วันอาทิตย์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 494

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 494 เผชิญหน้า

กลิ่นอายแปลกหน้าได้ปลุกคนที่ขดคู้อยู่บนพื้น ไม่ทราบว่าเล่งหยาสั่นเทาเพราะความเจ็บปวดหรือหนาวเหน็บ เขาเงยหน้าขึ้นจากพื้นทันที เผยคู่ดวงตาแดงก่ำดุจโลหิต แววตาของปีศาจกระหายเลือดสะท้อนในความมืด เมื่อเห็นดวงตาคู่นี้ ฉู่จิงเทียนพลันชะงักเท้า ทว่าทันใดนั้นเอง เล่งหยาคำรามประหนึ่งสัตว์ป่าเกรี้ยวกราด พุ่งร่างเป็นดุจลูกศรตรงไปที่ฉู่จิงเทียน

พลังที่ระเบิดออกฉับพลันในครั้งนี้ แกร่งกล้าห่างไกลจากเล่งหยาที่เขาเคยรู้จัก หกเดือนก่อนที่เขาเห็นเล่งหยาครั้งสุดท้าย เล่งหยาใช้เพียงหนึ่งกระบี่ทำลายกระบี่ชางหมิงของเขา เขาไม่ทราบว่าเล่งหยาเอาพลังน่ากลัวนั้นมาจากไหน เป็นพลังทมิฬที่สามารถสังหารเฮยเซียงและกระทั่งทำให้เหยียนต้วนชางบาดเจ็บได้

เย่หวูเฉินไม่เข้าขัดขวางเล่งหยาที่จู่โจมใส่ฉู่จิงเทียน เพราะเขาทราบดีว่าฉู่จิงเทียนยามนี้ไม่ใช่ฉู่จิงเทียนเมื่อหกเดือนก่อนอีกต่อไปแล้ว ยิ่งกว่านั้น การเปลี่ยนไปยังไม่ใช่เล็กน้อย เย่หวูเฉินกุมมือของเสวี่ยโม่ ลอยตัวอยู่บนอากาศ มุ่นคิ้วจับจ้องทุกการกระทำของเล่งหยา

กระบี่คร่าสายลมของเล่งหยาไม่ได้สัมผัสถูกร่างของฉู่จิงเทียนในทันที เขาหยุดค้างร่างในฉับพลัน สมองของเขาได้ตัดสินว่านี่คือคนแปลกหน้า ทว่าร่างกายตอบสนองด้วยการหยุดลงเพราะสัมผัสได้ถึงอันตราย หากเคลื่อนร่างตรงไปข้างหน้าอีกเพียงเล็กน้อย ร่างกายจะเจ็บปวดราวกับมีมีดนับสิบๆเล่มเสียบแทง

เย่หวูเฉินเลิกคิ้วฉับพลัน หัวใจสั่นกระเพื่อมรุนแรงอีกครั้งเพราะฉู่จิงเทียน

กระบี่.... กระบี่ไร้ตัวตน ในเวลาเพียงไม่ถึงเสี้ยววินาที มีการบิดผันจำนวนมากรอบร่างของเล่งหยา ประมาณแล้วมีมากกว่าร้อยเล่ม นี่คือกระบี่ที่มองไม่เห็น ราวกับเป็นกระบี่ไร้ตัวตนที่สร้างขึ้นจากอากาศ ถึงแม้จะมองไม่เห็นมัน แต่สัมผัสเย็นเยียบที่แผ่ออกมาล้วนไม่ต่างจากกระบี่จริง เพราะไร้ตัวตนจึงไม่อาจมองเห็น มันจึงยิ่งน่ากลัวกว่ากระบี่จริงไม่รู้กี่เท่า

ทว่าฉู่จิงเทียนกลับเพียงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นไม่เคลื่อนไหว กระทั่งมือสองข้างยังไม่ได้ยกขึ้น

นี่คือ วิธีกระบี่ที่เขาค้นพบ?

