วันพุธที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 522

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 522 เพลิงสุริยันต้องห้าม

“ตายซะ ตายซะ.... ตาย ตาย ตาย ตาย ตาย ตาย!!”

ตูม!

เกิดการระเบิดขึ้นในระบำโลหิตสังสาระ ผืนปฐพีสั่นไหวอย่างรุนแรง มีช่องว่างปรากฎขึ้นในทะเลเลื่อยโลหิตชั่วขณะสั้นๆ พริบตานั้น กลุ่มแสงขาวได้สว่างออก ตัดมิติขึ้นมาอยู่เหนือจุดเดิมกว่าหนึ่งกิโลเมตร

เย่หวูเฉินมองเสื้อผ้าที่ขาดวิ่นทั่วร่าง ความหวั่นกลัวยังลอยล่องอยู่ในใจ เขากล่าวเสียงนุ่มนวล “ขอบคุณ เซียงเซียง”

บาดแผลนับพันทั่วร่างไร้รอยเลือด เย่หวูเฉินรักษาพวกมันในทันที เขาปัดเศษน้ำแข็งออกจากร่าง เรียกชุดใหม่จากแหวนเทพกระบี่ออกมาเปลี่ยน เต่าดำหนีออกมาพร้อมกับเขา เมื่อมองยังระบำโลหิตสังสาระที่เพิ่งหนีออกมา มุมปากของเขาพลันยกขึ้น กระซิบเสียงเบา “เฮอะ สมแล้วที่เป็นขุนพลศักดิ์สิทธิ์ น่ากลัวโดยแท้....” เขาแหงนหน้าขึ้นบนฟ้า บนนั้น มีตะวันสีทองเรืองรองแจ่มจ้าจนไม่อาจมองตรง เขาไม่สนใจมัน เพราะสิ่งที่เขาสนใจอยู่คือเวลา....

เวลา....

ต้องเอาชนะพวกมันในเวลาอันสั้นที่สุด.... เท่านั้น!!

ฉะนั้น ไม่อาจลังเลได้อีกแล้ว!

ตอนที่เสวี่ยเย่ใช้ออกซึ่งระบำโลหิตสังสาระ เขารีบควบกลั่นพลังน้ำแข็งและพลังปฐพีด้วยความเร็วสูงสุดป้องกันทั่วร่าง ทว่าเลื่อยโลหิตนับไม่ถ้วนทรงพลังน่าสะพรึงเกินไป มันแทบทำลายเกราะป้องกันของเขาในพริบตา ทั่วร่างถูกปกคลุมด้วยเงาโลหิต ในที่สุดถูกขอบคมนับไม่ถ้วนบาดร่าง หากไม่ใช่เพราะพลังป้องกันของเขาเพิ่มขึ้นมาก ร่างกายสมควรถูกตัดย่อยยับเป็นเศษผง แต่ไม่ว่าพลังป้องกันจะแข็งแกร่งเพียงใด ก็ย่อมไม่อาจต่อต้านพลังตัดเฉือนไม่รู้จบนี้ได้ ดังนั้น เขาจึงระเบิดพลังปฐพีครั้งใหญ่ สร้างโอกาสให้เซียงเซียงส่งเขาและเต่าดำออกไป ตรงกันข้ามกับเต่าดำ มันไร้การบาดเจ็บแม้แต่น้อย ขณะที่เงาโลหิตเข้าปกคลุม มันได้เก็บหัวและเก็บขาทั้งสี่ไว้ในกระดองอย่างมิดชิด ตอนนี้เมื่อมองดูร่างของมัน ก็เห็นเพียงรอยจางๆนับไม่ถ้วนเท่านั้น เล็กน้อยนักหากเทียบกับเกราะน้ำแข็งที่พังทลาย เต่าดำมีวิธีโจมตีที่จืดชืดทางเดียว แต่พลังป้องกันของมันเรียกได้ว่า ‘ผิดธรรมชาติ’ 

“เต่าดำ เซียงเซียง.... ถ่วงเวลาเสวี่ยเย่ไว้!”

