วันอังคารที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 495

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 495 บุตรของจักรพรรดิปีศาจ

เซียงเซียงสร้างโลกวิญญาณขึ้น เป็นโลกสีขาวไร้สิ้นสุดเหมือนเช่นทุกครั้ง

เย่หวูเฉินและเสี่ยวโม่จูงมือกันปรากฎตัวขึ้นในโลกแห่งนี้ เป็นวิธีการที่ดีสุดสำหรับพวกเขาเพื่อค้นหาเรื่องราวทุกอย่าง ที่แห่งนี้สามารถเข้าถึงความคิดที่ฝังอยู่ลึกสุดในหัวใจของผู้คน

ขณะที่ทั้งสองคนกำลังจะก้าวเท้า ร่างหนึ่งก็พลันปรากฎตัวขึ้นที่เบื้องหน้าและยิ้มให้ คนผู้นี้.... กลับไม่ใช่เล่งหยา ทันทีที่เสี่ยวโม่มองเห็น ดวงตานางก็เบิกกว้างทันที แววตายังสั่นกระเพื่อมรุนแรง ตอนนี้นางแทบไม่เชื่อสายตาของตัวเอง

นี่คือชายหนุ่มในชุดดำ มีเส้นผมสีดำยาวตามธรรมชาติ ใบหน้าหล่อเหลาไร้ที่เปรียบ ในแววตามีประกายสีดำกระจ่างวาบผ่าน หางคิ้วชี้ขึ้นเล็กน้อย มุมปากประดับด้วยรอยยิ้มบาง เย่หวูเฉินสัมผัสได้ถึงความสงบและเป็นมิตรจากตัวเขา นี่คือชายหนุ่มที่มีเสน่ห์อย่างมาก

“ท่านพี่.... ท่านพี่.... เป็นท่านจริงๆ.... ท่านยังไม่ตายหรอกเหรอ!?” เสี่ยวโม่แทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง ทว่าตอนนี้เขาอยู่ต่อหน้านาง ทั้งหน้าตา , รอยยิ้ม และความรู้สึกที่แผ่ออกมา ล้วนแต่เหมือนพี่ชายของนางในความทรงจำ

“เสี่ยวโม่ เห็นเจ้ามีความสุขข้าก็ไร้สิ่งใดให้กังวลแล้ว ข้าว่า ต่อให้ตอนนี้มีหนทางพาเจ้ากลับบ้าน เจ้าก็ย่อมไม่อยากกลับไปเป็นแน่” ชายผู้นั้นกล่าวด้วยรอยยิ้ม จากนั้นมองที่เย่หวูเฉินและพยักหน้าให้

“ท่านพี่.... ทำไม.... ทำไมท่านถึงปรากฎตัวอยู่ที่นี่.... ท่านตายไปแล้วไม่ใช่เหรอ? ท่านพี่ปกป้องพี่หญิงปี้โยวจนถูกเสวี่ยเย่สังหารไปแล้วนี่!” เสี่ยวโม่บีบมือของเย่หวูเฉินไว้แน่น ร่างสั่นสะท้านเล็กน้อยด้วยความตื่นเต้น ฉับพลันได้เห็นคนในครอบครัวที่ตายไปแล้ว ไหนเลยนางจะทำเป็นเฉยเมยได้

เย่หวูเฉินหรี่ตาลง จ้องมองชายที่เสี่ยวโม่เรียกหาว่า ‘ท่านพี่’ ในเมื่อนี่คือพี่ชายของเสี่ยวโม่ เขาย่อมเป็นปีศาจอย่างไม่ต้องสงสัย.... ทว่าความรู้สึกเป็นมิตรที่สัมผัสได้ ทำให้เขารู้สึกเข้ากับคนผู้นี้ได้ง่ายมาก ไม่มีอารมณ์ด้านลบหรือหวาดระแวงแม้แต่น้อย ก่อนหน้านี้เสี่ยวโม่ลงมือสังหารด้วยความชิงชังเพราะถูกทอดทิ้ง ทว่านางแทบไม่ต่างจากเด็กหญิงธรรมดา ปีศาจ.... นี่คือชื่อของเผ่าพันธุ์ พวกเขาจะชั่วร้ายตามความหมายของมันจริงๆหรือ?

