วันจันทร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 497

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 497 เครื่องบูชายัญของเทพลึกลับ

“ตาย? ตายได้ยังไง? ข้าลำบากลำบนกว่าจะหาเจ้าพบ เจ้ากลับบอกว่าอยากตาย.... นี่เจ้าเห็นข้าเป็นตัวอะไร!” ฉู่จิงเทียนคว้าคอเสื้อเล่งหยายกขึ้นจนตัวแทบลอย ตะโกนคำออกมาสุดปอด เขารู้ว่าเหตุใดเล่งหยาถึงเลือกความตาย.... เขาต้องการชดใช้ให้กับเฮยเซียงที่ถูกตนเองสังหาร ชดใช้ให้กับสหายที่ถูกเขาทำลายกระบี่ที่รักยิ่งชีวิต

เย่หวูเฉินตบไหล่ของฉู่จิงเทียน สั่นศีรษะและกล่าว “อย่าขัดขวางเขาเลย ให้เขาเป็นคนตัดสินใจเลือกเอง.... เล่งหยา ก่อนที่เจ้าจะตาย ให้ข้าได้พาเจ้าไปยังสถานที่แห่งหนึ่งก่อน หลังจากนั้น เจ้าคิดจะอยู่หรือตาย ทุกอย่างให้เจ้าตัดสินใจด้วยตัวเอง จะไม่มีใครขัดขวางเจ้าอีก”

สิ้นเสียงจบลง แสงขาวกลุ่มหนึ่งได้ครอบคลุมร่างของคนทั้งสี่ มิติถูกตัดผ่าน เมื่อร่างกายปรากฎขึ้นอีกครั้ง ฉากที่เห็นยังคงเป็นราตรีที่ย้อมด้วยแสงจันทร์ ในเส้นสายตานั้น มองเห็นหลุมศพที่ไม่เล็กไม่ใหญ่อยู่หลุมหนึ่ง ตรงหน้าหลุมศพมีป้ายหินที่ไม่ใหญ่มากนัก....

มองเห็นหลุมศพที่ครั้งหนึ่งตนเองได้ขุดกับมือ อักษรบนป้ายหลุมศพเคยถูกสลักด้วยนิ้ว ชายผู้หนึ่งซึ่งถูกคนมองว่าสูญสิ้นความรู้สึก ยามนี้ทั้งร่างกำลังสั่นสะท้านประหนึ่งถูกต้องกับสายลมเย็น

“ก่อนที่เจ้าจะตาย จงถามปิงเอ๋อร์เสียก่อน ชีวิตของเจ้าถูกแลกมาด้วยชีวิตของปิงเอ๋อร์ ตอนนี้เจ้ากลับคิดจบชีวิตที่ปิงเอ๋อร์อุตส่าห์เสียสละแลกมาด้วยชีวิตนาง.... ได้ ข้าจะไม่ขัดขวางเจ้า พี่ใหญ่ฉู่จะไม่ขัดขวางเจ้าเช่นเดียวกัน ในเมื่อเจ้าไม่อยากมีชีวิตเพื่อปิงเอ๋อร์แล้ว ไม่ต้องการใช้ชีวิตอยู่ต่อในส่วนของนาง เช่นนั้น ผู้ใดก็จะไม่ขัดขวางความต้องการของเจ้าอีก”

เคร้ง!

กระบี่คร่าสายลมที่ไม่ทราบถูกเย่หวูเฉินยึดไว้ตั้งแต่เมื่อใดได้ถูกโยนไปที่เล่งหยา ตกลงก้อนกรวดส่งเสียงกระทบชัดเจน

ฉู่จิงเทียนลอบโล่งใจ ดูจากอารมณ์ที่สั่นไหวของเล่งหยา เขารู้ว่าเล่งหยาจะไม่ฆ่าตัวตาย.... ตราบใดที่คนผู้หนึ่งยังมีชีวิต เขาย่อมไม่มีวันทำลายความรู้สึกได้อย่างแท้จริง ความเมินเฉยของเล่งหยามิได้เกิดขึ้นเพราะเขาไร้ความรู้สึก แต่เป็นเพราะคนผู้หนึ่งได้ทำให้หัวใจของเขาเจ็บปวดและสิ้นหวังจนเย็นชา.... และคนผู้นั้นคือปิงเอ๋อร์

