วันเสาร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 516

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 516 กระบี่ฟ้า!

ทุกสายตาจับจ้องตรงตำแหน่งที่ฉิงเทียนถูกถล่ม เทพขุนพลทั้งห้าสั่นสะท้านด้วยความหวั่นกลัว เงียบงันมองอีกฝ่ายเผชิญคราวเคราะห์โดยไม่มีใครช่วย เพราะเทพขุนพลทุกตนล้วนหยิ่งผยอง หากสอดมือเข้าไปไม่เพียงฉิงเทียนจะไม่ยินดี กลับกันมีแต่ทำให้มันโกรธเคืองเท่านั้น

ฉิงเทียนกระโดดออกมาจากคูร่อง ยืนลงบนพื้นอย่างหนักหน่วง สภาพของมันยามนี้ย่ำแย่อย่างมาก ชุดเกราะแตกเสียหาย โลหิตเปรอะเปื้อนทั่วกาย ที่น่าแปลกใจก็คือ ยามนี้มันกลับมิได้เดือดดาลด้วยความโกรธ ตรงกันข้ามกลับสงบอย่างผิดปกติ มันมองรอยเลือดบนร่างด้วยแววตาเยียบเย็น สัมผัสบาดแผลร้ายแรงบนมือซึ่งถูกฉู่จิงเทียนฝากไว้ มันยกยิ้มบาง ก่อนหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง

“ข้าต้องขอยอมรับว่าเจ้าแข็งแกร่งมากจริงๆ....” มันแหงนหน้าขึ้นและยิ้มมองที่ฉู่จิงเทียน

ฉู่จิงเทียนมุ่นคิ้วและตอบกลับอย่างเย็นชา “เจ้าฆ่าพ่อแม่ข้า ดังนั้น ข้าต้องฆ่าเจ้า! วันนี้เมื่อบุกเข้ามา ข้าไม่คิดมีชีวิตกลับไปอยู่แล้ว แต่ก่อนที่ข้าจะตาย ข้าต้องฆ่าเจ้าให้ได้!”

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า....” ดวงตาแดงก่ำจับจ้องที่ฉู่จิงเทียน ฉิงเทียนหัวเราะลั่น การหัวเราะของมันส่งผลต่อบาดแผล กล้ามเนื้อบนใบหน้าของมันบิดเบี้ยวเล็กน้อย มันไม่ได้ลิ้มรสความรู้สึกเจ็บปวดมานานแล้ว เพราะมีไม่กี่คนที่สามารถทำร้ายมันได้ ฉับพลันมันแหงนมองเหมือนสัตว์ร้าย “เจ้ามนุษย์ต่ำต้อย อย่าคิดว่าแค่ทำร้ายข้าได้ จะหมายถึงสามารถเอาชนะ.... ข้าเป็นถึงเทพขุนพลผู้สูงส่ง ไหนเลยจะพ่ายแพ้ให้กับมนุษย์ชั้นต่ำอย่างเจ้า!!”

อากาศที่อยู่รอบร่างมันพลันกลายเป็นเย็นเยียบ กระทั่งยังปั่นป่วนด้วยน้ำเสียง มันยกนิ้วชุ่มเลือดชี้ไปยังฉู่จิงเทียนที่อยู่บนอากาศ ยกยิ้มด้วยสีหน้าทะมึน “เฮ้ ฮี่ ฮี่  ฮี่ ฮี่.... เจ้าถึงแม้จะแข็งแกร่ง แต่อย่างไรก็เป็นเพียงมนุษย์ชั้นต่ำสุด ไม่มีทางแข็งแกร่งยิ่งกว่าเทพ.... เจ้าสามารถทำร้ายข้าได้ ดังนั้น ข้าจะมอบความตายที่ทรงเกียรติให้กับเจ้า.... ก่อนลงมือฆ่าเจ้า ข้าจะทำให้เจ้าได้รู้ว่าอะไรคือพลังไร้ต้านที่แท้จริง!!”