“เล่งหยา.... ตื่นได้แล้ว หรือเจ้าจำข้าไม่ได้จริงๆ?” ฉู่จิงเทียนกล่าวด้วยน้ำเสียงเจ็บปวด เขาตามหาเล่งหยาอย่างยากลำบาก ไม่เคยกล่าวโทษเล่งหยาแม้สักครั้ง เพราะเล่งหยาคือสหายสนิทของเขา เป็นพี่น้องที่ดีที่สุด หลายปีที่อยู่ด้วยกัน กินอาหารร่วมกัน ฝึกฝนกระบี่และฝากรอยแผลมากมายไว้บนร่าง บาดแผลเพิ่มขึ้นพร้อมฝีมือที่พัฒนา พร้อมความผูกพันที่แน่นแฟ้น กลายเป็นบุคคลที่ต่างฝ่ายต่างเชื่อมั่นไม่มีวันเลือน วันนั้นเล่งหยาบ้าคลั่งและหนีไปอย่างไร้ร่องรอย ไหนเลยเขาจะวางใจได้ ดังนั้น เขาจึงตัดสินใจออกท่องทั่วหล้าเพื่อตามหาเล่งหยาและช่วยเหลือเขา

และวันนี้ ในที่สุดเขาก็พบเล่งหยาอีกครั้ง ทว่าดวงตาของเขายังคงแดงก่ำและปกคลุมด้วยหมอกทมิฬ

เล่งหยายกมือขึ้นช้าๆ ‘หนึ่งเส้นสวรรค์’ ไม่ใช่กระบวนท่าฉับพลัน ไม่อย่างนั้นมันคงเป็นกระบวนท่าที่ฝืนสวรรค์อย่างแท้จริง ทว่าเมื่อเทียบกับช่วงเวลาที่ยกมือขึ้นแล้ว จังหวะตวัดลงรวดเร็วกว่าเป็นอย่างมาก ‘หนึ่งเส้นสวรรค์’ จะสมบูรณ์แบบต้องอาศัยคมกระบี่คร่าสายลมเป็นหลัก

ฉึบ!

เสียงมิติขาดออกอย่างรุนแรง กระบี่ไร้ตัวตนที่อยู่เบื้องหน้าถูกตัดขาดกระจุย ตวัดลงด้วยความเร็วอันเหนือล้ำ ‘หนึ่งเส้นสวรรค์’ รวดเร็วยิ่งกว่าลูกศร หากนี่เป็นครั้งแรกที่เผชิญหน้ากับกระบวนท่านี้ เขาย่อมไม่มีทางที่จะหลบหนี เนื่องจากภายใต้การตวัดมือของเล่งหยา ทุกสิ่งที่เคลื่อนหนีย่อมไม่ทันการ

ฉู่จิงเทียนไม่คิดว่ากระบี่ไร้ตัวตนของเขาจะต้านยันหนึ่งเส้นสวรรค์ของเล่งหยาอยู่ ดังนั้นก่อนที่มือของเล่งหยาจะลดระดับ ร่างของฉู่จิงเทียนก็ได้เคลื่อนรอแล้ว เขาหลบเลี่ยงหนึ่งเส้นสวรรค์ได้อย่างสมบูรณ์ ตำแหน่งที่เขายืนอยู่เมื่อครู่ ถูกคลื่นอากาศแกร่งกล้าตัดพื้นเป็นรอยยาวไม่ทราบว่าลึกเท่าใด

กระบวนท่าทำลายฟ้า เล่งหยาอาศัยเพียง ‘หนึ่งเส้นสวรรค์’ ก็เพียงพอเย้ยหยันทั่วหล้าแล้ว

แม้ฉู่จิงเทียนสามารถหลบเลี่ยงได้อย่างสมบูรณ์แบบ ทว่าการหลบหลีกย่อมหมายถึงเขาสูญเสียการเป็นฝ่ายคุมเกม เขายืนร่างอย่างมั่นคง เล่งหยาตวัดหนึ่งเส้นสวรรค์ลงมาอีกครั้ง คราวนี้ฉู่จิงเทียนสีหน้าแกร่งกร้าว กู่ร้องคำหนึ่ง ไม่ได้หลบเลี่ยงออกด้านข้าง ทว่าถอยหลังด้วยความเร็วสูงสุด

เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง!

