วันพุธที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 496

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 496 ปล่อยข้าตาย!

“เนตรปีศาจสังหารโลหิต.... ใช่พลังของเจ้าหรือไม่!?” เย่หวูเฉินมุ่นคิ้วถาม

“ถูกต้อง เป็นพลังของข้าเอง” ชาหลัวพยักหน้าเล็กน้อย “เนื่องจากวิญญาณของข้าถูกจิตใต้สำนึกของเขากดข่มไว้ พลังของข้าจึงไม่อาจทะลวงผ่านการกดข่มและปลดปล่อยออกมาได้ ทว่าระหว่างที่เขาสูญเสียการควบคุมอารมณ์ อย่างเช่นในตอนที่โกรธจัด ข้าจะสามารถฉกฉวยโอกาสนั้นใช้พลังออกมาได้.... ทว่าพลังของข้าคือพลังของเขา ระหว่างที่โกรธเขาจึงใช้พลังแกร่งกล้าออกได้โดยที่ไม่รู้ตัวว่าพลังมาจากไหน.... จุดเปลี่ยนทั้งหมดเกิดขึ้นในคืนนั้น ตอนที่ปิงเอ๋อร์กับเขาอยู่ด้วยกันในสำนักจักรพรรดิเหนือ....” เมื่อนึกถึงความตายในครั้งนั้น แววตาของชาหลัวก็ฉายความเจ็บปวดอย่างล้ำลึก พวกเขามีร่างกายเดียวกัน แม้มีวิญญาณแยกเป็นสองดวง แต่เขาที่ถูกข่มไว้ได้รับรู้อารมณ์จากวิญญาณอีกดวงอยู่บ่อยครั้ง รวมถึงความรู้สึกผูกพันที่มีต่อปิงเอ๋อร์ ดังนั้น ในวันนั้นเขาจึงสิ้นหวังและโกรธเกรี้ยวปรารถนาสังหารเช่นเดียวกัน

“ในคืนนั้น ปิงเอ๋อร์ยอมสละชีวิตเพื่อช่วยเขา ทำให้เวลานั้นเขาสูญเสียการควบคุม เป็นครั้งเดียวในชีวิตที่เขาไม่อาจควบคุมตัวเอง ทุกอารมณ์ของเขาข้าล้วนสัมผัสได้อย่างลึกซึ้ง.... เวลานั้นเขาโหยหาถึงพลัง ยอมแลกทุกอย่างกับพลังเพื่อแก้แค้นให้ปิงเอ๋อร์.... ไอสังหารของวิญญาณปีศาจได้ตื่นขึ้นอย่างฉับพลัน เขาหยิบยืมพลังนั้นสังหารทุกคนที่อยู่ตรงนั้น.... นับจากนั้นเป็นต้นมา วิญญาณปีศาจของข้าจึงกดข่มเขาได้ในที่สุด....” ชาหลัวถอนหายใจด้วยอารมณ์ขณะกล่าว

หลังจากเข้าใจความหมายของ ‘โลหิตสังสาระ’ เย่หวูเฉินก็สามารถคาดเดาเรื่องราวได้อย่างถูกต้องก่อนที่ชาหลัวจะกล่าวออกมา

ร่างกายเดียวกัน จิตวิญญาณคนละดวงกัน คนหนึ่งคือเล่งหยา อีกหนึ่งที่เพิ่มขึ้นมาคือชาหลัว....

“หลังจากนั้น เนื่องจากพลังของเจ้าได้ตื่นขึ้น เจ้าจึงเริ่มต่อสู้ทางวิญญาณกับเล่งหยา แต่เล่งหยาเองก็ค้นพบการดำรงอยู่ของเจ้าเช่นเดียวกัน ทว่าเขาไม่เคยบอกกล่าวแก่ผู้ใด ระหว่างช่วงเวลานั้น พลังปีศาจของเจ้าค่อยๆฟื้นฟูขึ้น ในที่สุด พลังวิญญาณของเจ้าก็เพียงพอต่อกรกับเล่งหยา เนื่องจากไม่มีใครสามารถครองร่างได้อย่างสมบูรณ์ ดังนั้นร่างกายจึงสูญเสียการควบคุม ทำให้เกิดเรื่องขึ้นในวันนั้น.... สุดท้ายเล่งหยาตระหนักได้ว่าตนสังหารเฮยเซียง ทำลายกระบี่ชางหมิงของฉู่จิงเทียนทิ้ง เขาจึงจมลงสู่ความรู้สึกผิดอันไร้สิ้นสุด และนั่นยิ่งทำให้วิญญาณปีศาจของเจ้ากลายเป็นฝ่ายชนะ ตอนนั้นที่ร่างของเล่งหยาจากไป สติที่อยู่ในนั้น.... แท้จริงแล้วเป็นสติของเจ้า!” เย่หวูเฉินมุ่นคิ้วกล่าว

