วันศุกร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 515

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 515 เหยียบย่ำ!

กระบี่ตัดคนสมควรมีเสียงดัง ‘ฉับ’ ทว่าเมื่อกระบี่สังหารซากสวรรค์ร่วงสู่ร่างฉิงเทียน มันกลับส่งเสียงเลือนลั่นปานสายฟ้า เงากระบี่มีมากเกินไป ดุจห่าฝนถล่มร่างของฉิงเทียน แต่ทว่า กระบี่แต่ละเล่มที่สัมผัสร่างของมัน ล้วนแตกออกด้วยเสียงเลือนลั่น ไม่อาจเจาะเข้าร่างของมัน ขณะที่พื้นใต้เท้าของมันปรากฎเป็นหลุมขนาดใหญ่

ด้วยแรงปะทะของกระบี่สังหารซากสวรรค์ ฉิงเทียนแม้พุ่งเข้าไปหาฉู่จิงเทียน ทว่าฝีเท้าของมันกลับช้าลงเรื่อยๆ ใบหน้ายังวาบผ่านด้วยความบิดเบี้ยว มันกำลังเจ็บปวด

“มนุษย์ผู้นี้....” ฝาเทียนไม่อาจรักษาความสงบได้เหมือนแต่ก่อน กระบวนท่านี้ของฉู่จิงเทียนทรงอำนาจสะเทือนฟ้า ‘กระบี่สังหารซากสวรรค์’ ทำให้พวกมันตระหนักว่าตนเองมองผิดไป.... ชายหนุ่มจากทวีปเทียนเฉินผู้นี้ ทรงพลังเกินกว่าที่พวกมันคาดไว้ไปไกลลิ่ว ปลดปล่อยพลังที่ทำให้พวกมันต้องหวั่นไหว

“ถึงกับบีบคั้นให้ฉิงเทียนต้องใช้เพลิงเทพพิสุทธิ์!”

“เฮอะ! น่าแปลกอันใด หรือเจ้าสัมผัสอานุภาพของเงากระบี่นี้ไม่ได้? ด้วยอานุภาพปานนี้ ทั้งจำนวนและความเร็วที่น่าหวาดหวั่น หากมันไม่ใช้เพลิงเทพพิสุทธิ์ออกมา ต่อให้มีเกราะเทพพิสุทธิ์คุ้มร่างก็ย่อมได้รับบาดเจ็บ แม้เพลิงเทพพิสุทธิ์สูบกลืนพลังมหาศาล อย่างน้อยลดทอนพลังลงสามในสิบส่วนอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง แต่หากมันบาดเจ็บด้วยน้ำมือของมนุษย์.... เกรงว่ามันคงอัดอั้นเสียยิ่งกว่าตาย”

“ไม่แปลกที่มันกล้าบุกมายังวิหารเทวะ ที่แท้มันก็ไม่ธรรมดายิ่ง.... อย่างไรก็ตาม การป้องกันของเจ้าหนุ่มนี่มิได้แข็งแกร่งเหมือนกระบี่ของมัน หากฉิงเทียนสามารถเข้าประชิดได้ มันย่อมเอาชนะได้ง่ายดายเหมือนพลิกฝ่ามือ”

ฉิงเทียนยามนี้ลุกโชนด้วยเพลิงเทพพิสุทธิ์ มันกำลังพยายามเข้าใกล้อย่างเห็นได้ชัด หากกล่าวถึงพลังป้องกัน ฉิงเทียนคือผู้แข็งแกร่งสุด หากกล่าวถึงการต่อสู้ในระยะประชิด ในหมู่แปดเทพขุนพล ฉิงเทียนเป็นรองเพียงแค่ฝาเทียนเท่านั้น

ที่น่าแปลกใจก็คือ ฉู่จิงเทียนมิได้เร่งเท้าถอยห่าง เขากลับยืนนิ่งงันอยู่ตรงนั้น มองฉิงเทียนถูกถล่มด้วยกระบี่สังหารซากสวรรค์ด้วยใบหน้าเรียบเฉย ‘เพลิงเทพพิสุทธิ์’ ของฉิงเทียนเกิดจากการผลาญพลังป้องกัน คือการป้องกันสูงสุดของมัน ทว่ากระบี่สังหารซากสวรรค์ทรงพลังอย่างยิ่ง แต่ละเล่มสามารถลดพลังป้องกันของมันได้ ภายใต้การปะทะอย่างต่อเนื่อง เพลิงเทพพิสุทธิ์ยิ่งมายิ่งอ่อนโทรม ค่อยๆส่งสัญญาณวายวอด

เทพขุนพลทั้งห้ากลายเป็นเงียบงัน ย่นคิ้วจับจ้องที่ฉิงเทียน ยามนี้พวกมันพลันบังเกิดความคิดแบบเดียวกัน : ฉิงเทียน.... หรือวันนี้เจ้าจะร่วงหล่นด้วยน้ำมือของชาวทวีปเทียนเฉินผู้นี้?

