วันอาทิตย์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 509

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 509 ทวีปเทวะ

อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่รู้ว่าความลับสุดยอดของทวีปเทวะถูกล่วงรู้โดยองค์หญิงไป่เย่และองค์หญิงเฮยเย่เมื่อร้อยปีก่อน เช่นเดียวกับจักรพรรดิปีศาจแห่งทวีปปีศาจที่ล่วงรู้ ดังนั้น เผ่าพันธุ์ปีศาจจึงเดินทางไปยังทวีปเทียนเฉินเพื่อตามหามุกเซียนโกลาหล ในส่วนของทวีปเทวะ องค์หญิงไป่เย่และองค์หญิงเฮยเย่ได้อาสาไปยังทวีปเทียนเฉินด้วยตัวเอง.... นี่คือผลที่เกิดขึ้นต่อเนื่องตามกัน ผลลัพธ์อีกอย่างคือในช่วงปีหลัง เผ่าพันธุ์ปีศาจได้โจมตีทวีปเทวะอย่างต่อเนื่อง เพื่อหวังเอาชนะทวีปเทวะก่อนที่เฮยเย่และไป่เย่จะกลับมา และทำลายหุ่นเทพลึกลับที่ยังไม่ตื่นขึ้น....

แต่ทว่า แม้พลังของทวีปเทวะจะถูกกดข่มโดยเผ่าพันธุ์ปีศาจ แต่ความแตกต่างไม่ได้มีมากนัก แม้มีผลแพ้ชนะจากการต่อสู้ แต่ไม่มีครั้งใดที่ทำลายรากฐานของอีกฝ่ายได้ การรุกรานเข้าดินแดนของอีกฝ่ายยังทำได้ยากยิ่ง ในรอบพันปีนี้ การต่อสู้ที่มีผลลัพธ์ยิ่งใหญ่สุดเกิดขึ้นเมื่อร้อยกว่าปีก่อน เหล่าเทพได้ลอบโจมตีจนเผ่าพันธุ์ปีศาจแพ้ย่อยยับ ชาหลัวบุตรชายแห่งจักรพรรดิปีศาจตกตายด้วยน้ำมือของเสวี่ยเย่ หลายสิบปีต่อมา วงแหวนเวทย์เคลื่อนมิติของเผ่าพันธุ์ปีศาจได้ถูกทำลาย ปิดกั้นหนทางปีศาจไม่ให้ไปยังทวีปเทียนเฉิน แต่ 50 กว่าปีก่อนเผ่าพันธุ์ปีศาจได้ลอบโจมตีเหล่าเทพเช่นเดียวกัน ทั้งยังสังหารสองในแปดเทพราชันได้ ดังนั้น เผ่าพันธุ์ปีศาจจึงกลับมาเป็นฝ่ายมีเปรียบ แม้เป็นเพียงชัยชนะเล็กๆ แต่ก็ถือว่าเอาชนะได้ยากยิ่ง ในห้วงโกลาหลแห่งนี้ ทั้งสองฝ่ายคือตัวตนแกร่งกล้าที่มีพลังทัดเทียมกัน เมื่อฝ่ายหนึ่งมีเปรียบและอีกฝ่ายถูกข่ม ฝ่ายมีเปรียบก็ไม่อาจกำจัดอีกฝ่ายให้หมดสิ้นได้ ดุจเดียวกับทวีปเทียนเฉินที่มีสำนักจักรพรรดิใต้และสำนักจักรพรรดิเหนือ ที่ต้านยันกันอยู่อย่างนี้ตลอดไป

สิ่งที่เทพจักรพรรดิสงสัยก็คือ เหตุใดองค์หญิงไป่เย่จึงรู้เรื่องพวกนี้ได้ ยิ่งกว่านั้นยังรู้รายละเอียดมากถึงเพียงนี้