กระบี่ไร้ตัวตนป้องกันอยู่เบื้องหน้าของฉู่จิงเทียนอย่างต่อเนื่องขณะล่าถอย จากนั้นแตกออกด้วยแรงปะทะของหนึ่งเส้นสวรรค์ ทว่าเพียงกระบี่ไร้ตัวตนเล่มแรกก็ทำให้ความเร็วของหนึ่งเส้นสวรรค์ชะลอลง พลังของมันยังลดลงหลายส่วน เมื่อตัดผ่านกระบี่ไร้ตัวตนต่อเนื่อง หนึ่งเส้นสวรรค์ที่ตัดลงมาถึงร่างของจิงเทียนก็พลังอ่อนโทรมลงมากแล้ว

ทันใดนั้น ความเจ็บปวดรุนแรงพุ่งขึ้นที่ร่างกายส่วนหน้า เสื้อผ้าของเขาถูกตัดออกเป็นแนวตั้ง ทว่าแม้เจ็บปวดแต่เขาไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ มีเพียงรอยแดงพาดยาวบนผิวหนัง นี่คือครั้งแรกที่ฉู่จิงเทียนรับมือหนึ่งเส้นสวรรค์โดยตรง ต้านรับพลังส่วนใหญ่ของหนึ่งเส้นสวรรค์ได้ด้วยพลังตนเอง ทว่าพลังของมันยังคงน่ากลัว

ความน่ากลัวของหนึ่งเส้นสวรรค์ไม่ได้อยู่ที่พลังที่มันบรรจุ แต่เป็นพลังที่ถูกบีบอัดให้บางลงมากที่สุด ดังนั้นพลังทำลายของมันจึงน่ากลัวยิ่ง คล้ายกับการใช้แรงเพียงเล็กน้อยก็สามารถแทงเข็มผ่านผิวหนังได้ง่ายๆ เป็นหลักการเดียวกับที่กดน้ำหนักเบาๆลงบนใบมีด เพียงเท่านี้ก็สามารถทำร้ายผู้คนแล้ว เขาใช้หลักการนี้บีบอัดพลังพันส่วนให้เหลือเพียง ‘ส่วนเดียว’

ต้านรับหนึ่งเส้นสวรรค์อีกครั้ง ฉู่จิงเทียนทิ้งระยะออกห่างจากเล่งหยา เขาสูดหายใจและระบายลมยาวออกมา.... ฉู่จิงเทียนชื่นชอบการต่อสู้และท้าประลองกับยอดฝีมือ แต่เขาไม่เคยต้องการต่อสู้เป็นตายกับสหายสนิทของเขา ที่ระยะห่างไกล เล่งหยาเปิดคู่ดวงตาแดงก่ำ กุมกระบี่คร่าสายลมพุ่งเข้าหา ยามนี้เขาไม่ต่างจากสัตว์ป่าบ้าคลั่ง มีเพียงสัญชาตญาณสังหารเป้าหมาย ไม่มียับยั้งสติใดๆ หากฉู่จิงเทียนยืนอยู่ตรงนั้นคอยรับหนึ่งเส้นสวรรค์ สุดท้ายเขาจะต้องพ่ายแพ้ กระทั่งยอดฝีมือสูงสุดของทวีปเทียนเฉินยังไม่กล้าต้านรับกระบวนท่าน่ากลัวนี้โดยตรง แน่นอนว่าเว้นเย่หวูเฉินไว้หนึ่งคนที่สามารถทำลายกระบวนท่านี้ได้ในทันที

เล่งหยาไม่ใช้หนึ่งเส้นสวรรค์อีก ทว่าพุ่งตรงเข้ามาอย่างเร็วรุด ฉู่จิงเทียนหลับตาลงในยามนี้ ริมฝีปากขยับโดยที่ไม่อาจสังเกต

สัมผัสคุกคามแห่งความตายทำให้เล่งหยาหยุดเท้าลงอีกครั้ง กระบี่ไร้ตัวตนจำนวนนับไม่ถ้วนได้ปรากฎอยู่รอบร่าง ทว่าครั้งนี้ กระบี่ไร้ตัวตนไม่หยุดนิ่งให้เล่งหยาได้มีโอกาสตอบโต้เหมือนครั้งแรก มันเคลื่อนเข้าจู่โจมเล่งหยาอย่างบ้าคลั่ง....

“เคล็ดเทพกระบี่ – เจ็ดผนึกสังหาร!”