ชาหลัวจ้องมองที่เย่หวูเฉินเป็นเวลานาน เผยรอยยิ้มเล็กน้อยอย่างหดหู่ ขณะเดียวกันก็รู้สึกคลายใจ “ถูกต้อง ที่เจ้าพูดมาทุกอย่างล้วนถูกต้อง....”

เย่หวูเฉินถามต่อ “ข้าเชื่อว่าเจ้ารู้ว่าการฝืนคร่ากุมสติของเล่งหยามีโอกาสทำให้ร่างสูญเสียการควบคุม ทว่าเจ้ากลับยังคงฝืนทำ.... อีกทั้ง ในวันนั้นเจ้ายังได้หนีไป หลบซ่อนตัวเป็นเวลาถึงครึ่งปี เหตุใดเจ้าถึงต้องซ่อนตัวด้วย? มีอะไรทำให้เจ้าต้องหลบหนี?”

“ท่านพ่อ ท่านพี่....” เสี่ยวโม่มองที่เย่หวูเฉิน จากนั้นมองที่ชาหลัว

ชาหลัวฝืนยิ้มราบเรียบและกล่าว “สิ่งที่ข้าหลบหนีก็คือเจ้า เนื่องจากเจ้า.... น่ากลัวเกินไป!”

เย่หวูเฉิน “.......?”

“ทุกอย่างที่เขารู้ ข้าย่อมรู้ทั้งหมดไม่ต่างกัน ข้ายังสามารถอนุมานเรื่องราวจากสิ่งที่ได้เห็นและได้ยิน ดังนั้นเมื่อเทียบกันแล้ว ข้าสามารถเข้าใจถึงความน่ากลัวของเจ้าได้ยิ่งกว่าเขา ทั้งความสามารถและสติปัญญา.... ยิ่งมีเสี่ยวโม่ติดตามอยู่ข้างกายเจ้าอยู่ตลอด ดังนั้น ไม่ช้าก็เร็วเจ้าย่อมเดาได้ว่าในร่างของเล่งหยายังมีอยู่อีกหนึ่งดวงวิญญาณ.... เรื่องนี้ยังอาจไม่นับเป็นสิ่งใด ทว่าหลังจากวันนั้น จู่ๆร่างของเจ้าก็มีบางสิ่งที่ทำให้ข้าหวาดกลัว สิ่งนั้นสามารถลบตัวตนของข้าให้หายไปอย่างหมดจดได้....”

เย่หวูเฉินพลันมีสีหน้าประหลาดใจ รวมทั้งงุนงงเล็กน้อย

“แม้ข้าไม่รู้ว่าเจ้าไปได้สิ่งนั้นมาจากไหน แต่สิ่งนั้นคือกลิ่นของผลไม้วิญญาณไม่ผิดแน่!”

ผลไม้วิญญาณ?

เป็นครั้งแรกที่เย่หวูเฉินได้ยินชื่อนี้ ทว่าความสงสัยของเขาคงอยู่ได้ไม่นานนัก ฉับพลันสิ่งหนึ่งที่เขาไม่มีวันลืม ได้ผุดขึ้นในสมอง.... ภายในมิติวิญญาณแห่งนี้ เขาเรียกผลธุลีเทาแห่งก้นสมุทรประจิมออกมาจากแหวนเทพกระบี่ การปรากฎของมัน ทำให้โลกสีขาวพลันถูกประดับด้วยสีเทาเรืองรอง