องค์หญิงไป่เย่เงยศีรษะขึ้น กล่าวคำอย่างนุ่มนวล “ไม่มีใครบอกพวกเรา.... เรื่องเหล่านี้ เทพจักรพรรดิผู้สร้างหุ่นดำขาวได้บันทึกไว้ในตราผนึกของมุกเซียนทั้งสี่เม็ด แสง , ชีวิต , ทมิฬ และมรณะ ท่านแม่จักรพรรดิไม่ต้องการให้พวกเราใช้พลังของมุกเซียน เพราะนั่นจะทำให้พวกมันเติบโตช้า ท่านจึงสร้างผนึกจำกัดการใช้พลังในตอนที่พวกเราถือกำเนิด ทว่าเมื่อพลังและสติของพวกเราเติบโตขึ้น ผนึกของท่านแม่จึงแตกร้าว ทำให้พวกเราใช้พลังของมุกเซียนได้มากขึ้น ตราผนึกโบราณจึงปรากฎขึ้นในห้วงสติของพวกเรา.... พวกเราจึงรับรู้เรื่องของเทพจักรพรรดิในปีนั้น ทราบว่ามุกเซียนทั้งสี่เม็ดจำเป็นต้องให้สติเติบโต เป็นครั้งแรกที่รู้ว่าตนเองมีภารกิจใด”

เทพจักรพรรดิ “.......” 

เรื่องเหล่านี้นางไม่เคยรู้มาก่อน อีกทั้งยังไม่มีทางรู้

“ไป่เย่” นางย่อร่างลง ยกมือขึ้นลูบผมขาวของลูกสาวตัวเอง “เจ้าต้องการจะพูดสิ่งใด จงพูดออกมาเถอะ”

ขนตาขององค์หญิงไป่เย่สั่นไหวเล็กน้อย ปาดน้ำตาออกจากมุมหางตา ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน “ในเมื่อท่านแม่จักรพรรดิตัดสินใจใช้เทพลึกลับดำขาว นั่นย่อมหมายถึงพวกมันมีพลังแกร่งกล้า ดังนั้น ท่านแม่จักรพรรดิ.... ได้โปรดปล่อยน้องหญิงไปเถอะ ใช้เพียงข้าก็พอ ในเมื่อหุ่นเทพลึกลับทรงพลังแกร่งกล้า พลังของเหล่าเทพและปีศาจย่อมไม่อาจต่อต้าน เพียงหุ่นเทพลึกลับตนเดียวก็พอแล้ว.... ได้โปรดปล่อยน้องหญิงไปเถอะนะ หยุดถอนคำสาปออกจากตัวนาง ปล่อยนางไว้ในสภาพนี้ และส่งนางกลับไปอยู่ข้างกายเขา.... ตราบใดที่ท่านแม่จักรพรรดิตกลง ข้าไป่เย่ล้วนปรารถนาเชื่อฟังท่านแม่จักรพรรดิ....”

ใช่แล้ว หุ่นเทพลึกลับทรงพลังแกร่งกล้า ตัวเดียวล้วนเพียงพอทำลายทั้งทวีป

เช่นนั้น ใช้นางคนเดียวก็พอแล้ว

แม้ไม่อาจได้พบเขาอีกตลอดไป เขาเองก็ไม่อาจได้เห็นนางอีก.... แต่สามารถให้ทงซินอยู่ข้างกายเขาได้ตลอดไป ติดตามเขาแทนตัวนาง ให้เขามองทงซินแล้วคิดถึงนาง ไม่มีวันลืมนางตลอดไป....

