วันอังคารที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 521

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 521 ระบำโลหิตสังสาระ

กระบี่ตัดดารา รู้จักกันในนามหนึ่งในสามศาสตราต้องห้ามที่ทรงพลังสูงสุดในโกลาหล ทรงพลังเกินกว่าเลื่อยโลหิตของเสวี่ยเย่จะเทียบได้ ทั้งพลังของเย่หวูเฉินยังก้าวข้ามนาง เมื่อผสานกับศาสตราจึงเหนือกว่าจนนางไม่อาจต่อต้าน

เสวี่ยเย่หุบยิ้มลงทันที บนซี่ฟันเลื่อยเล็กๆนั้น นางเห็นรอยแตกเล็กน้อย

เลื่อยโลหิตอยู่กับนางมาตั้งแต่เกิด ไม่เพียงเป็นอาวุธหนึ่งเดียวของนางเท่านั้น มันยังเป็นสหายคู่กายไม่เคยห่าง พึ่งพิงชีวิตต่อกันและกัน นางไม่มีสหายคนใดนอกจากนี้ แม้นางหัวเราะร่าเริงอยู่เสมอ หากในความจริงหัวใจโหดเหี้ยมไร้ความปราณี นี่คือลักษณะที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด ไม่ว่าสิ่งใดเปลี่ยนไป ก็ไม่อาจเปลี่ยนผันลักษณะนี้ได้ พลังของนางเกิดจากเลื่อยโลหิตนี้ ไม่อย่างนั้น นางคงไม่อาจกลายเป็นหนึ่งในสามขุนพลศักดิ์สิทธิ์แห่งทวีปเทวะในเวลาเพียงพันปี ดังนั้น แม้เลื่อยโลหิตเล่มนี้จะไร้อารมณ์ความรู้สึก แต่มันคือสหายที่อยู่คู่กายนางมานานที่สุด.... กลายเป็นสิ่งต้องห้ามไม่อาจแตะต้องของนาง

วันนี้ สิ่งต้องห้ามของนาง ได้แตกบิ่นเป็นครั้งแรก

นาง โกรธเกรี้ยวจริงๆแล้ว

นัยย์ตาหม่นมัวและเย็นเชียบถูกปกคลุมด้วยแสงสีแดงจางอย่างฉับพลัน มันไม่ได้สะท้อนสีแดงจากเลื่อยโลหิต หากเกิดขึ้นจากหัวใจที่บ้าคลั่ง เป็นนางที่เตรียมสังหารอย่างเดือดดาล ยามใดที่นางแสดงอาการนี้ กระทั่งเย่หมิงและเชียนจ้งยังต้องเผ่นหนีไปไกลด้วยความกลัว

นางยกยิ้มนุ่มนวลขึ้นฉับพลัน เป็นรอยยิ้มน่าสะพรึงไร้ที่เปรียบ แสงแดงก่ำปรากฎที่ด้านหลังนาง ก่อตัวเป็นวังวนสีดำเลือด หมุนวนขยายใหญ่ขึ้น เหนี่ยวนำพลังทะมึนรวมตัวอย่างบ้าคลั่ง

เป็นพลังกระหายเลือด เย่หวูเฉินลอบมุ่นคิ้ว เวลานี้เอง วังวนแดงก่ำที่เพิ่งปรากฎขึ้นได้หายไปอย่างฉับพลัน เสวี่ยเย่ยกเลื่อยโลหิตและเหยียดยิ้ม จากระยะห่างไกล นางเหวี่ยงเลื่อยโลหิตตัดฟ้าด้วยความเร็วยิ่งยวด พริบตานั้น เลื่อยโลหิตยืดยาวออกนับพันเมตร ตัดตรงสู่ร่างของเย่หวูเฉิน

เย่หวูเฉินตกตะลึง เขาเบี่ยงร่างออกด้านข้างหลบเลื่อยโลหิต ไม่เพียงความยาวที่เพิ่มขึ้นมาก พลังตัดเฉือนยังเพิ่มขึ้นชัดหลายเท่า เพียงรัศมีพลังยังทำให้เย่หวูเฉินเจ็บเสียด เลื่อยโลหิตกำลังเคลื่อนผ่าน ฉับพลันมันตวัดกลับ ความเร็วยังเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า ส่งคมวายุโลหิตเย็นเชียบตรงไปที่ใบหน้าของเย่หวูเฉิน