ลมราตรีค่อยๆเย็นลง เล่งหยาค่อยๆคุกเข่าลงตรงหน้าหลุมศพของปิงเอ๋อร์ เป็นเวลาเนิ่นนานที่เขาเงียบงัน เย่หวูเฉินและฉู่จิงเทียนไม่ทำลายความเงียบที่เกิดขึ้น มองเล่งหยาที่สุดท้ายได้กลับมาที่นี่อีกครั้ง

เขาคือเล่งหยา อายุครบ 22 ในปีนี้ อยู่ยังไม่ทันถึงครึ่งชีวิตก็ต้องประสบความทุกข์ทรมานมากมาย ราวกับคนที่ถูกสวรรค์ทอดทิ้ง เดินบนถนนแห่งความเจ็บปวดนานาชนิด ราวกับดาวที่ทอแสงอยู่อย่างเดียวดาย.... มารดาตาย บิดาตาย สตรีที่เขาชมชอบยอมสละชีวิตเพื่อช่วยเขา เฮยเซียงถูกเขาสังหารกับมือ สหายสนิทถูกเขาทำลายกระบี่ที่รักยิ่งชีพ.... ภายใต้ท่าทีอันเย็นชา ไม่ทราบเขาต้องทนแบกรับความเจ็บปวดทรมานไว้เพียงใดในหัวใจ....

เมื่อไหร่ลิขิตฟ้า จะมอบความเป็นธรรมให้กับเขา

เวลาผ่านไปอย่างเงียบงัน เล่งหยาคุกเข่าอยู่ตรงนั้นไม่เคลื่อนไหว ดุจรูปปั้นหินสลักอันแข็งทื่อ แสงจันทร์ฉายสะท้อนเงาร่างของสี่บุคคล

ฉู่จิงเทียนไม่ต้องการรบกวนเล่งหยาในยามนี้ ขณะที่เย่หวูเฉินและเสี่ยวโม่ รวมถึงอีกคนกำลังรอคอยการตัดสินใจของเขา.... เมื่อครู่ในโลกวิญญาณ แม้เขาหลบซ่อนตัวอยู่ แต่ทุกถ้อยคำของชาหลัวเขาล้วนได้ยินชัดเจน หากพวกเขาไม่ผสานวิญญาณเป็นหนึ่งในร่างเดียวกัน เมื่อเวลาผ่านไปร่างกายย่อมสูญเสียการควบคุมได้ง่ายขึ้น ย่อมสร้างความผิดพลาดมากขึ้นกว่าเดิม.... เล่งหยาคือเล่งหยา ชาหลัวคือเล่งหยาอีกคน คือพี่ชายของเสี่ยวโม่ คือบุตรของจักรพรรดิปีศาจแห่งทวีปปีศาจ เย่หวูเฉินถูกชะตากำหนดให้ไม่อาจลบตัวตนของชาหลัว ดังนั้นพวกเขาจึงต้องผสานวิญญาณเข้าด้วยกัน.... หลังจากที่ผสานวิญญาณแล้ว ตัวตนใหม่ที่เกิดขึ้นจะไม่ใช่ทั้งเล่งหยาหรือชาหลัว ชาหลัวได้กล่าวว่าไม่มีผู้ใดอยากให้จิตวิญญาณของตัวเองปนเปื้อนกับสิ่งอื่น ดังนั้น ถึงแม้จะมีชีวิตอยู่ต่อ แต่เขาย่อมไม่อาจใช้ชีวิตเพียงเพื่อตัวเองได้อีกต่อไป

เขาจะเลือกทางไหน?

โดยไม่ทันรู้ตัว พระจันทร์เหนือศีรษะได้เคลื่อนไปทางทิศตะวันตกช้าๆ เมฆหม่นได้เคลื่อนคลุมพระจันทร์เสี้ยว ทว่าแสงบางยังคงทอจาง ม่านราตรีกำลังจะล่วงผ่าน วันใหม่กำลังใกล้มาถึง

เล่งหยาคุกเข่าอยู่ตรงนั้นตลอดครึ่งคืน ฉู่จิงเทียนและเย่หวูเฉินต่างล้วนไม่เคลื่อนไหว รอคอยเขาตลอดครึ่งคืนโดยไม่กล่าวคำ.... ร่างของเขาชุ่มชะโลมด้วยน้ำค้าง สายตาจ้องตรึงที่ป้ายหลุมศพอย่างนิ่งงัน นอกจากแววตาที่สั่นไหวเป็นบางครั้ง ดวงตาของเขาก็ไม่เคยปิดลง