สายตาของชาหลัวถูกดึงดูดทันที จับจ้องอยู่ที่มันอย่างหนาแน่น แววตายิ่งมายิ่งสั่นไหว เป็นเวลาเนิ่นนานเขาจึงกล่าวแผ่วเบา “เป็นผลไม้วิญญาณจริงๆ.... ในตัวเจ้า กลับมีสิ่งที่ฝ่าฝืนเจตจำนงค์ของสวรรค์อยู่จริงๆ”

ฝ่าฝืนเจตจำนงค์ของสวรรค์.... นี่คือการยกย่องต่อสิ่งที่เรียกว่า ‘ผลไม้วิญญาณ’ จากชาหลัวบุตรชายแห่งจักรพรรดิปีศาจชาโหว

เมื่อเห็นแววตาสงสัยของเย่หวูเฉิน เขาจึงอธิบายต่อ “ที่แท้เจ้าก็ไม่รู้ว่าของสิ่งนี้น่ากลัวเพียงใด ผลไม้วิญญาณลูกนี้คืออันดับหนึ่งจากสามผลไม้ต้องห้าม มันสามารถพรากวิญญาณของสิ่งมีชีวิตใดๆ ทำให้ร่างกายกลายเป็นไร้วิญญาณ.... การพรากวิญญาณออกจากร่างไม่ใช่เรื่องที่หาได้ยากนัก มีหลายวิธีที่สามารถทำได้ และเมื่อใดที่ผลไม้วิญญาณถูกเด็ดออกจากต้น มันจะสามารถใช้ได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น ทว่าความน่ากลัวของมันก็คือ.... ไม่ว่าสิ่งมีชีวิตนั้นจะแข็งแกร่งเพียงใด ตราบใดที่สัมผัสถูกมัน วิญญาณย่อมไม่มีทางหนีพ้นชะตากรรมได้.... กระทั่งเสด็จพ่อของข้า รวมถึงเทพจักรพรรดิแห่งทวีปเทวะ!”

เย่หวูเฉิน “!!”

ผลไม้วิญญาณ.... เย่หวูเฉินตระหนึกถึงความน่ากลัวของมันในที่สุด ก่อนหน้านี้เพียงเขาสัมผัสมัน วิญญาณก็ถูกดึงออกไปชนิดที่รู้สึกได้ชัดเจน  ความทรงจำถูกพรากไปจากร่าง จากนั้นร่วงหล่นสู่ความมืด.... เขาไร้พลังขัดขืนต่อมันอย่างสิ้นเชิง

ชาหลัวกล่าวว่ากระทั่งจิตวิญญาณของจักรพรรดิปีศาจและเทพจักรพรรดิยังไม่อาจต่อต้าน.... ทว่าเหตุใดหลังจากที่ตื่นขึ้นเขายังคงปลอดภัย.... หรือว่าซือเฉินช่วยเขาไว้ เหตุใดพลังของซือเฉินถึงรับมือกับพลังวิญญาณที่กระทั่งจักรพรรดิปีศาจและเทพจักรพรรดิยังไม่อาจต่อต้าน หรือว่าพลังลึกลับของนางจะยิ่งใหญ่กว่าพลังของสองคนนั้น?

ในตอนนั้นเห็นได้ชัดว่าซือเฉินใช้พลังลึกลับของนางไปมากอย่างไม่ต้องสงสัย ทำให้นางหลับลึกจนถึงทุกวันนี้โดยไม่ตื่นขึ้นมา เย่หวูเฉินไม่ได้ยินเสียงเรียกหาว่า ‘ป๊ะป๋า’ ของนางอีกเลย....

เรื่องนี้ เขาย่อมไม่อาจเล่าให้ชาหลัวฟังได้

“เจ้าหวาดกลัวมัน เพราะกลัวว่าข้าจะดึงวิญญาณปีศาจของเจ้าออกจากร่าง ให้เหลือเพียงวิญญาณของเล่งหยาใช่หรือไม่?” เย่หวูเฉินจับผลไม้วิญญาณไว้ในมือ ย่นคิ้วลงต่ำและถาม