เลื่อยโลหิตทั้งรวดเร็วและบ้าคลั่งขึ้นเรื่อยๆ แต่ละครั้งตวัดเล็งที่เย่หวูเฉิน ความเร็วของมันน่าสะพรึงจนเกิดเงาติดตา มือของเสวี่ยเย่ยังแทบปรากฎเป็นเงาเลือน นางเหยียดยิ้มและกรีดร้อง ที่อยู่ในมือนางราวกับไม่ใช่เลื่อยโลหิต แต่เป็นแส้โลหิตที่ตวัดผ่านอากาศ

“ตายซะ ตายซะ ตายซะ ตายซะ ตายซะ~~!!!”

อากาศเบื้องหน้าเสวี่ยเย่ถูกบดบังด้วยเงาโลหิต เสียงเลื่อยโลหิตบาดหูและน่ากลัวยิ่ง เป็นเสียงน่าสะพรึงที่นำฝันร้ายมาสู่ผู้คน ท่ามกลางกลุ่มเงาเลื่อยโลหิต เย่หวูเฉินในชุดขาวไหวร่างไปมาหลบเลี่ยงอย่างรวดเร็ว ความเร็วของเขาเหนือล้ำจนแทบไม่เห็นเงาเช่นกัน

ฉึบ!

ความเจ็บเสียดแผ่ลามมาจากใบหน้า เขาสามารถหลบคมเลื่อยปีศาจ แต่ไม่อาจหลบพลังตัดเฉือนที่นำมาโดยเลื่อยปีศาจได้ เงาเลื่อยปีศาจบดบังห้วงอากาศขนาดใหญ่ พลังตัดเฉือนจึงท่วมทับอากาศแทบทั้งหมด เย่หวูเฉินถูกห้อมล้อมด้วยพลังน่าสะพรึง ยามหลบเลี่ยงต้องแบ่งพลังเพื่อต้านยันด้วย เวลานี้ เลื่อยโลหิตเฉียดผ่านใบหน้าของเขา ฝากรอยยาวไว้ด้วยพลังตัดเฉือนของมัน

จินตนาการได้เลยว่า หากอยู่บนสมรภูมิ เลื่อยโลหิตของเสวี่ยเย่จะต้องสร้างมหาสมุทรแห่งซากศพได้ในพริบตา

ถูกห่อหุ้มด้วยเลื่อยโลหิต ไม่อาจหนีหลุดออกมาได้ เวลานี้ เย่หวูเฉินไม่อาจอาศัยพลังมิติของเซียงเซียง เพราะหากเซียงเซียงปรากฎกาย นางจะถูกทำร้ายด้วยพลังตัดเฉือน เขาไม่รีบรักษาบาดแผลบนใบหน้า สายตายิ่งมายิ่งจริงจัง รอคอยโอกาสที่เหมาะสม....

“เต่าดำ!”

เปรี้ยง~~~~~~~~

เย่หวูเฉินไม่มีวันลืมเสียงที่ได้ยินในตอนนี้ นี่เป็นเสียงบาดจิตเสียดหูซึ่งไม่อาจบรรยายด้วยภาษาใดๆ เต่าดำที่ปรากฎฉับพลันใช้กระดองดำรับเลื่อยโลหิตของเสวี่ยเย่ คมเลื่อยโลหิตครูดกระดองของเต่าดำเกิดเสียง ‘ซือ’ เสวี่ยเย่ชะงักงันด้วยไม่อาจเหวี่ยงเลื่อยไปข้างหน้าได้ เย่หวูเฉินพลิกร่างไปอยู่ข้างนางทันที ส่งคมกระบี่สู่ตัวนาง....

ม่านตาของเสวี่ยเย่หดวูบ หมอกโลหิตกลุ่มหนึ่งระเบิดออกเบื้องหน้า นางส่งพลังปัดป้องกระบี่ของเย่หวูเฉิน ดีดร่างหนีออกห่างด้วยพลังระเบิด เลื่อยโลหิตของนางยังคงคาอยู่บนแผ่นหลังของเต่าดำ กระดองที่แข็งเหนือสิ่งใดเกิดรอยจางๆในที่สุด นัยน์ตาของเสวี่ยเย่วาบผ่านด้วยความตกตะลึง เลื่อยโลหิตของนางทรงพลังตัดเฉือน กระทั่งเทพจักรพรรดิยังไม่กล้าดูแคลน เวลานี้กลับถูกเต่าประหลาดหยุดไว้อย่างสมบูรณ์!