ฉู่จิงเทียนหลังจากใช้กระบี่สังหารซากสวรรค์ก็ดูคล้ายอ่อนแอยิ่ง ใบหน้าซีดขาว สองขาดูคล้ายอ่อนแรง อย่างไรก็ตาม อาการของเขาไม่ทำให้ผู้ใดแปลกใจ กระบวนท่าทรงพลังย่อมสูบกลืนพลังมหาศาล เป็นการยากสำหรับเขาที่จะใช้กระบี่ทรงพลังปานนี้โจมตีฉิงเทียนอีก

ดังนั้น ขณะที่กระบี่สังหารซากสวรรค์ยังปกคลุมบนท้องฟ้า ฉิงเทียนจึงอาศัยจังหวะนี้รีบพุ่งกายเข้าหาฉู่จิงเทียน พวกมันต่างคิดว่าการต่อสู้มาถึงบทสรุปแล้ว เงากระบี่นับไม่ถ้วนปะทะลงพื้น พื้นสีทองถูกทำลายชนิดไม่อาจจดจำเป็นวงกว้าง ในที่สุด ฉิงเทียนก็หลุดพ้นจากข่ายกระบี่น่าหวาดหวั่นในสภาพไม่น่าดูนัก เพลิงเทพพิสุทธิ์ของมันได้สลายไปสิ้น เกราะเทพพิสุทธิ์ถูกทำลายเสียหายหลายส่วน หากยังดีที่ผิวของมันไม่มีรอยเลือด นั่นหมายถึงมันไม่ได้รับบาดเจ็บร้ายแรงใดๆ ทว่าการที่เพลิงเทพพิสุทธิ์ของมันดับวอดลงด้วยฝีมือมนุษย์ มันจะโกรธเกรี้ยวเพียงใดย่อมจินตนาการได้

“เจ้า.... ถึงเวลาตายแล้ว!” มันเปล่งเสียงต่ำ บรรจุพลังแกร่งกล้าลงในหมัด เหวี่ยงใส่หน้าผากของฉู่จิงเทียน ทุกแห่งที่หมัดเหวี่ยงผ่านก่อให้เกิดมิติบิดผันอย่างชัดเจน เมื่อเทพเหวี่ยงหมัดเต็มกำลังด้วยความโกรธเกรี้ยว พลังหมัดนั้นย่อมรุนแรงพอทำลายขุนเขา ครั้งแรกที่ฉู่จิงเทียนและฉิงเทียนปะทะพลังกัน ผลลัพธ์คือฉู่จิงเทียนพ่ายแพ้ ยามนี้อย่าว่าแต่เขาแทบไร้พลังหยัดยืนเลย ต่อให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์พร้อม เขาก็ไม่อาจทนรับหมัดนี้ของฉินเทียนได้โดยไม่บาดเจ็บ

หากทุกคนต้องแปลกใจ ฉู่จิงเทียนมิได้พยายามหลบเลี่ยง แต่กลับเหวี่ยงมือเผชิญรับกับฉิงเทียน เขาไม่ได้ใช้หมัดแต่ใช้ฝ่ามือ วางขนานเป็นคมมีดตรงเข้าสู่หมัด..... เหล่าเทพขุนพลพลันแสดงสีหน้าเย้ยหยันตามกัน มองฝ่ามือของฉู่จิงเทียนวาดตรงสู่หมัดของฉิงเทียน หากในขณะถัดมา รอยยิ้มหยันบนใบหน้าของพวกมันพลันหดหายไปหมดสิ้น.... ฝ่ามือกระบี่เหวี่ยงวาดอย่างเรียบง่าย ฉู่จิงเทียนที่ดูคล้ายเคลื่อนมือเชื่องช้าอย่างยิ่งนั้น กลับทำให้พวกมันพลันรู้สึกถึงอากาศเย็นเยือก

หากผู้ที่รู้สึกได้ชัดเจนสุด แน่นอนย่อมต้องเป็นฉิงเทียน หมัดของมันราวสัมผัสกับกระบี่คมกล้า ที่สามารถตัดขาดทุกสรรพสิ่ง มือของทั้งสองยังไม่ทันปะทะกัน มันพลันรู้สึกเจ็บปวดราวกับหมัดขาดครึ่ง

พลังหมัดนี้รุนแรงพอบดขยี้เหล็กกล้าให้แหลกเป็นชิ้น ทว่าหากใช้พลังเดียวกันบรรจุลงกระบี่ ผลลัพธ์ย่อมจินตนาการได้ กระบี่ย่อมตัดหมัดให้ขาดครึ่ง นอกจากว่าหมัดมีพลังถึงระดับหนึ่งเท่านั้น คือระดับที่เหนือกว่ากระบี่ไปไกลลิบ แบบนั้น มันจึงจะสามารถทำลายคมกระบี่นี้ได้