นามว่า เทพ คือตัวแทนของความเป็นมิตรและศักดิ์สิทธิ์.... ทว่าเมื่อนึกถึงเจวี๋ยเทียนและเย่หมิง สิ่งที่พวกมันแสดงออกมาคืออารมณ์ด้านลบอย่างเห็นได้ชัด

หลายๆครั้ง สามัญสำนึกธรรมดาไม่อาจใช้ตัดสินความถูกผิดได้อย่างเที่ยงตรง

ชายผู้นั้นยิ้มและพยักหน้าให้เสี่ยวโม่ “ในอดีต ข้าได้ตายไปแล้วจริงๆ แต่ในบรรดาเหล่าเทพและปีศาจ มีน้อยนักที่จะรู้ว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจของพวกเราสามารถส่งวิญญาณปีศาจให้เกิดใหม่ได้ เมื่อร่างปีศาจตกตาย วิญญาณปีศาจจะยังไม่สลายในทันที ในช่วงวิกฤตนี้ เป็นโอกาสที่จะส่งวิญญาณไปเกิดใหม่ใน ‘ร่างอื่น’ หลังจากที่ร่างปีศาจของข้าตกตาย เสด็จพ่อได้ผนึกวิญญาณปีศาจของข้าเก็บไว้ หลังจากนั้นไม่นาน เพื่อหาทางเอาชนะเทพจักรพรรดิ เจ้าจึงถูกส่งมาที่นี่เพื่อตามหามุกเซียนโกลาหล แต่คิดไม่ถึงว่าทวีปเทวะจะล่วงรู้ถึงเรื่องนี้....” เมื่อกล่าวมาถึงจุดนี้ สีหน้าของชายหนุ่มพลันเปลี่ยนเป็นซับซ้อน ทว่าฉับพลันก็กลับเป็นรอยยิ้มทันที เขาไม่กล่าวถึงเรื่องนี้อีก เรื่องที่เกิดขึ้นมีหลายสิ่งที่น่าอัศจรรย์มากเกินไป เสี่ยวโม่ , องค์หญิงไป่เย่ และองค์หญิงเฮยเย่ที่ถูกส่งมาเพื่อกำจัดนางล้วนถูกผูกโยงไว้ด้วยโชคชะตาเดียวกัน กลายร่างเป็นสาวน้อยและอยู่รวมกันที่ข้างกายบุคคลเดียวกัน กลายเป็นพี่น้องนอนหลับร่วมเตียง สำหรับพวกนางแล้ว เขาไม่ทราบสมควรหัวเราะหรือร้องไห้....

เนื่องจากพวกนาง เสี่ยวโม่จึงไม่อาจกลับไปยังทวีปเทวะ ต้องอยู่ตามลำพังโดดเดี่ยวในทวีปแห่งนี้มากว่าร้อยปี.... ทว่าเมื่อคิดถึงหนิงเสวี่ยและทงซินแล้ว เขาไม่อาจทำใจโกรธพวกนางได้ ดวงตาของเล่งหยาคือดวงตาของเขา ทุกสิ่งที่เล่งหยาได้เห็นและได้ยินเขาล้วนได้เห็นและได้ยินเช่นเดียวกัน

“เสี่ยวโม่ หลังจากที่เจ้าจากไป เสด็จพ่อและเสด็จแม่คิดถึงเจ้ามาก เจ้ารู้หรือไม่ หลังจากที่ทวีปเทวะรู้ข่าวว่าพวกเราเข้าสู่ทวีปเทียนเฉินเพื่อตามหามุกเซียนโกลาหล พวกมันไม่เพียงไม่ส่งเทพให้โจมตีเจ้าในทันที แต่ยังหลอกล่อพวกเราเพื่อทำลายเส้นทางเพียงหนึ่งเดียวที่มายังที่นี่ทิ้ง หากหวังสร้างเส้นทางขึ้นใหม่จะต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งร้อยปี เสด็จพ่อและเสด็จแม่ไม่เลิกล้มทำทุกวิธีการเพื่อมาที่นี่ พวกท่านไม่ได้ทอดทิ้งเจ้า.... เพราะเจ้าคือน้องสาวเพียงคนเดียวของข้า เป็นลูกสาวเพียงคนเดียวของพวกท่าน เพราะหมดหนทางพาเจ้ากลับไป เสด็จแม่จึงมักหลั่งน้ำตาร้องไห้ด้วยความห่วงหา เสด็จพ่อยังมักถอดทอนใจในทุกวันคืน และเพื่อคุ้มครองเจ้า รวมทั้งเพื่อไม่ให้เจ้าเดียวดาย เสด็จพ่อจึงได้ส่งข้ามาเกิดใหม่ที่นี่ด้วยโลหิตสังสาระ ถึงแม้จะมีความเสี่ยงอยู่มาก แต่ในที่สุดก็ทำสำเร็จ.... เสี่ยวโม่ เจ้ายังเกลียดเสด็จพ่อกับเสด็จแม่อยู่หรือไม่?” ชายผู้นั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