เต่าดำที่เติบโตแล้วคำรามต่ำ ทั่วร่างเรืองรองด้วยแสงเหลือง ระเบิดพลังปฐพีอัดเลื่อยโลหิตจนปลิวกระเด็น เลื่อยโลหิตยาวพันเมตรหดสู่ขนาดเดิมและกลับสู่มือนาง แววตาโลหิตของเสวี่ยเย่จับจ้องที่เต่าดำ ตวัดมองที่เย่หวูเฉินอีกครั้ง เลื่อยโลหิตในมือยกขึ้นช้าๆ ในปากเปล่งเสียงเย็นเยียบไร้ที่เปรียบ

“ระบำโลหิตสังสาระ!!”

ชั่วชีวิตของเสวี่ยเย่ไม่เคยพ่ายแพ้ ไม่ว่าต่อสู้กับใครนางล้วนไม่เคยพ่าย ทั้งไม่มีวันยอมให้ตัวเองพ่ายแพ้ เป็นนิสัยที่หาได้ทั่วไปในตัวดรุณีน้อย ผู้ไม่ยอมสูญเสียสิ่งที่ภาคภูมิ

ระบำโลหิตสังสาระ คือเคล็ดเทวะต้องห้ามของเสวี่ยเย่ มีไว้เพื่อการสังหาร ทำให้เทพต้องหวั่นกลัว ทำให้สวรรค์ต้องสั่นสะท้าน

เลื่อยโลหิตลอยขึ้นจากมือเสวี่ยเย่ ลอยค้างอยู่ตรงหน้านาง จากนั้น เลื่อยโลหิตพลันกลายเป็นสิบเล่ม จากสิบกลายเป็นร้อย แยกอีกครั้ง.... กลายเป็นพัน.... กลายเป็นหมื่น.... ร่างของเสวี่ยเย่ห้อมล้อมด้วยเลื่อยโลหิตน่าสะพรึง มีเพียงเสียงนางเท่านั้นที่เปล่งออกมาให้ได้ยิน

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า.... เลื่อยโลหิตเริงระบำ จงเปลี่ยนทุกสรรพสิ่งให้กลายเป็นทะเลเลือด.... ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!!”

รอยยิ้มปีศาจตัดกับดวงหน้านางฟ้าของนาง เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะนี้ ในใจผู้คนย่อมเกิดภาพปีศาจกระหายเลือด ทันใดนั้น เลื่อยโลหิตนับไม่ถ้วนได้ยืดยาวออกนับร้อยเมตร

ก่อนหน้าคือเลื่อยโลหิตหนึ่งเล่มเหวี่ยงตวัด แต่ตอนนี้ เป็นเลื่อยโลหิตนับไม่ถ้วนระบำทั่วอากาศ เลื่อยแดงก่ำก่อแสงโลหิตขนาดใหญ่ มองจากที่ไกลๆ ราวกับกลุ่มโลหิตมหึมาฉวัดว่อน ทุกแห่งหนแตกออกเป็นเศษชิ้นประหนึ่งอยู่ในทะเลเลือด....

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า ตาย! ตาย! ตาย! ตาย.... ตายไปให้หมด!!”

กระแสลมดุจกลายเป็นคมโลหิต พลังประหลาดก่อแรงตัดเฉือนที่สามารถสังหารทุกสรรพสิ่ง ระบำโลหิตสังสาระ เปลี่ยนสิ่งมีชีวิตให้กลายเป็นเศษโลหิตที่เล็กสุด ทั่วทั้งทวีปเทวะ กล่าวได้ว่านี่คือการโจมตีที่โหดเหี้ยมและน่ากลัวสุด เมื่อใดที่ร่วงหล่นสู่ขุมนรกคมเลื่อยนี้ หลังตกตายร่างกายย่อมไม่เหลือเศษซาก กลายเป็นละอองโลหิตกระจายทั่วทุกแห่งหน