เย่หวูเฉินทิ้งคำไว้เพียงสั้นๆ ทะยานร่างขึ้นสู่อากาศ ตรงไปหาเย่หมิงที่อยู่บนฟ้า

เต่าดำกลับสู่ร่างขนาดร้อยเมตร กระโดดลงสู่ผืนปฐพีจนสนั่นหวั่นไหว มันวิ่งตรงเข้าหาเสวี่ยเย่ บนหลังของมันมีร่างสีขาวน้อยๆที่แทบไม่อาจสังเกตอยู่ พลังของเซียงเซียงพุ่งทะยานขึ้นตามเย่หวูเฉิน เวลานี้ นางเป็นอสูรศักดิ์สิทธิ์เช่นเดียวกับเต่าดำ อย่างไรก็ตาม นางเป็นเพียงอสูรที่คอยสนับสนุนเท่านั้น เพราะนางมีเพียงพลังมิติ อย่างน้อยเย่หวูเฉินก็คิดเช่นนี้

พลังของเย่หวูเฉินพุ่งทะยานเพราะชายชุดดำ ในเวลาสั้นๆไม่กี่ชั่วโมงนี้ พลังของเซียงเซียงเติบโตขึ้นเช่นเดียวกัน ทว่าด้วยความเร่งร้อน เย่หวูเฉินจึงไม่ทันครุ่นคิดถึงสิ่งอื่นใด แม้ทราบว่าเซียงเซียงมีพลังเพิ่มขึ้น หากยังคงติดภาพสาวน้อยที่มีเพียงพลังตัดมิติ โดยลืมไปว่า.... เมื่อพลังมิติเติบโตขึ้นถึงระดับหนึ่ง ไม่เพียงมันสามารถตัดมิติได้เท่านั้น แต่ยังสามารถบีบอัดหรือขยายห้วงมิติ ซึ่งทรงพลังจนไม่อาจต่อต้าน

เย่หมิงถูก ‘ทลายสวรรค์แดนฟ้า’ ของเย่หวูเฉินฟาดปลิวขึ้นสู่อากาศ ที่บนนั้น มันรวบรวมพลังสูงสุดไว้ตลอดเวลา ในขณะเดียวกัน มันมองลงมาเบื้องล่าง ภายใต้หมัดหนักหน่วงของเชียนจ้ง เย่หวูเฉินยังคงปลอดภัยเหมือนแต่แรก ทั้งยังต่อยเชียนจ้งจมลึกลงใต้พื้นดิน มองเห็นเสวี่ยเย่โจมตีอย่างหนักหน่วง โดยที่เย่หวูเฉินไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ หัวใจของเย่หมิงยิ่งมายิ่งตื่นตะลึง หนึ่งเดือน เกิดอะไรขึ้นกับมัน มันถึงมีพลังเพิ่มขึ้นได้ถึงเพียงนี้.... เป็นไปไม่ได้ นี่เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด!

หากไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเอง มันคงไม่มีวันเชื่อ ทว่าสิ่งที่มันมองเห็นในยามนี้ คือสามขุนพลศักดิ์สิทธิ์ประสานพลังกัน และยังไม่อาจเอาชนะมันได้

ความก้าวหน้าที่น่าหวาดหวั่น ถูกยอมรับโดยกระบี่ตัดดาราและคันศรบาปวิบัติ ศักยภาพที่ไม่อาจหยั่งวัด.... มันต้องตาย หากไม่ตายในวันนี้ วันหน้าย่อมกลายเป็นปัญหาอันใหญ่หลวง!

ดังนั้น ระหว่างมองการต่อสู้ระหว่างเย่หวูเฉินกับเสวี่ยเย่และเชียนจ้งอยู่บนฟ้า มันจึงใช้ออกซึ่งพลังต้องห้าม สร้างพลังทำลายล้างที่ไม่เคยมีมาก่อน

เมื่อเห็นเย่หวูเฉินบินตรงดิ่งมาสู่มัน เย่หมิงพลันขมวดคิ้วมุ่น ร่างของมันเรืองรองด้วยแสงทองเข้มข้น ใจกลางรัศมีสีทองสิบเมตรไม่อาจมองเห็นร่างมัน.... นี่มิใช่เพียงแสงบริสุทธิ์ แต่มันลุกโชนด้วยอัคคีทองคำ อันมีชื่อว่า ‘เพลิงสุริยันต้องห้าม’ มีตำนานกล่าวว่า ‘เพลิงสุริยันต้องห้าม’ นี้มีอุณหภูมิร้อนแรงยิ่งกว่าพื้นผิวของดวงอาทิตย์ และสามารถแผดเผาได้ทุกสรรพสิ่ง

ภายใต้อุณหภูมิปานนี้ จากตำแหน่งที่เย่หมิงอยู่ พื้นเบื้องล่างอันห่างไกลเริ่มยวบยุบลง มันกำลังละลาย.... อุณหภูมิของอากาศกำลังเพิ่มขึ้น แตะสู่ระดับที่น่ากลัว

อุณหภูมิถึงปานนี้ หากเป็นคนทั่วไปใช้เวลาวินาทีเดียวก็เพียงพอพรากชีวิต แต่สีหน้าของเย่หวูเฉินยังคงสงบ ความเร็วมิได้ลดลง ยังคงพุ่งตรงไปที่เย่หมิง นัยน์ตาของเย่หมิงสาดประกายเจ้าเล่ห์ทันที เมื่อระยะของทั้งสองย่นลงไม่ถึงร้อยเมตร ร่างที่ห้อมล้อมด้วยแสงทองคำของเย่หมิงพลันหายไปในพริบตา ฉับพลันปรากฎขึ้นอีกครั้ง.... มันมิได้ปรากฎที่จุดเดิม แต่ปรากฎที่ตำแหน่งของเย่หวูเฉิน ล้อมร่างของเย่หวูเฉินไว้ท่ามกลางอัคคีทองคำ....