แสงอรุณรุ่งเริ่มทอขึ้นทางทิศตะวันออก ค่อยๆแผ่ลามมายังผืนดิน แววตาของเล่งหยาเกิดระลอกครั้งสุดท้าย ในที่สุดเขาค่อยๆลุกยืนขึ้นจากพื้น สายตายังคงมองชื่อ ‘ปิงเอ๋อร์’ ที่ป้ายหลุมศพ ราวกับจะกล่าวคำลาต่อนาง และกล่าวคำลาต่อตัวเอง เพราะไม่นานหลังจากนี้ ถึงแม้เขายังเป็นเล่งหยา แต่เขาจะไม่ใช่เล่งหยาคนเดิมอีกต่อไป

“ผสาน” เขาหันร่างมาและกล่าวอย่างเย็นชา เขาเคยทำผิดพลาดครั้งใหญ่ในช่วงที่ขาดสติ ความตายอาจไม่เพียงพอชดใช้ อีกทั้งเขาจะไม่ยอมให้ผิดพลาดไปมากกว่านี้ ครั้งหนึ่งเขาเคยสาบานต่อเย่หวูเฉินว่าจะภักดีชั่วชีวิต ยอมตายโดยไม่เสียใจ หลังการผสานเขาจะแข็งแกร่งขึ้น บางที เขาอาจใช้พลังแกร่งกล้านี้ทำงานชดใช้ความผิดพลาดของตนเอง.... สำคัญด้วยหรือที่จะต้องคงความเป็นตัวเอง? ไม่เลย.... ทุกอย่างที่เขารักได้จากไปหมดแล้ว บางทีหลังจากที่กลายเป็นคนอื่น เขาอาจไม่ต้องทนทุกข์ทรมานอีกทุกวัน ดังนั้น เหตุใดจะไม่ได้....

ฉู่จิงเทียนกำลังจะเปิดปาก ทว่าถูกเย่หวูเฉินจับไหล่ไว้และสั่นศีรษะ ก่อนหน้านี้ในความเงียบงัน เขาได้เล่าเรื่องราวทุกอย่างกับฉู่จิงเทียนด้วยความคิด ทำให้เขาเข้าใจความจริงอย่างตะลึงลาน ถ้อยคำที่เล่งหยาเพิ่งกล่าวนี้ เขาล้วนเข้าใจความหมายของมัน

ถ้อยคำนี้ ไม่ได้กล่าวเพื่อพวกเขา แต่เป็นเขากล่าวต่อตนเอง

อีกเสียงหนึ่งดังมาจากร่างเล่งหยา เป็นการตอบรับต่อถ้อยคำของเขา “....เจ้าไม่ปรารถนา ข้าเองก็ไม่ปรารถนาเช่นกัน หากมีวิธีอื่นนอกเหนือจากนี้ ข้าย่อมไม่มีวันเลือกวิธีนี้โดยเด็ดขาด.... ทว่าตอนนี้ ไม่เหลือเวลาให้ข้าลังเลอีกแล้ว....”

แสงเทาลอยฟุ้งออกจากร่างของเล่งหยา เล่งหยาหลับตาลงอย่างสงบ ไม่ป้องกันจิตวิญญาณของตัวเองใดๆ ปล่อยให้สิ่งอื่นแทรกซึมสู่จิตวิญญาณของตนเอง.... การผสานวิญญาณสองดวงในหนึ่งร่างเป็นเรื่องที่เรียบง่ายมาก ไม่จำเป็นต้องเตรียมการใดๆให้ยุ่งยาก ไร้ความเจ็บปวดใดๆ ตราบใดที่สองฝ่ายยอมรับ ทุกอย่างจะสำเร็จลงอย่างรวดเร็ว

แสงเทาเป็นสีของพลังวิญญาณที่กำลังผสาน ยิ่งพลังวิญญาณบริสุทธิ์มากเพียงใด แสงที่เปล่งออกมาก็ยิ่งไร้สี