ทว่าเทพจักรพรรดิกลับตอบด้วยการส่ายศีรษะ ทำให้นางแทบสิ้นหวัง

“แสงสว่างและความมืด ชีวิตและความตาย เหล่านี้คือธาตุตั้งต้นของโกลาหล ธาตุอื่นๆล้วนเกิดขึ้นโดยอาศัยธาตุเหล่านี้เป็นพาหะ ธาตุทั้งสี่เกี่ยวโยงและไม่อาจขาดธาตุใดได้ มืดและสว่างผูกติดกัน ชีวิตและความตายผูกติดกัน นี่คือเหตุผลที่เทพลึกลับต้องมีสองตน พลังของทั้งสองเป็นขั้วตรงข้าม ทว่าผูกโยงกันอย่างลึกซึ้ง.... หากเทพลึกลับดำตกตาย เทพลึกลับขาวย่อมตกตายตาม หากเทพลึกลับขาวเกิดสติ เทพลึกลับดำย่อมมีสติเกิดตาม” เทพจักรพรรดิช่วยปาดเช็ดน้ำตาออกใบหน้านาง ก่อนกล่าวอย่างอ่อนโยน “ไป่เย่ ข้าเข้าใจความต้องการของเจ้า แต่หากมีเพียงเจ้าและไร้เฮยเย่ หลังจากเจ้ามอบสติให้เทพลึกลับขาวแล้ว เทพลึกลับดำย่อมมีสติเกิดขึ้นตาม.... แต่เมื่อไร้การประคองสติจากมุกเซียนแล้ว สติของมันย่อมกลายเป็นบ้าคลั่ง มันจะทำลายทุกอย่างที่ขวางหน้า สิ่งแรกที่ทำลายย่อมเป็นทวีปเทวะของพวกเรา ดังนั้น จำเป็นต้องใช้พวกเจ้าทั้งสองคน ไม่อย่างนั้น ก็มีแต่นำหายนะมาสู่ทวีปเทวะของพวกเราเท่านั้น”

“ท่านแม่จักรพรรดิ....” ไป่เย่ก้มศีรษะมองพื้นขาวอย่างหดหู่ ความหวังสุดท้ายของนางถูกทำลายลงอย่างเหี้ยมโหด

“ให้ข้ามองเขาได้ไหม.... ขอข้าได้เห็นเขาเป็นครั้งสุดท้าย.... ขอแค่มองเท่านั้น.... ได้ไหม?” นางวิงวอน

เทพจักรพรรดิราวกับเห็นหัวใจที่ใกล้แตกสลายผ่านดวงตานาง ความเจ็บปวดเสียดแทงหัวใจอย่างที่ไม่เคยเป็น ทว่านางปัดเป่ามันออกไปในพริบตา ก่อนกล่าวอย่างอ่อนโยน “คนผู้นั้น.... เขาทำให้เจ้าปล่อยวางไม่ได้จริงๆหรือ?”

ไป่เย่ส่ายศีรษะ ดวงหน้าอาบน้ำตาพลันฉายรอยยิ้มงดงาม หลังจากรอยยิ้มนั้น น้ำเสียงพลันกลายเป็นบีบหัวใจแทบแตกสลาย “ท่านแม่จักรพรรดิ ท่านย่อมไม่เข้าใจ ก่อนได้พบกับเขา ข้าก็ไม่เข้าใจเช่นกัน.... เดิมทีข้าคิดว่า การได้มีชีวิตอิสระคือความสุขที่สุด จนกระทั่งข้าได้พบกับเขา ข้าจึงรู้ว่าตราบใดที่ได้อยู่ข้างกายเขา ต่อให้ลงนรกร่วมกัน เผชิญความลำบากสาหัสในขุมนรก.... ข้าก็ล้วนมีความสุขด้วยรอยยิ้ม....”

