจดูดซับพลังปฐพีได้อีก เพราะมันได้มาถึงจุดอิ่มตัว ดังนั้นมันจึงคายมุกเรืองปฐพีออกมา หลังจากย่นเวลาที่ต้องใช้เพื่อเติบโต 30 ล้านปี



<<<PREV    .    NEXT>>>