อากาศบิดผันด้วยกระบี่ กระบี่ไร้ตัวตนนับร้อยเล่มเคลื่อนออกในเวลาเดียวกัน แทงตรงเข้าใส่ร่างของเล่งหยา ลมหายใจของเล่งหยาพลันปั่นป่วน ตอนนี้อากาศได้กลายเป็นขุมนรกกระบี่แห่งความตาย เย่หวูเฉินและเสี่ยวโม่ที่ลอยร่างอยู่ไกลยังรู้สึกถึงอากาศที่เสียดแทง

เคร้ง! กระบี่ไร้ตัวตนสลายเป็นผงเมื่อสัมผัสกับกระบี่คร่าสายลมของเล่งหยา

เคร้ง! กระบี่ไร้ตัวตนอีกเล่มถูกตัดสลายออก.... กระบี่อีกเล่มพุ่งมาที่ไหล่ เสียบเข้าสู่เสื้อผ้ายุ่งเหยิงของเขา เขาพลิกร่างฉับพลันราวกับปลา  หลบเลี่ยงคมกระบี่ที่เสียบแทง โอกาสตอบโต้ยิ่งมายิ่งน้อยลง อย่าว่าแต่จะใช้หนึ่งเส้นสวรรค์เลย

ใบหน้าของเย่หวูเฉินฉายความตื่นตะลึงอีกครั้ง เจ็ดผนึกสังหารนี้ ฉู่จิงเทียนเคยใช้ออกมาในงานชุมนุมยุทธเวทย์แห่งเทียนเฉิน ครั้งนั้นเขาเฉือนร่างเหยียนเจิ้งจนยับเยินด้วยกระบี่เล่มเดียว แต่ตอนนี้เขาควบคุมกระบี่นับร้อย ราวกับมีฉู่จิงเทียนร้อยคนใช้กระบี่ชางหมิง หนึ่งหัวใจย่อมไม่อาจแบ่งเป็นสอง ต่อให้แบ่งออกได้ย่อมควบคุมได้เพียงในแบบเดียวกัน ทว่ากระบี่ไร้ตัวตนนับร้อย แต่ละเล่มล้วนมีรูปแบบเฉพาะตัว.... อีกทั้งเห็นได้ชัดว่าฉู่จิงเทียนไม่ต้องการทำร้ายเล่งหยา กระบี่ไร้ตัวตนที่โจมตีจึงแทบไม่สัมผัสถูกร่างเขา ไม่ทำร้ายเขาใดๆ ไม่เล็งไปที่จุดตายของเขา

กล่าวกันว่า ไร้กระบี่คือต้องละทิ้งกระบี่ ใช้ไร้กระบี่ เอาชนะกระบี่ให้ได้

กระบี่ที่หัวใจ ในความทรงจำของเขา คือการเชื่อมโยงหัวใจเข้ากับกระบี่ ดังนั้นกระบี่จึงตวัดได้ตามใจนึก พลังที่ส่งจากใจเข้าสู่กระบี่น่าสะพรึงมาก หากแต่ก็สามารถควบคุมกระบีได้เพียงเล่มเดียวเท่านั้น

ทว่าวิถีกระบี่ที่ฉู่จิงเทียนค้นพบ ไม่เพียงจะไร้ตัวตนเหมือน ‘ไร้กระบี่’ แต่ยังแฝงพลังขับเคลื่อนแห่ง ‘หัวใจ’ ราวกับเป็นการผสานไร้กระบี่ กับกระบี่ที่หัวใจ! ที่อัศจรรย์ยิ่งกว่านั้นคือเขาสามารถควบคุมกระบี่ได้จำนวนมาก.... เขาบรรลุถึงขั้นนี้ได้อย่างไร เขาอาศัยพลังใดถึงแกร่งกล้าได้เพียงนี้?

เย่หวูเฉินครุ่นคิดอย่างเงียบงัน หากผู้ที่รับมือในยามนี้ไม่ใช่เล่งหยาแต่เป็นเขา ถ้าไม่ใช้พลังมิติของเซียงเซียง เขามีโอกาสหลบเลี่ยงอย่างปลอดภัยหรือไม่.... คำตอบคือไม่! ทว่าไม่อาจหลบเลี่ยงมิได้หมายถึงไม่อาจโต้ตอบ เขาทำได้.... เล่งหยาก็ทำได้เช่นกัน ทว่าราคาที่เล่งหยาต้องจ่ายย่อมหนักหนากว่ามาก

เสื้อผ้าของเล่งหยาขาดวิ่นเป็นริ้วๆ ร่างกายปรากฎบาดแผลตื้นๆจำนวนมาก เล่งหยาคำรามอย่างเกรี้ยวกราดอีกครั้ง ไม่กี่ชั่วอึดใจ ประกายแสงโลหิตในแววตาพลันลึกล้ำ ไอทมิฬยังเข้มข้นขึ้นอย่างมาก อากาศบิดผันแตกตัวไม่หยุดหย่อน