แววตาของเทพจักรพรรดิสั่นไหวเล็กน้อย ในฐานะจักรพรรดิแห่งทวีปเทวะ สิ่งที่นางไม่เคยรู้เลยคือเรื่องที่ไป่เย่กล่าวถึงในยามนี้ นางไม่อาจเข้าใจว่าสิ่งยอดเยี่ยมปานใดที่ทำให้ไป่เย่โหยหาได้ถึงเพียงนี้ แต่อย่างน้อย นางรู้สึกได้อย่างชัดเจนถึงความเจ็บปวดของไป่เย่ที่ต้องแยกจากเขา ตั้งแต่ไป่เย่ถูกเย่หมิงพากลับมาเมื่อเดือนก่อน นางก็ไม่เคยได้เห็นรอยยิ้มอันบริสุทธิ์และไร้มลทินอีกเลย

“ข้าไม่เข้าใจ” เทพจักรพรรดิส่ายศีรษะ แววตาค่อยๆจริงจังขึ้น “แต่ข้ารู้อย่างหนึ่ง ในเมื่อเจ้าชื่นชอบเขา หากเจ้าได้เห็นเขาอีกไม่เพียงเจ้าจะไม่อาจปล่อยวาง แต่หัวใจยังไม่อาจสงบได้.... ไป่เย่ นี่คือชะตาของเจ้า คือชะตาที่เจ้าไม่อาจต่อต้าน คือชะตาที่ข้าไม่อาจต่อต้านเช่นเดียวกัน”

ผมขาวไหลตกจากไหล่ กระโปรงขาวแตะพื้นอันเย็นเยียบ นางบริสุทธิ์ไร้มลทิลอยู่เสมอ ทว่ายามนี้ นอกจากน้ำตาแล้วไม่มีสิ่งใดปลดปล่อยสิ่งที่อยู่ในใจนางได้....

นางกลัวความตาย กลัวว่าต้องด่วนจากโลกนั้นที่นางโหยหา ทว่านางกลับปรารถนาให้เรื่องนี้จบลงโดยเร็ว แบบนั้น นางจะได้ไม่ต้องทนทรมานเช่นนี้อีก.... จุดจบใกล้เข้ามาแล้ว เพราะเมื่อใดที่เฮยเย่ตื่นขึ้น เมื่อนั้นทุกอย่างจะจบลง.... พรุ่งนี้ พวกนางจะกลายเป็นเครื่องสังเวยต่อเทพลึกลับ

พรุ่งนี้....

.................

.................

ราวกับมีใครบางคนเตะขาข้างหนึ่งของเขาอยู่ เขาปรับท่าทางขณะละเมอแล้วหลับต่อ

คราวนี้เป็นบางอย่างฟาดขาเขา อีกทั้งยังรุนแรงกว่าเมื่อครู่อย่างเห็นได้ชัด เขาเอ่ยคำอย่างงัวเงีย “อย่ากวนข้า ข้าจะนอน....”

จึก!

ความเจ็บชำแรกแทบถึงไขกระดูก ฉู่จิงเทียนดีดผางขึ้นจากพื้น ส่งเสียงร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด ความงัวเงียสลายไปสิ้นทันที

“เจ้าหน้าน้ำแข็ง!! เจ้า.... เจ้า.... ที่นี่ที่ไหน?” ฉู่จิงเทียนได้สติในที่สุด เขาพลันตระหนักถึงกลิ่นอายที่ไม่ถูกต้อง เขาเป็นประเภทรู้สึกตัวช้ากว่าคนธรรมดา ในที่สุดก็เชื่อมโยงความทรงจำได้ ตรงหน้าคือเล่งหยาที่มองมาอย่างเย็นชา ในมือถือกระบี่สีเขียวที่ไม่เคยทิ้งห่างจากกาย บนขาของฉู่จิงเทียนมีรอยแดงจำนวนมาก ทว่าไม่มีเลือด แต่นี่เจ็บปวดกว่าเห็นเลือดมาก เล่งหยาตื่นขึ้นก่อนฉู่จิงเทียนเล็กน้อย ก่อนนี้พวกเขาเห็นเย่หวูเฉินอาบชะโลมเลือด และเมื่อชายชุดดำยกมือขึ้น.... พวกเขาก็หมดสติลง