“.......” ร่างของเสี่ยวโม่แข็งทื่อ แววตาค่อยๆสั่นกระเพื่อม นางขยับริมฝีปาก ทว่ากลับไม่มีสุ้มเสียงใดหลุดออกมา

กลายเป็นว่าพ่อแม่ไม่ได้ทอดทิ้งหรือลืมนาง แต่เป็นเพราะพวกเขาหมดหนทางมาที่นี่เพื่อพานางกลับ ทว่าการใช้โลหิตสังสาระ.... มีความเสี่ยงที่สูงลิ่ว เนื่องจากเป็นวิชาที่ฝ่าฝืนกฎเกณฑ์และต่อต้านเจตจำนงค์ของสวรรค์ เพื่อนางแล้ว พวกเขายังเลือกที่จะทำมัน.... นางช่างโง่เขลาเสียจริงๆ นางควรคิดได้ตั้งแต่แรกว่าพ่อแม่ของนางรักนางเพียงใด ไหนเลยทั้งสองจะทอดทิ้งนางได้.... เหตุใดนางถึงเอาแต่ใจตนเองเช่นนี้ เกลียดชังพวกเขามาตลอดหลายปี....

“ท่านพี่.... ข้า....”

“ข้ารู้ ข้ารู้” ชายคนนั้นยิ้มและพยักหน้า “เจ้าค่อนข้างดื้อรั้นมาตั้งแต่เด็ก มักทำแต่ใจเกิดเหตุอยู่บ่อยครั้ง ดังนั้น หลังจากที่ข้ามาที่นี่ สิ่งแรกที่ต้องรีบทำคือตามหาเจ้า แต่คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะได้พบคนที่ทำให้เจ้าไม่ปราถนาจากไป หินหนักที่ถ่วงอยู่ในใจข้าจึงได้ปลดวางลง หากได้รู้ว่าเจ้าใช้ชีวิตทุกวันอย่างมีความสุขยิ่งกว่าตอนที่อยู่ในบ้านเกิด เสด็จพ่อและเสด็จแม่คงรู้สึกคลายใจลงได้มาก”

เขามองมายังเย่หวูเฉิน เผยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณ

“เล่งหยาอยู่ที่ไหน?” เย่หวูเฉินเอ่ยถาม

“เขากำลังหลบอยู่....” รอยยิ้มบนใบหน้าของชายหนุ่มถูกระงับลง เขาถอนหายใจอย่างเสียไม่ได้ “เขาคือข้า และข้าคือเขา โลกนี้ไม่ใครเข้าใจเขาได้มากไปกว่าข้า ความรู้สึกของเขาในตอนนี้คือไม่มีหน้ามาพบเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะตามหาอย่างไร ไม่ว่าจะเรียกหาอย่างไร เขาก็จะหลบซ่อนตัวอยู่ห่างไกล ไม่ยอมให้เจ้าพบเห็น”

“วันนี้ เจ้าตั้งใจให้พวกเราหาเจ้าพบ” เย่หวูเฉินกล่าว

“ถูกต้อง.... ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพราะข้า พอได้หลบหนีมาตลอดครึ่งปี ในที่สุดข้าก็คิดได้ว่าเรื่องนี้ควรยุติลงได้แล้ว” เขาหยุดเสียงลงและกล่าวอย่างจริงจัง “ข้าจะบอกเรื่องที่เจ้าต้องการรู้ แต่ข้าจำเป็นต้องให้เจ้าช่วยเหลือข้า ช่วยเหลือเล่งหยา และช่วยเจ้าในขณะเดียวกัน”

เย่หวูเฉิน “.... ว่ามาเถอะ”

“ท่านพี่ บอกข้ากับท่านพ่อ ข้าอยากรู้เรื่องราวทั้งหมด” เสี่ยวโม่กล่าวด้วยแววตาสั่นไหว แม้ได้ยินเสียงที่เคยคุ้นเคยมากที่สุด ทว่านางเรียกเย่หวูเฉินด้วยคำว่า ‘ท่านพ่อ’ คำเรียกหานี้ย่อมทำให้พี่ชายนางอึดอัดใจ เขากับเสี่ยวโม่เป็นพี่น้องกัน หากนางเรียกเย่หวูเฉินว่าท่านพ่อ เช่นนั้นเขาก็ต้องเป็น....