แต่เห็นได้ชัดว่า พลังของฉิงเทียนไม่มากพอทำลาย ‘กระบี่’ ของฉู่จิงเทียน.... ขณะที่เจ็บปวดนั้น ฉิงเทียนรีบถอนพลังกลับโดยไม่รู้ตัว ทว่าหมัดที่เหวี่ยงใส่อย่างเกรี้ยวกราดไหนเลยจะถูกถอนกลับได้โดยง่าย สุดท้ายหมัดกับ ‘กระบี่’ จึงได้ปะทะกัน

เกิดเสียงกระทบดังลั่น ฉู่จิงเทียนหมุนร่างสองรอบก่อนหยุดยืนได้อย่างมั่นคง ใบหน้าเป็นสีแดงเล็กน้อย มือขวาอาบชะโลมด้วยเลือด.... แต่นั่นไม่ใช่เลือดของเขา

มือของฉิงเทียนสั่นเทา ทว่าไม่อาจเทียบได้กับหัวใจที่สั่นไหว มันมองเลือดที่ไหลท่วมมือ ทำใจยอมรับได้ยากว่านี่คือเรื่องจริง.... มือขวาของมันสวมถุงมือที่เรียกว่า ‘เกราะปฐพีพิสุทธิ์หุ้มสวรรค์’ หลังจากที่มันกลายเป็นเทพขุนพล เทพจักรพรรดิได้มอบยุทธภัณฑ์เหนือเทพให้กับมัน นี่คือถุงมือที่มันชื่นชอบมากที่สุด เป็นอาวุธทรงพลังทำลายล้าง อย่างน้อยเมื่อสวมถุงมือนี้มันย่อมไม่ได้รับบาดเจ็บ ทว่าบัดนี้ ‘เกราะปฐพีพิสุทธิ์หุ้มสวรรค์’ ได้ถูกทำลายโดยมนุษย์ สร้างบาดแผลสาหัสที่มือมันอย่างคาดไม่ถึง

ที่ตกตะลึงยิ่งกว่ามัน คือเทพขุนพลทั้งห้าที่มองอย่างโง่งม ต่างเผยสีหน้าตะลึงงันอย่างที่ไม่เคยเป็น

พลังของฉู่จิงเทียนด้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัด ทว่าเหตุใดฝ่ามือกระบี่ของเขาถึงน่าสะพรึงได้เยี่ยงนี้ ยิ่งกว่านั้น เหตุใดอาศัยเพียงฝ่ามือ เขาจึงสามารถปลดปล่อยพลังคมกล้าได้ถึงเพียงนี้

“ข้าบอกแล้วไง.... เจ้ามันก็แค่งั้นๆ ต่อให้เป็นระยะประชิด ข้าก็ไม่พ่ายแพ้ให้กับเจ้า!!”

ขณะที่ฉิงเทียนกำลังมึนงง ฉู่จิงเทียนที่หอบหายใจพลันดีดร่างพุ่งเข้าใส่ แววตาของฉินเทียนพลันกราดเกรี้ยวเมื่อถูกโจมตีอย่างฉับพลัน ทั้งสองปะทะกันอีกครั้งดุจภูเขาไฟที่แตกประทุ

ปราณกระบี่เกิดจากใจ พลังกระบี่เกิดจากจิต  เมื่อ ‘ไร้’ ผสานกับ ‘ใจ’ จึงกลายเป็นกระบี่คมกล้า เมื่อบรรลุความเข้าใจในกระบี่ไร้ตัวตน จึงสามารถใช้ ‘ใจ’ สร้าง ‘ไร้’ กระบี่ได้ ดังนั้น เมื่อต่อสู้กับฉิงเทียนในระยะประชิด เขาจึงสามารถใช้ฝ่ามือ , แขน , ไหล่ , ศอก , ขา , หน้าผาก.... ทุกส่วนในร่างกายเปลี่ยนเป็นกระบี่ที่คมกล้าที่สุดได้ เหวี่ยงศอกและแขนคราใด ก็ราวมีเสียงตัดอากาศสะเทือนเลือนลั่น ทรงพลังพอแหวกมิติให้ขาดจากกัน ทุกครั้งที่เหวี่ยงวาดการโจมตี พื้นทวีปเทวะอันแข็งแกร่งที่อยู่ใต้เท้า จะต้องปรากฎรอยตัดลึกที่น่ากลัวยิ่ง