“ถูกต้อง ผลไม้วิญญาณมีอยู่ในตัวเจ้า อธิบายได้ว่ามันยอมรับเจ้าเป็นนายแล้ว มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่สามารถใช้พลังของมันได้อย่างอิสระ เมื่อมีผลไม้วิญญาณอยู่ในมือ เจ้าย่อมกำจัดวิญญาณปีศาจของข้าให้เหลือเพียงวิญญาณของเขาได้โดยง่าย ข้าไม่มีทางเลือกและไร้โอกาสดิ้นรน.... ข้ามายังโลกแห่งนี้ด้วยโลหิตสังสาระ ยังไม่ทันได้พูดคุยกับน้องสาวแม้สักคำ และข้ายังไม่อาจกลับไปยังบ้านเกิดของตัวเองได้.... ดังนั้น ข้าจึงทำได้เพียงแค่หนีไป ปิดซ่อนกลิ่นอายตัวเองไว้ ไม่ปล่อยให้เจ้าหาข้าจนพบอีก คนที่ข้าต้องหลบหนีมีเพียงเจ้าเท่านั้น....”

“แล้วเจ้าในตอนนี้คือยังไง? ทำไมนอกจากไม่หลบเลี่ยงแล้วยังเรียกพวกเรามาหา แท้จริงแล้วมีเรื่องใดที่เจ้าอยากให้ข้าช่วย?”

ชาหลัวถอนหายใจบางอย่างเสียไม่ได้ “เหตุผลที่แท้จริง ข้าสามารถบอกเจ้าได้หลังจากนี้ ไม่อย่างนั้น เจ้าย่อมไม่คิดช่วยข้า.... ข้าในตอนนี้ไม่อาจหนีเจ้าได้อีก มิฉะนั้นทุกอย่างจะไม่อาจหวนกลับ เล่งหยาเป็นสหายของเจ้า ตอนนี้เจ้ารู้เรื่องทุกอย่างแล้ว หากให้เจ้าเลือก เจ้าย่อมเลือกลบวิญญาณปีศาจของข้าอย่างไม่ต้องสงสัย....”

หัวใจของเสี่ยวโม่กระเพื่อมทันที นางดึงแขนของเย่หวูเฉินเขย่าด้วยความกระวนกระวาย อ้อนวอนอย่างจริงจัง “ท่านพ่อ อย่าทำแบบนั้นนะ.... เขาคือพี่ชายของข้า ในที่สุดข้าก็ได้พบคนในครอบครัวแล้ว ท่านพี่มาตามข้าถึงนี่โดยไม่สนใจชีวิตของตัวเอง.... ท่านพ่อ อย่าทำร้ายท่านพี่เลยนะ เขามาที่นี่เพื่อข้า....”

เย่หวูเฉินกุมมือนางไว้ให้คลายใจลง เขายิ้มและกล่าวกับชาหลัว “ดูเหมือนว่าเจ้า จะคิดหาวิธีบางอย่างไว้แล้ว”

ชาหลัวยิ้มอย่างหมดหนทาง เห็นได้ชัดว่าเป็นเป็นวิธีที่เขาไม่ค่อยพอใจเท่าใดนัก “ตอนนี้ มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นถึงจะไม่เกิดผลร้ายใดๆ.... คือให้วิญญาณของข้าและวิญญาณของเขา ผสานรวมกัน!”

“โอ้?” เย่หวูเฉินเลิกคิ้วขึ้นสูง เสี่ยวโม่ยังพลันตะลึงงัน

“หลังจากผสานรวมกันแล้ว เขาก็คือข้า ข้าก็คือเขา ไม่มีแบ่งแยกเป็นสองคนอีก หลังจากที่วิญญาณของพวกเราผสานเข้าด้วยกัน พลังย่อมผสานรวมกันด้วย พลังย่อมแกร่งกล้าขึ้นไม่เหมือนการยืมออกมาใช้เหมือนแต่ก่อน.... เมื่อผสานกันแล้ว ข้ากับเขาจะไม่มีอยู่อีกเหมือนๆกัน เพราะวิญญาณของพวกเราจะเกิดใหม่ อุปนิสัยของพวกเราจะหลอมรวมกัน อารมณ์ , ความทรงจำ , และพลัง..... จะถูกหลอมรวมจนหมดสิ้น ด้วยความสัตย์จริง ข้าไม่ปรารถนาให้เป็นเช่นนั้นนอกจากหมดหนทาง ไม่มีใครปรารถนาให้วิญญาณของตัวเองปนเปื้อนกับสิ่งอื่น แต่ว่า.... ฮ่าย ตราบใดที่พวกเราต้องการ การผสานวิญญาณย่อมถือเป็นเรื่องที่ง่ายมาก แต่เรื่องนี้จะสำเร็จได้ต้องอาศัยเจ้า.... เพราะถึงแม้ว่าข้าจะต้องการ แต่เขากลับยืนกรานปฏิเสธ การเกลี้ยกล่อมเขามีเพียงเจ้าเท่านั้นที่ทำได้”

เสี่ยวโม่พลันเข้าใจเรื่องราว นางเร่งกล่าวด้วยความกังวล “แต่ว่าท่านพี่ เรื่องนี้มัน....”