ชายผู้นั้นรีบปัดเป่าความคิดที่อยู่วนเวียนในหัว เขาเรียบเรียงความคิดใหม่และกล่าวออกมาช้าๆ

“ชื่อของข้าคือชาหลัว เสี่ยวโม่คือน้องสาวเพียงคนเดียวของข้าชื่อว่าชาเสี่ยวโม่ พวกเราไม่ใช่บุคคลของโลกใบนี้ แต่มาจากทวีปปีศาจอันห่างไกล.... นอกจากชื่อของข้า ทุกอย่างเจ้าสมควรรู้อยู่แล้ว ด้วยสติปัญญาของเจ้า เจ้าย่อมเดาได้ถูกต้องแล้วว่าพ่อของพวกเราคือจักรพรรดิปีศาจ ผู้อยู่บนจุดสูงสุดแห่งทวีปปีศาจ พ่อของข้ามีชื่อว่าชาโหว ครองพลังปีศาจอันไร้สิ้นสุด เป็นผู้โหดเหี้ยมสำหรับศัตรู ทว่าเป็นผู้มีเมตตาอย่างยิ่งต่อครอบครัว และรักใคร่ปรองดองต่อเหล่าปีศาจ

“เพื่อตามหามุกเซียนโกลาหลทั้งสี่เม็ดที่กระจัดกระจายอยู่ในทวีปเทียนเฉิน เสี่ยวโม่ได้อาสานำทัพปีศาจจำนวนมากมาที่นี่ผ่านวงแหวนเวทย์เคลื่อนย้าย แต่ไม่คิดเลยว่าหลังจากนั้นเพียงไม่นาน เหล่าทวยเทพกลับล่วงรู้ได้ พวกเทพเลวทรามไม่ส่งเทพไปจู่โจมเสี่ยวโม่ในทันที แต่พวกมันทำลายวงแหวนเวทย์เคลื่อนย้ายเป็นสิ่งแรก ทำให้เสี่ยวโม่หมดหนทางกลับไป ทำให้พ่อของข้าไม่อาจมายังทวีปเทียนเฉินได้เป็นเวลานาน ดังนั้น เสี่ยวโม่จึงถูกโดดเดี่ยวอยู่ในทวีปเทียนเฉิน พวกเทพวางใจส่งองค์หญิงเฮยเย่และองค์หญิงไป่เย่ลงมาเพียงสองคน ด้วยความสามารถของพวกนาง การกำจัดเสี่ยวโม่ที่ถูกโดดเดี่ยวและตัดขาดจากการช่วยเหลือย่อมเป็นเรื่องที่ง่ายดายมาก....

“เรื่องราวหลังจากนั้น เจ้าสมควรทราบดีแล้ว.... กองทัพปีศาจของพวกเราถูกองค์หญิงเฮยเย่และองค์หญิงไป่เย่แห่งทวีปเทวะทำลายจนสิ้น เสี่ยวโม่ที่ถูกบีบคั้นสู่ขอบเหวแห่งความตายได้ใช้ศาสตราปีศาจต้องห้ามที่เสด็จพ่อมอบไว้เพื่อป้องกันตัว ในที่สุดพวกนางทั้งสามคนจึงถูกคำสาปแห่งมิติและเวลา.... เรื่องเหล่านี้ ข้าที่อยู่ในทวีปปีศาจไม่อาจตระหนักถึงได้เลยนอกจากเสด็จพ่อ เสด็จพ่อสัมผัสได้ว่าเสี่ยวโม่ยังมีชีวิตอยู่ ยังคงไม่ร่วงหล่นด้วยน้ำมือชั่วร้ายของเหล่าทวยเทพ”