เย่หมิงกางฝ่ามือผลัก ‘เพลิงสุริยันต้องห้าม’ หวังทำลายเย่หวูเฉินให้สิ้นซาก มันกระซิบเสียงแห้งผาก “เจ้ามนุษย์บัดซบ ภายใต้เพลิงสุริยันนี้ จงเปลี่ยนเป็นฝุ่นผงชั้นต่ำของโลกนี้ซะ!!”

สิ่งที่น่ากลัวที่สุดของเย่หมิงไม่ใช่เพลิงสุริยันต้องห้าม แต่เป็นพลังที่แฝงมากับเพลิงสุริยันต้องห้าม หลังจากกำหนดเป้าหมาย เพลิงสุริยันต้องห้ามถูกเคลื่อนจากตัวมันไปยังอีกฝ่าย ส่งเพลิงสุริยันผลาญเป้าหมายให้กลายเป็นเถ้าธุลี

เห็นเย่หวูเฉินถูกล้อมรอบด้วยเพลิงทองคำ หมดหนทางให้หนีรอด มันมั่นใจเต็มเปี่ยมว่าเย่หวูเฉินต้องตกตาย ไม่เพียงแค่ตายเท่านั้น แต่ยังต้องกลายเป็นเถ้าธุลี ครั้งนี้ เพลิงสุริยันต้องห้ามเกิดจากพลังที่มันรวบรวมอยู่นาน ธรรมดายามต่อสู้กับศัตรู มันไร้เวลามากมายถึงเพียงนี้ แต่สามขุนพลศักดิ์สิทธิ์ต่อสู้ประสานกันจึงสร้างโอกาสให้แก่มัน ในเมื่อนี่คือเพลิงสุริยันต้องห้ามที่ทรงพลังสูงสุด มันจึงเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยม ไม่ว่าผู้ใดก็ตาม ต่อให้เป็นเสวี่ยเย่หรือเชียนจ้ง ก็ล้วนไม่อาจต้านยันเพลิงนี้ได้นานนัก และยิ่งไม่อาจหลบหนีได้

แต่ทว่า ความมั่นใจที่มากล้นมักนำไปสู่ผลลัพธ์อันโหดร้าย เนื่องจากยามที่บุคคลมั่นใจมากเกินไป และคิดว่าศัตรูต้องตายแน่ นั่นคือเวลาที่คนประมาทมากที่สุด

ท่ามกลางเพลิงทองคำ ฉับพลันมีแสงทองคำตวัดพุ่ง แสงนี้รวดเร็วอย่างยิ่ง มันพุ่งมาจากเพลิงสุริยันต้องห้ามที่ไม่ควรมีสิ่งใดเหลือรอด ความเร็วเหนือล้ำเกินคำบรรยาย เมื่อเย่หมิงตระหนักถึงมัน แสงนี้ก็ทะลวงผ่านร่างมันแล้ว

“อะ....อั่ก!!”

เย่หมิงยกมือขึ้นกุมอก โลหิตสีทองไหลทะลักระหว่างนิ้ว ดวงตาแทบปริแตก ใบหน้าหล่อเหลาบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวดและตกตะลึง เพลิงสุริยันต้องห้ามที่ล้อมห้วงอากาศตรงหน้าสลายไปอย่างฉับพลัน หายไปอย่างหมดจดในชั่วเวลาสั้นๆ นี่นับว่ารวดเร็วเกินไป กระทั่งเย่หมิงยังไม่อาจสลายเพลิงสุริยันต้องห้ามรวดเร็วถึงเพียงนี้ได้ หลังจากที่แสงทองคำหายไป เย่หวูเฉินเหยียดยิ้มอยู่ตรงจุดที่เคยเป็นใจกลางของเพลิงนั้น ทั่วร่างไร้บาดแผลใดๆ เส้นผม เสื้อผ้า ไร้รอยไหม้แม้แต่น้อย