เทพขุนพลทั้งห้าหันหน้ามองกัน จากนั้นถอยหลังออกไปหลายก้าว ฝาเทียนยกมุมปากโค้งเป็นรอยยิ้ม “โอ คิดไม่ถึงว่าจะถูกบีบคั้นได้ถึงขั้นนี้ ดูสิว่าเจ้าหนุ่มนั่นจะทำยังไง....”

การตอบสนองของพวกมันทำให้สีหน้าของเล่งหยาทะมึนลง ทว่าเขาไม่อาจสอดมือเข้าไปยุ่งการต่อสู้ของฉู่จิงเทียนและฉิงเทียนได้ มีไอปราณหลายสายติดตรึงบนร่างของเขา ตราบใดที่เขาขยับกาย พวกมันจะจู่โจมเขาทันที

เปรี๊ยะ!

เกราะเทพพิสุทธิ์ของฉิงเทียนแตกออกเป็นเศษชิ้นร่วงจากร่าง จากนั้นกลายเป็นผงสีน้ำตาล กระจายหายไปกับธาตุดิน รอยยิ้มของมันยิ่งทะมึนลง ราวกับมันเห็นภาพฉู่จิงเทียนตกตายโดยไม่อาจหลีกเลี่ยง เสียงทุ้มต่ำไหลออกจากปากทีละคำ “เคล็ดเทวะต้องห้าม – เทพธรรมสว่างฟ้า!”

เพลิงสีเหลืองปะทุจากกลางร่าง ลุกโชนท่วมสูงสิบเมตรอย่างรวดเร็ว จากที่ไกลๆ มองเห็นแสงเหลืองของเพลิงสูงท่วม ร่างของฉิงเทียนสั่นสะท้านในเปลวเพลิง พลังแกร่งกล้าไม่อาจบรรยายแผ่มากับเสียงอันแปลกแปร่ง ห้วงอากาศปั่นป่วน อากาศที่อยู่ใกล้ๆเพลิงสีเหลืองกำลังสั่นไหวดุจคลื่นน้ำ

หลังจากเทพขุนพลทั้งห้าล่าถอยไปหลายก้าว ในที่สุดพวกมันหยุดยืนอยู่ตรงนั้น มองมายังฉิงเทียนด้วยสีหน้าต่างกัน ในหมู่เทพขุนพลทั้งแปดล้วนเข้าใจดีว่า เคล็ดเทวะต้องห้ามของฉิงเทียนมีผลกระทบต่อพื้นที่ด้านหลังน้อยที่สุด การใช้เคล็ดเทวะต้องห้ามย่อมส่งผลกระทบหนักหนาเป็นธรรมดา ฉิงเทียนไม่มีทางยอมแพ้ให้กับมนุษย์ เมื่อถูกเหยียบย่ำเกียรติยศและความภูมิใจ ในที่สุดมันจึงใช้ไพ่ตายสุดท้ายที่อยู่ในมือ

ฉู่จิงเทียนรับรู้ได้ถึงพลังแกร่งกล้า ทว่าเขามิได้ตื่นตระหนก เราระงับลมหายใจให้ราบเรียบ ค่อยๆหลับตาลง เคลื่อนมือทั้งสองข้างเรียกกระบี่ชางหมิง ร่างกายสงบนิ่งอย่างไร้ที่เปรียบ

ที่บนพื้น ฉิงเทียนตวัดสายตามองอย่างฉับพลัน เคล็ดเทวะต้องห้ามถึงจุดพรักพร้อมในยามนี้ มันกู่ร้องดุจสัตว์ป่า ร่างในเพลิงสีเหลืองพุ่งเข้าโจมตีในฉับพลัน พื้นสีทองใต้ร่างแตกออกในพริบตา แผ่ลามไปถึงขอบลานจัตุรัสของวิหารเทวะ

เทพธรรมสว่างฟ้า กล่าวได้ว่าเป็นพลังที่สามารถทำลายสวรรค์ เป็นเคล็ดเทวะต้องห้ามแห่งแปดเทพขุนพล เพลิงสีเหลืองท่วมร่างของฉิงเทียน ดุจหินตัดผิวน้ำ เกิดคลื่นตามเส้นทางที่มันเคลื่อนผ่าน