“วางใจเถอะ” ชาหลัวทราบดีว่านางต้องการพูดสิ่งใด เขากล่าวด้วยรอยยิ้มบาง “แม้ว่าพวกเราจะผสานวิญญาณเข้าด้วยกัน แต่ข้าจะยังคงมีความทรงจำทุกอย่างอยู่ ยังคงเป็นพี่ชายของเจ้า”

โลกสีขาวพังถล่มลงในยามนี้ฉับพลัน พลังของเซียงเซียงได้มาถึงขีดจำกัดแล้ว

ภายใต้ม่านรัตติกาล แสงขาวบริสุทธิ์กลุ่มหนึ่งกระจายออก น้ำแข็งที่ห่อหุ้มเล่งหยาไว้ได้หายไป ร่างกายที่แข็งทื่อทรุดเข่าลง ยันพื้นไว้ด้วยมือเดียว เย่หวูเฉินและเสี่ยวโม่ยืนอยู่ข้างๆกันและจับมือกันไว้ สีหน้าและแววตาล้วนซับซ้อน ฉู่จิงเทียนที่คอยป้องกันเป็นเวลานานรีบเร่งก้าวเท้าเข้ามาและตะโกนถาม “น้องเย่ เป็นยังไงบ้าง?” แม้ว่าเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เขาก็มั่นใจว่าจะต้องมีวิธีการอัศจรรย์บางอย่างสำหรับช่วยเล่งหยา

เสียงของฉู่จิงเทียนทำให้เล่งหยาเงยศีรษะขึ้นในตอนนี้ ดวงตาทั้งสองข้างไร้สีแดงอีกต่อไป เขามองที่เย่หวูเฉินคราหนึ่ง มองที่ฉู่จิงเทียนคราหนึ่ง แววตาที่มองยังเย่หวูเฉินและฉู่จิงเทียนเป็นแบบที่คุ้นเคย.... เนื่องจากนี่คือแววตาของเล่งหยา เห็นได้ชัดว่าในนั้นซ่อนอารมณ์อันซับซ้อนอยู่

เพื่อให้เย่หวูเฉินเกลี้ยกล่อมเล่งหยา ชาหลัวจึงซ่อนวิญญาณปีศาจไว้ในสถานที่ลึกสุด ปล่อยให้วิญญาณของเล่งหยาควบคุมร่างกายไว้ทั้งหมด

“เจ้าหน้าน้ำแข็ง” ดวงตาของฉู่จิงเทียนเริ่มแดงเล็กน้อย เขาเรียกครั้งหนึ่งเพื่อยืนยัน เล่งหยาเมื่อได้ยินคำก็ค่อยๆยืนร่างขึ้น ปราดตามองพวกเขาอีกครั้งด้วยสีหน้าซับซ้อนถึงขีดสุด มือขวาตวัดขึ้นอย่างฉับพลัน ภายใต้แสงจันทร์ เขาส่งปลายกระบี่สีเขียวไปที่ลำคอของตัวเอง

เขาลงมืออย่างรวดเร็วยิ่ง ทันใดนั้น ขณะที่กระบี่คร่าสายลมใกล้สัมผัสถูกลำคอ ฉับพลันมีน้ำแข็งซัดใส่กระบี่จนปลิวออกไป ฉู่จิงเทียนรีบคว้ามือของเล่งหยาไว้และตะโกนดังลั่น “เจ้าทำอะไร!”

“ปล่อยข้าตาย!” สีหน้าของเล่งหยาซีดเทาราวกับถ่านไฟมอด เขาเพียงชำเลืองมาโดยไม่สบตา



<<<PREV    .    NEXT>>>