โลหิตหยุดหลั่ง ความเจ็บปวดยังคงอยู่ ทว่าไม่อาจเทียบได้กับความแตกตื่นของเย่หมิง

เย่หวูเฉินไม่เกรงกลัวต่อไฟ ไฟทุกชนิด ทุกรูปแบบ ทุกความรุนแรง ล้วนไม่อาจทำให้เขากลัวได้ ทั้งยังไม่อาจทำอันตรายหรือคุกคามใดๆ ความพิเศษของร่างกายเขา เหล่าเทพแท้จริงล้วนไม่อาจเทียบได้ อย่าว่าแต่อุณหภูมิเท่าพื้นผิวของดวงอาทิตย์เลย ต่อให้อุณหภูมิสูงสุดอย่างใจกลางดวงอาทิตย์ ก็ยังไม่อาจทำอันตรายเขาได้

“เจ้ามั่นใจตัวเองมากเกินไป” เย่หวูเฉินฉีกยิ้ม มือขวาคว้ากระบี่ตัดดาราที่บินกลับ ฉับพลันพุ่งตรงเข้าสู่เย่หมิงที่บาดเจ็บหนัก เหวี่ยงกระบี่ที่ทรงพลังล้ำเลิศ

เกิดเสียงสะเทือนหูดับ มีประกายไฟกระจายทั่ว กระบี่ตัดดาราและหอกหยินหยางดับชะตากระทบสัมผัสกัน เย่หมิงที่เจ็บหนักจากบาดแผลถูกพลังซัดปลิวไปไกล ใบหน้ายิ่งบิดเบี้ยวและซีดขาว เย่หวูเฉินกลั่นแกล้งกันเกินไป กระบี่ตัดดาราหนักหน่วงกว่ากระบี่ใด ความเร็วของเย่หวูเฉินยังเหนือล้ำ ภายใต้การประสานของสองสิ่ง เย่หมิงทำได้เพียงอดกลั้นความเจ็บปวดและปัดป้อง ไร้ช่องว่างให้ตอบโต้ได้ สถานการณ์ยิ่งมายิ่งลำบาก ใบหน้าของมันยิ่งซีดขาว ได้แต่ล่าถอยอย่างต่อเนื่อง แผลตรงอกที่พึ่งผนึกไว้ปริฉีกด้วยเลือดไหลท่วม

มองดูสีหน้าที่ยิ่งเจ็บปวดของเย่หมิง เย่หวูเฉินยิ่งเผยสีหน้าทะมึน เขากล่าวเสียงเย็นเยียบ “เย่หมิง.... ข้าไม่เคยลืมสายตาเหยียดหยันที่เจ้ามองมายังข้า ข้าคือคนที่แพ้ได้ แต่ไม่ใช่คนที่ยอมรับการโดนดูถูก ผู้ใดดูหมิ่นข้า ข้าจะทำให้มันเสียใจไปชั่วชีวิต.... และข้าไม่มีวันลืม ว่าเจ้าคือคนที่พรากหนิงเสวี่ยและทงซินไปจากข้า!!”

ตูม!!!

ภายใต้พลังหนักหน่วงของ ‘แยกฟ้าผ่าปฐพี’ หอกหยินหยางดับชะตาที่ต้านรับถูกฟันขาด หากมิได้ผ่าร่างของเย่หมิงจนขาด เย่หมิงถูกพลังมหาศาลอัดปลิวลงไปเบื้องล่างดุจกระสุนปืนใหญ่ ทว่ามันปลิวไปได้เพียงครึ่งทาง เย่หวูเฉินใช้ความเร็วที่เหนือกว่าหลายเท่า ไล่ตามจนแซงมาอยู่ด้านล่าง เหวี่ยงกระบี่ใส่มันอีกครั้งด้วยความเกลียดชัง

“ทลายสวรรค์แดนฟ้า!!”

เย่หมิงดวงตาเบิกโพลง ได้แต่มองอย่างแตกตื่นและหมดหนทางไปยังแสงทองคำที่เหวี่ยงสู่ร่าง ข้างหูได้ยินเสียงเลือนลั่น ภายใต้แรงปะทะของแสงทองคำ ร่างที่ร่วงลงถูกฟาดให้ปลิวขึ้นฟ้าอีกครั้ง กระบี่นี้ทรงพลังยิ่งกว่าแยกฟ้าผ่าปฐพีนับสิบเท่า แทบสลายพลังทั้งหมดในร่างของมัน สร้างบาดแผลลึกบนร่างของมันไว้....

เย่หวูเฉินยังไม่หยุด เขาพุ่งกลับขึ้นไป ไล่ตามร่างที่ปลิวสู่อากาศ ส่งเสียงทะมึนน่ากลัวไปยังเย่หมิงที่ใกล้หมดสติ “เจ้าคงชอบเล่นกับไฟสินะ.... ถ้างั้น ข้าจะแสดงให้เจ้าเห็น ว่าอะไรคือไฟที่ทรงพลังที่สุด!”

“เก้าหงส์อัคคี!”



<<<PREV    .    NEXT>>>