“เย่หวูเฉิน ตอนนี้ข้าสามารถบอกเหตุผลข้อสองให้กับเจ้าได้แล้ว....” นี่คือเสียงของชาหลัว เสียงของเขาอ่อนแออย่างมาก “อย่างที่ข้าพูดไว้ เหตุผลที่ข้าไม่อาจบอกเจ้าในทันที เพราะเกรงว่าหลังจากที่เจ้าได้ฟังแล้วเจ้าจะไม่สนใจเกลี้ยกล่อมเขาอีก.... หนึ่งเดือนก่อน ข้าสัมผัสได้ถึงพลังของขุนพลศักดิ์สิทธิ์เย่หมิง ครั้งนั้นข้ารู้สึกไม่สบายใจอย่างยิ่ง แล้วมันก็เกิดขึ้นจริง.... หลังจากวันนั้น ทงซินและหนิงเสวี่ย หรือก็คือองค์หญิงเฮยเย่และองค์หญิงไป่เย่แห่งทวีปเทวะได้ถูกพาตัวกลับ.... เรื่องนี้คือสิ่งที่ทวีปปีศาจของข้าหวั่นเกรงมากที่สุด....”

เย่หวูเฉินขมวดคิ้วมุ่นทันที หัวใจพลันบีบรัด แต่เขายังคงสงบไม่กล่าวสอดคำชาหลัว

“เผ่าพันธุ์ปีศาจของข้ามีพลังโดยรวมมากกว่าทวีปเทวะ ทว่าในอดีตพวกเรายอมเสี่ยงถูกตรวจพบโดยชาวทวีปเทวะ มายังทวีปแห่งนี้เพื่อค้นหามุกเซียนโกลาหล เจ้ารู้หรือไม่ว่าทำไม?.... ไม่ใช่เพราะพวกเราทะยานอยากในพลังของมุกเซียนโกลาหล แต่เพราะเสด็จพ่อของข้าบังเอิญได้ยินข่าวลืออันน่าสะพรึง ข่าวลือนั้นทำให้เสด็จพ่อของข้าหวาดกลัวเป็นครั้งแรก.... ทวีปเทวะ ซ่อนสองตัวตนที่ทรงพลังแกร่งกล้า เพียงพอทำลายทวีปปีศาจจนหมดสิ้น สองเทพลึกลับที่ไม่ทราบว่าดำรงอยู่ในทวีปเทวะมาตั้งแต่เมื่อใด....”

“เทพลึกลับทำให้เสด็จพ่อของข้ารู้สึกหวั่นกลัว เพราะหนึ่งในสองเทพลึกลับไม่ว่าผู้ใดก็ล้วนมีพลังเหนือล้ำกว่าเสด็จพ่อ สองเทพลึกลับแห่งทวีปเทวะอยู่ในสภาพหลับไหลต่อเนื่องมายาวนาน เสด็จพ่อทราบมาว่า การจะปลุกสองเทพลึกลับต้องใช้มุกเซียนโกลาหลสองเม็ดต่อหนึ่งตน.... สิ่งที่จำเป็นคือร่างภาชนะในรูปมนุษย์ บวกกับพลังของมุกเซียนโกลาหลที่เติบโตขึ้น คู่แรกที่ต้องใช้คือพลังแสงและชีวิต ส่วนอีกคู่ที่ต้องใช้คือพลังทมิฬและมรณะ”

เย่หวูเฉินขมวดคิ้วแน่น ร่างกายสะท้านอย่างรุนแรง ดวงตาแทบจะปริแตก อากาศเย็นเยียบแทรกซึมทั่วร่าง ราวกับถูกน้ำเย็นรดราดบนศีรษะ

“เจ้า.... จะบอก.... ว่า....” เย่หวูเฉินหายใจหนักหน่วง ใบหน้าบิดเบี้ยว ขบฟันไว้แน่น สีหน้าดูน่ากลัวอย่างยิ่ง