“ทวีปเทวะ” เล่งหยากล่าวคำอย่างเย็นชา

“เอ๋! นี่.... พวกเราอยู่ทวีปเทวะแล้วเหรอ? ที่นี่คือทวีปเทวะ? ดินแดนที่เต็มไปด้วยผู้คนแกร่งกล้าเทียบเท่าท่านปู่?” ฉู่จิงเทียนหันมองไปรอบๆ กล่าวคำด้วยความประหลาดใจ มาถึงอีกดินแดนหนึ่งที่เต็มไปด้วยยอดฝีมือระดับสุดยอด เขาไม่แสดงความกังวลใดๆออกมา ตรงกันข้ามมีแต่ความตื่นเต้นและใคร่รู้

เขาเคยจินตนาการไว้ว่าทวีปเทวะจะต้องเต็มไปด้วยเมฆหลากสี ทุกแห่งระยิบระยับด้วยทองคำและหยก สายรุ้งประดับอากาศทุกทิศทาง.... ทว่าบริเวณโดยรอบกลับเต็มไปด้วยผาหิน ทั้งสูงและต่ำกระจัดกระจาย เห็นได้ชัดว่านี่เป็นเขตรกร้าง แต่หญ้าเขียวที่พื้นแปลกตาอย่างมาก ดอกไม้เล็กๆที่เบ่งบานกระจายทั่วล้วนเป็นแบบที่เขาไม่เคยเห็น แต่ละต้นงดงามชวนหลงใหล นี่สมควรเป็นเพียงดอกหญ้าธรรมดา ขณะเดียวกัน อากาศที่นี่สดชื่นเป็นอย่างมาก เพียงสูดหายใจเอาอากาศเข้าปอด ความง่วงเหงาก็ถูกปัดเป่าทันที กระทั่งลมทะเลแห่งทวีปเทียนเฉินยังไม่สดชื่นถึงเพียงนี้

“ไป”

เล่งหยาไม่ได้หันมองไปรอบๆเหมือนกับฉู่จิงเทียน เขาเพียงเอ่ยคำๆเดียวและมุ่งหน้าเดินไปทางเหนือ

“เอ๋? ไปไหน?” ฉู่จิงเทียนตามไปและถามอย่างสงสัย

“วิหารเทวะ”

“วิหารเทวะ? มันคือที่ใด?” ฉู่จิงเทียนถาม

เล่งหยา “.......”

“จริงสิ เจ้าหน้าน้ำแข็ง หรือว่าเจ้าเคยมาที่นี่มาก่อน? ทำไมถึงได้รู้ว่าที่นี่มีวิหารเทวะ เหมือนเจ้ายังรู้ด้วยว่ามันอยู่ที่ไหน” ฉู่จิงเทียนสงสัยขึ้นไปอีก

เล่งหยาเดินนำออกไปโดยไม่ตอบอีก หากไม่จำเป็นต้องพูด เขาคงไม่พูดออกมา

เดิมทีเขาไม่รู้จักวิหารเทวะ แต่เมื่อผสานความทรงจำเข้ากับชาหลัว ไหนเลยเขาจะไม่รู้จัก เขาปีนหอคอยผ่านเทพกับเย่หวูเฉินมายังทวีปเทวะในคราวนี้ จุดประสงค์ไม่ได้มีเพียงแค่ช่วยเย่หวูเฉินเท่านั้น แต่ยังมีสิ่งหนึ่งที่เขาต้องทำ.... ชาหลัวสละชีวิตเพื่อให้เขามีสติเป็นของตนเอง  เขาไม่ใช่ประเภทไม่รู้จักตอบแทนบุญคุณคน ดังนั้น เขาจึงยอมรับความเกลียดชังต่อเทวะ จดจำว่าผู้ที่ฆ่าเขาในอดีตคือเสวี่ยเย่

ดังนั้น เขาจะต้องฆ่านาง



<<<PREV    .    NEXT>>>