ฉู่จิงเทียนยังคงหลับตาอยู่ เมื่อสัมผัสถึงพลังมหาศาลที่เข้ามาใกล้ เขากลับสงบอย่างไร้ที่เปรียบ ประหนึ่งหลับตาเตรียมรับการโจมตีของฉิงเทียนโดยตรง.... ทว่า บางทีนั่นอาจไม่ใช่การเตรียมรับ แต่เป็นไม่อาจทำอันใด

หากเทพขุนพลทั้งห้าต้องงุนงง ภาพตรงหน้ากลับแปลกประหลาดยิ่ง ร่างของฉู่จิงเทียนกลายเป็นภาพมายา พวกมันเห็นเงากระบี่จากร่างของเขา.... เกิดความรู้สึกพิกลในยามนี้ เห็นได้ชัดว่านั่นคือบุคคล แต่พวกมันกลับไม่อาจตัดสินได้ว่านั่นคือมนุษย์หรือกระบี่.... เป็นความรู้สึกประหลาดอันคลุมเครือ ส่งผลต่อเทพขุนพลอย่างพวกมันได้ทุกทั่วตัว

ตูม!!!!

ร่างของฉิงเทียนและฉู่จิงเทียนปะทะกันกลางอากาศ แรงปะทะเกิดขึ้นเพียงสั้นๆ สองพลังสร้างแรงระเบิดสะเทือนโลก ในพริบตาท้องฟ้าสว่างจ้าด้วยแสงเหลือง ฝุ่นผงจำนวนมากปกคลุมลานจัตุรัสหน้าวิหารเทวะจนหมดสิ้น เวลานี้มันถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นเศษซากอันย่อยยับ

นี่คือลานจัตุรัสแห่งวิหารเทวะ! ถูกปกป้องด้วยพลังเทพทุกชนิด เป็นจุดศูนย์กลางของทวีปเทวะ!

เมื่อฉิงเทียนเริ่มใช้เคล็ดเทวะต้องห้าม เหล่าเทพคุ้มกันที่อยู่ไกลๆต้องรีบวิ่งหนีออกห่าง พวกมันมองย้อนกลับมายังลานจัตุรัสที่พังทลายด้วยสีหน้าชะงักงัน ไม่มีใครกล้าขยับเข้าใกล้แม้สักก้าว เทพขุนพลทั้งห้าและเล่งหยาลอยร่างอยู่บนอากาศ ไม่มีผู้ใดส่งเสียง ต่างเงียบงันเป็นป่าช้า

ระหว่างที่แสงเหลืองระเบิดออก พวกมันได้แต่มองอย่างสิ้นหวังไปยังกระบี่สีครามจางๆ มันตัดผ่านเพลิงสีเหลือง ตัดผ่านร่างของฉิงเทียน สุดท้ายตัดลงสู่พื้น.... ผืนลานจัตุรัสมิได้พังทลายเพราะพลังของฉิงเทียน แต่เป็นการโจมตีของฉู่จิงเทียน.... พริบตานั้นฉู่จิงเทียนได้กลายเป็นกระบี่ยาวนับสิบเมตร พุ่งตัดร่างของฉิงเทียน ตัดพื้นลานจัตุรัสของวิหารเทวะ

เงียบงันดุจป่าช้า ฉู่จิงเทียนนั่งเป็นอัมพาตอยู่บนพื้น มือสองข้างยันพื้นพยุงร่างไว้ หอบหายใจหนักหน่วง ใบหน้าซีดขาวอย่างน่ากลัว เขาเงยหน้าขึ้นมองไปยังเงาร่างสองส่วนที่เบื้องบน มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มพึงใจ.... เงาสองส่วนนั้น คือร่างบุคคลที่ขาดครึ่ง คือฉิงเทียนที่ถูกตัดร่าง