“ถูกต้อง.... องค์หญิงเฮยเย่และองค์หญิงไป่เย่ไม่ใช่ธิดาขององค์เทพจักรพรรดิ เจ้าคงรู้อยู่แล้ว องค์หญิงเฮยเย่มีพลังมรณะและพลังทมิฬอันบริสุทธิ์ เพราะนางถือกำเนิดขึ้นจากมุกเซียนโกลาหลทมิฬและมุกเซียนโกลาหลมรณะ ส่วนองค์หญิงไป่เย่มีพลังแสงสว่างและชีวิต เพราะนางถือกำเนิดขึ้นจากมุกเซียนโกลาหลแสงและมุกเซียนโกลาหลชีวิต พวกนางถูกเทพจักรพรรดิใช้เป็นภาชนะบ่มเพาะคู่มุกเซียนโกลาหล ทำให้กลายเป็นเครื่องบูชายัญเทพลึกลับ เพื่อปลุกเทพลึกลับให้ตื่นขึ้นจากการหลับไหล.... คำนวณจากเวลา มุกเซียนโกลาหลในตัวพวกนางแม้ยังไม่เติบโตเต็มที่ แต่ก็เหลือเวลาอีกไม่นานแล้ว”

ถ้อยคำของชาหลัวทำให้ร่างกายของเย่หวูเฉินยิ่งมายิ่งเย็นเยียบ แม้เขาไม่เกรงกลัวต่อความเย็น แต่ยามนี้ร่างกายของเขาสั่นสะท้านอย่างไม่อาจควบคุม

ตอนที่หนิงเสวี่ยและทงซินจากไป สิ่งที่ทำให้เขาเจ็บปวดหัวใจจนแทบฉีกคือเขาจะไม่ได้พบพวกนางอีก ไม่อาจเห็นรอยยิ้มของพวกนาง ไม่อาจได้ยินเสียง แต่เขาไม่เคยกังวลเรื่องความปลอดภัยของนาง.... เพราะพวกนางคือธิดาของเทพจักรพรรดิ ย่อมไม่ผู้ใดกล้าล่วงล้ำพวกนาง

กลายเป็นว่าเขาเข้าใจผิด.... เครื่องบูชายัญของเทพลึกลับ.... พวกนางกลับกลายเป็นเครื่องบูชายัญของเทพลึกลับ!! พวกนางถูกพากลับไปเพื่อถูกสังเวย เทพจักรพรรดิรับพวกนางเป็นธิดา สุดท้ายเพื่อเปลี่ยนพวกนางเป็นเครื่องสังเวย.... บูชายัญคืออะไร คือการสละชีวิต , พลัง และจิตวิญญาณ.... มอบทุกสิ่งทุกอย่างให้ถูกกลืนกิน!

แรงขับดันที่จะพบหนิงเสวี่ยและทงซินเพิ่มทวีขึ้นหลายเท่าในฉับพลัน เขาเข้าใจในที่สุดว่าเหตุใดชาหลัวถึงเลื่อนเหตุผลข้อนี้ไว้บอกเขาทีหลัง เพราะหากชาหลัวบอกเขาก่อน เขาย่อมไม่มีทางสงบใจลง ไม่อาจป้องกันเล่งหยาให้ฆ่าตัวตายได้ และไม่อาจเกลี้ยกล่อมให้เขาผสานวิญญาณ

ทวีปเทวะ....

ทวีปเทวะ....

ทวีปเทวะ.... สองคำนี้ดังก้องอยู่ในห้วงสติ นอกจากแรงขับดันไปยังทวีปเทวะแล้ว เรื่องอื่นๆเขาล้วนไม่นึกถึงอีก

เครื่องบูชายัญของเทพลึกลับ.... หนิงเสวี่ยและทงซินถูกพากลับไปยังทวีปเทวะ นี่คือวิกฤตความเป็นตายของชีวิต ไหนเลยเขาจะสงบใจได้ในยามนี้ ทุกห้วงคำนึงของจิตวิญญาณกลายเป็นแรงขับดันไร้สิ้นสุด.... เขาจะต้องไปยังทวีปเทวะ มิใช่เพียงเพื่อพาพวกนางกลับมา แต่ยังเพื่อช่วยชีวิตของพวกนาง หากพวกนางเกิดเป็นอะไรไป กระทั่งเขายังไม่อาจทราบได้ ว่าตัวเองจะบ้าคลั่งถึงเพียงไหน

[ปล.แก้จากตอนสปอยนะครับ 
1.การเสียสละของเทพลึกลับ แก้เป็น เครื่องบูชายัญของเทพลึกลับ 
2.บุรุษผิวดำ แก้เป็น บุรุษชุดดำ]



<<<PREV    .    NEXT>>>