“หลังจากนั้น เสด็จพ่อและเสด็จแม่ได้ต่อสู้ประจัญหน้ากับอาณาจักรเทพ ระหว่างนั้นก็เสาะหาวิธีพาเสี่ยวโม่กลับบ้าน ทว่าสุดท้ายไม่อาจบรรลุสิ่งใด มีเพียงต้องใช้เวลาอย่างน้อยร้อยปีสร้างวงแหวนเวทย์เคลื่อนย้ายขึ้นอีกครั้ง ในที่สุด เสด็จพ่อก็ตัดสินใจส่งวิญญาณปีศาจของข้าไปยังทวีปเทียนเฉินผ่านโลหิตสังสาระเพื่อตามหาเสี่ยวโม่”

“ดังนั้น เจ้าจึงเกิดใหม่ในตัวของเล่งหยา?” เย่หวูเฉินเอ่ยถาม โลหิตสังสาระ.... โลกของปีศาจและทวยเทพ มีหลายเรื่องราวที่มนุษย์ไม่อาจเข้าใจในความลี้ลับ

“จะว่าแบบนั้นก็ไม่ผิด โลหิตสังสาระไม่ใช่การผูกวิญญาณเข้ากับร่างใหม่เพียงธรรมดา แต่คือการอาศัยชีวิตของคนผู้นั้นเพื่อดำรงอยู่ บางทีนี่อาจเป็นการกำหนดของโชคชะตา ในที่สุด วิญญาณปีศาจของข้าก็ได้ย้ายสู่ร่างนี้ หลังจากนั้น สติของข้าก็ได้หลับไหลลึก ค่อยๆตื่นขึ้นพร้อมกับการเติบโตของเขา อย่างไรก็ตาม ร่างกายนี้ก็นับเป็นของเล่งหยา”

“ตอนที่เล่งหยาเริ่มหัดพูด วิญญาณปีศาจของข้าก็ได้ฟื้นคืนเต็มที่แล้ว ดังนั้นในร่างกายนี้จึงมีวิญญาณสองดวง หนึ่งคือดวงวิญญาณของมนุษย์ สองคือดวงวิญญาณของปีศาจ ในขณะเดียวกัน ข้ารู้ว่าพ่อใหม่ของข้าเรียกว่าฟงเฉาหยาง เป็นพ่อข้าเช่นเดียวกับเสด็จพ่อชาโหวของข้า คนหนึ่งคือผู้มอบจิตวิญญาณให้กับข้า อีกคนหนึ่งเป็นผู้มอบร่างกายให้กับข้า”

ในที่สุด เย่หวูเฉินก็เข้าใจในสิ่งที่ได้ยิน ‘โลหิตสังสาระ’ ไม่ได้ทำลายดวงวิญญาณเดิมของร่างนั้น แต่เกิดใหม่ขึ้นพร้อมกันโดยมีความทรงจำเดิม ดังนั้น ฟงเฉาหยางจึงนับว่าเป็นพ่อของเขาจริงๆ

“หนึ่งร่างไม่ควรมีสองดวงวิญญาณ อาศัยความทรงจำเดิมของข้า ข้าคิดว่าคงสามารถลบจิตวิญญาณเดิมของร่างนี้ได้โดยง่าย ทว่าข้ากลับคิดผิดไป.... ความเข็มแข็งของดวงวิญญาณนี้เหนือล้ำยิ่งกว่าข้า ไม่เพียงไม่ถูกข้าลบทิ้ง แต่ยังกดข่มข้าไว้จนมิดชิด บังคับสติของข้าให้จมอยู่ในสถานที่ที่ลึกสุด ทำให้ไม่อาจเผยตัวออกมา เขาคือเล่งหยา ข้าเองก็คือเล่งหยา แต่ทุกคนจะเห็นเพียงแค่เล่งหยาคนนั้น และข้าทำได้เพียงรอคอย เมื่อใดที่พลังปีศาจของข้ากลับคืนมา เมื่อนั้นข้าจะสามารถกดข่มวิญญาณของเขาได้ นอกจากสิ่งนี้ข้าก็ไม่สนใจสิ่งใด บางครั้งการดิ้นรนของข้ายังทำให้เขาสงสัย ทว่าเขาไม่ได้สนใจมากนัก ข้าเรียนรู้และเข้าใจโลกใบนี้ผ่านทางสัมผัสทั้งห้าของเขา”



<<<PREV    .    NEXT>>>