ในที่สุด จิตวิญญาณก็คลายออก เขาไม่อาจรวบรวมพลังในร่างได้อีก ทรุดตัวลงนอนบนพื้นอย่างอ่อนแอ ทั้งชีวิตเขาไม่เคยมีสภาพย่อยยับถึงเพียงนี้ ที่นี่คือเมืองกงแห่งทวีปเทวะ ล้อมรอบด้วยศัตรูแกร่งกล้านับไม่ถ้วน เขาอ่อนแอถึงเพียงนี้เท่ากับชีวิตได้มาถึงจุดจบ อย่างไรก็ตาม นี่นับว่าเพียงพอแล้ว.... สามารถแก้แค้นให้พ่อแม่ได้ก่อนตาย สมควรไม่รู้สึกละอายเมื่อได้พบพวกท่าน ไม่ทราบว่าพ่อแม่มีหน้าตาเป็นอย่างไร จะใจดีเหมือนท่านป้าแม่ของน้องเย่หรือไม่.....

ณ สถานที่แห่งหนึ่งซึ่งอยู่ไกลๆ ใจกลางของวิหารเทวะ ร่างกำยำมหึมาดุจภูเขาย่อมๆได้ลอยรุดลงจากฟ้า กลับมาปรากฎในวิหารเทวะอย่างรวดเร็ว

“พี่ชายตัวโต เจออะไรน่าสนุกบ้าง?”

เสวี่ยเย่นอนตะแคงอยู่บนเก้าอี้สีแดง สีหน้าสุขสันต์อย่างประหลาดขณะชื่นชมเล็บนิ้วของตัวเอง ไม่ห่างออกไป เย่หมิงยืนอยู่ตรงหน้าต่างมองออกไปด้านนอก นิ่งงันไม่เคลื่อนไหว พวกเขาคือสามขุนพลศักดิ์สิทธิ์ที่วันนี้มีหน้าที่คุ้มกันและห้ามออกไปไหน เพราะการมีอยู่ของทั้งสามตัวตน ทำให้บรรยากาศโดยรอบกดดันอย่างน่ากลัว

เชียนจ้งย่ำเท้าอย่างหนักหน่วง ทุกครั้งที่ก้าวเท้า วิหารเทวะจะสั่นสะเทือนเล็กน้อย ได้ยินคำถามของเสวี่ยเย่ เขาส่ายศีรษะและกล่าวตอบ “ไม่มีอะไร แค่ฉิงเทียนตายแล้ว”

“โอ้....” เสวี่ยเย่แลบลิ้นออกมา ไล่เลียตามนิ้วของตัวเอง เชียนจ้งตอบกลับอย่างราบเรียบ ราวกับนี่ไม่ใช่การตายของเทพขุนพล แต่เป็นแมลงข้างถนน มีหรือที่เสียงต่อสู้จะหลุดรอดสัมผัสของพวกเขา แต่ความเข้มข้นของพลังไม่คู่ควรให้พวกเขาสนใจ ศัตรูระดับนี้ ใช้เทพขุนพลก็เพียงพอแล้ว

...................

...................

สถานที่หนึ่งในวิหารเทวะ ลึกลงไปอย่างมากใต้พื้นดิน

แสงริบหรี่ส่องสลัวในความมืด ที่นี่อยู่ลึกใต้วิหารเทวะนับร้อยๆเมตร ไม่มีผู้ใดมาที่นี่ได้นอกจากเทพจักรพรรดิ ที่นี่กว้างขวางและสูงมาก นอกจากเงาร่างขนาดใหญ่ที่ใจกลาง บริเวณโดยรอบล้วนว่างเปล่า บนพื้นมีลวดลายเส้นสายที่ซับซ้อน บางจุดก็หนาแน่น บางจุดก็เบาบาง อีกทั้งลวดลายยังไม่มีแบบแผนที่แน่ชัด