บุคคลที่เผ่าพันธุ์ปีศาจหวาดกลัวที่สุด มิใช่เชียนจ้งผู้มีพลังหมัดถล่มปฐพี มิใช่เย่หมิงผู้ครองเพลิงสุริยันไร้ต้าน แต่เป็นเสวี่ยเย่สาวน้อยที่เยาว์วัยสุด นางสร้างตำนานน่าสะพรึงไว้มากที่สุด คือบุคคลที่สังหารเผ่าพันธุ์ปีศาจมากที่สุด กระทั่งปีศาจที่หาญกล้าที่สุด เมื่อเห็นเสวี่ยเย่จะต้องเย็นเชียบทั่วร่างถึงจิตใจ เลื่อยโลหิตของนางสามารถยืดยาวพันเมตรในพริบตา จึงไม่มีทางใดให้หลบเลี่ยง ตวัดคราใดคือทะเลเลือดผืนใหญ่ หากถูกกระบี่กุดหัวก็เพียงตาย แต่หากถูกเลื่อยก่อนตายย่อมเจ็บสาหัส ทว่าเหนือความเจ็บปวดคือภาพที่เห็นก่อนตาย คือร่างของตนที่แยกออกเป็นสองส่วน ถูกเลื่อยอีกครั้งกลายเป็นสี่.... จนกระทั่งกลายเป็นเศษชิ้นนับไม่ถ้วน....

ระบำโลหิตสังสาระ กลืนกินเย่หวูเฉินและเต่าดำในพริบตา หายไปในคมเลื่อยที่บินตวัดท่วมฟ้า เสวี่ยเย่ใบหน้าดุร้าย จากน่ารักไร้ที่เทียบ กลับกลายเป็นบิดเบี้ยวดุจปีศาจน่าสะพรึง

เหนือท้องฟ้า ตะวันทองคำกำลังขยายออกช้าๆ ยิ่งมายิ่งเห็นได้จากที่ห่างไกล ชาวทวีปเทวะแหงนมองมายังท้องฟ้าเหนือวิหารเทวะ สีหน้าหวั่นไหว พวกมันทราบว่านี่คือพลังศักดิ์สิทธิ์ของขุนพลเย่หมิง ผู้ครองอัคคีสุริยันที่แผดเผาได้ทุกสรรพสิ่ง ตะวันทองคำกำลังขยายตัวออก ไร้ทีท่าว่าจะหยุดลง เป็นครั้งแรกที่พวกมันเห็นตะวันทองคำขนาดใหญ่ถึงเพียงนี้ กระทั่งรู้สึกถึงความร้อนแผดเผาได้แม้อยู่ห่างไกล สิ่งที่มันบรรจุไว้ คือพลังความร้อนมหาศาลปานใด

ณ สถานที่อีกแห่งหนึ่ง ใต้ดินเบื้องล่างวิหารเทวะ สถานที่ซึ่งผนึกหุ่นเทพลึกลับไว้

“....ฮุ่นเทียน , เฟิงเทียน , หยางเทียน และตั๋วเทียนตกตายทั้งหมด เย่หมิงใช้เพลิงสุริยันต้องห้าม เสวี่ยเย่ใช้ระบำโลหิตสังสาระ....” สีหน้าของเทพจักรพรรดิแปรเปลี่ยนในที่สุด ดูเหมือนศัตรูในคราวนี้มิได้เรียบง่ายเหมือนที่คาดไว้ หรือว่าจักรพรรดิปีศาจชาโหวจะบุกมาด้วยตัวเอง!?

พิธีกรรมบรรลุถึงเก้าในสิบส่วน เหลือลวดลายบนพื้นอีกเพียงไม่กี่จุดที่ยังไม่เรืองแสง เทพจักรพรรดิขจัดความคิดไขว้เขว รวบรวมสมาธิจิตใจ รอคอยให้ถึงเวลามืดค่ำ นางเชื่อว่าต่อให้ชาโหวมาด้วยตัวเอง หากสามขุนพลศักดิ์สิทธิ์สามารถต้านยันจนพิธีกรรมลุล่วงได้ เมื่อถึงตอนนั้น ต่อให้เย่หมิง , เสวี่ยเย่ และเชียนจ้งต้องตกตายด้วยมือมัน ทุกสิ่งก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้อีก



<<<PREV    .    NEXT>>>