ฉิงเทียนเริ่มสืบเท้าถอยหลัง มันพลันพบว่าการต่อสู้ระยะประชิดเป็นการเลือกที่โง่เขลาเพียงใด ฉู่จิงเทียนใช้พลังที่มันไม่อาจเข้าใจได้ มันไม่เคยเห็นหรือเคยได้ยินพลังนี้ เป็นพลังคมกล้าที่ไม่กล้าสัมผัส หลังจากการปะทะหมัดคราหนึ่ง มันไม่กล้ารับฝ่ามือกระบี่นี้อีก ไม่ว่าส่วนใดของร่างกายที่โจมตี มันล้วนสัมผัสได้ถึงความน่ากลัวนั้น

ราวกับว่าทั้งร่างได้กลายเป็นกระบี่คมกล้า คือกระบี่ทรงอำนาจ แข็งแกร่งยิ่งกว่าพลังเหนือเทพ ไม่อย่างนั้น ไหนเลยจะสามารถทำลาย ‘เกราะปฐพีพิสุทธิ์หุ้มสวรรค์’ ของมันได้

ฉึก!

ตูม!

เปรี้ยง

ปัง.....

แม้ฉิงเทียนไม่ถูกการโจมตีโดยตรงในระหว่างล่าถอย แต่ปราณกระบี่ได้ฟาดฟันใส่เกราะเทพพิสุทธิ์ของมัน คราแรกฝากรอยลึกทิ้งไว้ ครั้งที่สองเจาะทำลายเกราะเทพพิสุทธิ์โดยตรง หลังจากเสียงเลือนลั่น ฉิงเทียนแทบโกรธจนบ้าคลั่ง เพราะเกราะเทพพิสุทธิ์ของมันเสียหายอย่างมากมาย ร่างกายปรากฎบาดแผลบนผิวหนังหลายที่

เทพขุนพลทั้งห้าผู้ทรนง ยามนี้ไม่มีใครแย้มยิ้ม ตอนที่พวกมันเป่ายิ้งฉุบเพื่อแย่งกันเล่นเกมนี้ พวกมันล้วนไม่คิดว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ ตอนที่เริ่มต่อสู้กัน ฉู่จิงเทียนตกเป็นรองอย่างเห็นได้ชัด.... หรือมันจงใจซ่อนพลังแกร่งกล้าไว้?

ความจริงก็คือ ก่อนหน้านี้ฉู่จิงเทียนเข้าใจในวิถีกระบี่ไร้ตัวตนเพียงรางๆเท่านั้น ทว่าหลังจากถูกชี้นำด้วยพลังลึกลับของชายชุดดำ ความเข้าใจของเขาจึงกระจ่างแจ้งขึ้น แต่เนื่องจากผ่านมาเพียงไม่กี่ชั่วโมง เขาจึงยังไม่เคยได้ใช้ทักษะอย่างเต็มที่ ในขณะเดียวกัน ตอนที่เผชิญหน้ากับชายชุดดำนั้น เขามีพลังอันเหลือล้ำ การโจมตีจึงไม่อาจทำอันตรายใดๆ ทำให้ฉู่จิงเทียนไม่ทราบว่าตนมีพลังแกร่งกล้าถึงเพียงใดแล้ว

ในตอนนี้เอง เขาจึงพลันเข้าใจจากฉิงเทียน ว่าไร้กระบี่ของตนทรงพลังเพียงใด

ฉับพลันความเจ็บได้แผ่ลาม ร่างที่แข็งกว่าเหล็กกล้าถูกฟันเป็นแผลยาวอีกที่ มันร้องลั่นและดีดร่างถอยออกไป ทว่าฉู่จิงเทียนเหมือนคาดการณ์เอาไว้แล้ว เกือบในเวลาเดียวกันที่มันดีดร่างถอย กระบี่ชางหมิงได้ถูกยิงไปที่มันอย่างรุนแรง

“ตูม” กระบี่ชางหมิงบรรจุพลังแกร่งกล้า กระทบใส่ฉิงเทียนอย่างหนักหน่วง ก่อนฟาดลงสู่พื้นสีทอง เศษหินสีทองปลิวว่อนกระจายขึ้น เกิดเป็นรอยแตกขนาดใหญ่ ดุจดั่งแผ่นดินไหว แผ่ลามจากจุดที่ฉิงเทียนกำลังอยู่ มีรอยหนึ่งซึ่งยาวสุดแตกลามไปถึงเทพขุนพลทั้งห้า บ่งบอกว่าการโจมตีนี้ทรงพลังน่าสะพรึงเพียงใด

ฉู่จิงเทียนเหยียบเท้าสู่อากาศ ใบหน้ายังเรียบเฉย ยื่นมือขวาอันสั่นเทาเรียกกระบี่ชางหมิง การโจมตีนี้แทบถึงขีดจำกัดของพลัง เขาได้บรรจุทุกพลังและความคิดลงไป แสดงให้ฉิงเทียนได้เห็นว่า พลังของเขาสามารถเหยียบย่ำมันได้เช่นเดียวกัน!



<<<PREV    .    NEXT>>>