สองเงาร่างขนาดใหญ่ปรากฎเป็นรูปมนุษย์.... หากกล่าวให้ถูกต้อง นี่คือหุ่นสองตัวที่เหมือนกัน พวกมันสูงนับสิบเมตร แขนขาทั้งสี่ข้างราวกับกระบอกธรรมดา มีเพียงปุ่มนูนเล็กน้อยที่พอมองออกเป็นข้อศอก ร่างของพวกมันราบเรียบอย่างมาก มองตั้งแต่เบื้องล่างจรดเบื้องบนล้วนไม่เห็นลวดลายใดๆ ลำคอสั้นมาก หัวเล็กๆรีเป็นรูปไข่ มีดวงตาเล็กๆสองดวง ทว่าไม่ปรากฎจมูกและปาก ความแตกต่างอย่างเดียวของหุ่นสองตัวนี้ก็คือตัวหนึ่งเป็นสีดำและอีกตัวเป็นสีขาว ไม่มีสีอื่นเจือปน จากที่ไกลๆ มองเห็นราวกับหุ่นเชิดดำขาวขนาดเท่าภูเขาย่อมๆ

นี่คือหุ่นสองตัวที่สร้างขึ้นอย่างหยาบๆ จนดูน่าตลกอย่างยิ่ง ทว่าพวกมันมีชื่ออันน่ากลัวว่า หุ่นเทพลึกลับ!

วันนี้ ที่นี่ปรากฎร่างของสามบุคคล แสงสลัวไม่ได้ส่องมาจากข้างนอก หรือจากตะเกียงในนี้ แต่มาจากเส้นสายประหลาดที่อยู่บนพื้น ซึ่งพลันเรืองรองขึ้น

องค์หญิงไป่เย่ยืนอยู่หน้าหุ่นขาว องค์หญิงเฮยเย่ยืนอยู่หน้าหุ่นดำ ทั้งสองหลับตาไม่เคลื่อนไหว ต่างยอมรับชะตากรรมของตัวเอง ตอนนี้พวกนางกำลังนึกย้อนถึงช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดในชีวิต คิดถึงบุคคลผู้หนึ่งที่พวกนางไม่มีวันลืม.... ขณะรอคอยให้จุดจบของชะตามาถึง

พวกนางยืนอยู่ตรงนั้นเป็นเวลานานแล้ว วันนี้ พวกนางจะกลายเป็นเครื่องบูชายัญของหุ่นดำขาว จะต้องสังเวยตัวเองเพื่อมอบสติให้กับพวกมัน

แสงขาวกลุ่มหนึ่งส่องออกจากดวงตาของหุ่นขาว ตกกระทบบนร่างขององค์หญิงไป่เย่ ที่ข้างๆ แสงดำกลุ่มหนึ่งส่องกระทบร่างขององค์หญิงเฮยเย่เช่นกัน ในแสงนั้นผสานด้วยเสียงแตก ‘ประทุ’ เทพจักรพรรดิยืนอยู่ตรงกลางระหว่างไป่เย่และเฮยเย่ ใช้พลังตนเองกระตุ้นข่ายพลังที่ดำรงมาไม่รู้กี่ปี ฉับพลันนั้น ขนตานางขยับเล็กน้อย เพราะนางพลันรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายของฉิงเทียนที่หายไป

เผ่าพันธุ์ปีศาจบุกอย่างนั้นรึ?

นั่นสินะ อย่างไรก็ตาม.... เทพจักรพรรดิเพียงลืมตาเล็กน้อย ดวงตาทอประกายอันงามล้ำ.... พิธีกรรมจะเริ่มขึ้นในอีกไม่ช้า เมื่อมีเย่หมิง , เสวี่ยเย่ และเชียนจ้งแห่งสามขุนพลศักดิ์สิทธิ์อยู่ด้วย ผู้ใดก็ล้วนไม่อาจรุกล้ำเข้ามาได้ หรือต่อให้บุกเข้ามาได้ ก็ไม่มีทางรู้จักสถานที่นี้ เมื่อใดที่เทพลึกลับตื่นขึ้น เมื่อนั้นจะถึงคราวจบสิ้นของเผ่าพันธุ์ปีศาจ



<<<PREV    .    NEXT>>>