“....เหมือนกลิ่นอายของพี่ชายข้า เหมือนกันมากจริงๆ” เสี่ยวโม่มองที่เล่งหยาอย่างนิ่งงัน แววตายิ่งฉายแววตื่นเต้นและแปลกใจ กลิ่นอายของพี่ชายนาง นางไม่มีทางจำผิดพลาด.... แต่เขาตายไปแล้วอย่างเห็นได้ชัด ตกตายภายใต้คมเลื่อยโลหิตของเสวี่ยเย่ หนึ่งในสามขุนพลศักดิ์สิทธิ์แห่งทวีปเทวะ มีผู้คนมากมายที่เห็นร่างของเขาถูกผ่าด้วยเลื่อยโลหิต....

จริงๆแล้ว เกิดอะไรขึ้นกันแน่!?

อากาศยิ่งมายิ่งบิดผัน ร่างของเล่งหยาแทบจะถูกปกคลุมด้วยแสงทมิฬไว้ทั้งหมด เวลานี้เอง ฉู่จิงเทียนได้ยินเสียงตะโกนก้องของเย่หวูเฉิน “พี่ใหญ่ฉู่ รีบถอยออกมาเร็วเข้า!!”

ฉู่จิงเทียนชะงักค้าง เขาไม่เคยสงสัยถ้อยคำของเย่หวูเฉิน อีกทั้งยังรู้สึกสังหรณ์ไม่สบายใจ เขารีบกระโดดถอยออกมาทันที กระบี่ไร้ตัวตนที่ล้อมเล่งหยาพลันหยุดลงเพราะการล่าถอยของเขา

ฟู่ม!!

พายุทมิฬปรากฎขึ้นในยามนี้ ภายใต้ท้องฟ้ารัตติกาลราวกับว่านี่คือกระแสลมเย็นเยือกจากขุมนรก ความมืดเข้าห่อหุ้มอากาศ กินอาณาบริเวณกว้าง พลังทมิฬล้นหลามอย่างบ้าคลั่ง กระบี่ไร้ตัวตนถูกทำลายโดยพลังทมิฬจนหมดสิ้น

เล่งหยาไม่เพียงมีการระเบิดพลังที่รวดเร็วและรุนแรงเท่านั้น แต่ยังอาศัยคมกระบี่คร่าสายลมอันน่ากลัว ตอนนี้เขายังมีพลังทมิฬที่ไม่ทราบว่าโผล่มาจากไหน เขาคือเล่งหยา ที่ไม่ใช่เล่งหยา

“พี่ใหญ่ฉู่ ช่วยป้องกันอยู่ตรงนั้นให้ที อย่าให้ผู้ใดเข้ามาใกล้!”

รัศมีพลังทมิฬร้อยเมตรยังไม่คลายออก ฉู่จิงเทียนได้ยินเสียงตะโกนของเย่หวูเฉินอีกครั้ง ในความมืดมิดพลันสีแสงสีฟ้าลุ่มลึกกลุ่มหนึ่งสว่างออก เสียงร้องโหยหวนของเล่งหยาดังขึ้น.... หลังจากนั้น กลุ่มหมอกดำที่เกิดจากพลังทมิฬได้พัดกระจัดกระจาย เล่งหยาร่วงลงอย่างอ่อนแอด้วยพลังน้ำแข็งของเย่หวูเฉิน เย่หวูเฉินหยิบฉวยโอกาสส่งพลังน้ำแข็งจากระยะไกลแช่แข็งเล่งหยาไว้ หลังจากที่พลังทมิฬสงบลง แสงขาวได้สว่างวาบขึ้น ล้อมรอบเย่หวูเฉิน , เล่งหยา และเสี่ยวโม่ทั้งสามคนไว้

ฉู่จิงเทียนลอยร่างลงจากอากาศ มองยังกลุ่มแสงขาวตรงหน้าเป็นเวลานาน จำคำที่เย่หวูเฉินเพิ่งบอกกับตนได้ เขายืนนิ่งงันอยู่ตรงนั้น ไม่ส่งเสียงใด สำหรับเย่หวูเฉินแล้ว เขาเชื่อมั่นโดยไม่มีข้อแม้ เขาภาวนาให้เย่หวูเฉินช่วยเล่งหยาให้หายจากอาการบ้าคลั่งที่ไม่อาจอธิบายนี้



<<<PREV    .    NEXT>>>