วันอังคารที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 500

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 500 ยอดหอคอยผ่านเทพ

ใจกลางทวีปเทียนเฉิน ด้านทิศเหนือของผาดาวตก ตรงจุดใจกลางของทะเลสาบดาวตก

หอคอยผ่านเทพ!

ยามที่เย่หวูเฉินปรากฎตัว มีสองบุคคลได้ลอยร่างรอเป็นเวลานานแล้ว ที่ใต้เท้าเป็นผิวทะเลสาบส่งคลื่นกระทบ บางครั้งหยดน้ำได้กระเซ็นเปียกรองเท้าของพวกเขา เหนือศีรษะสูงลิบนอกจากท้องฟ้ากว้างใหญ่และหมู่เมฆบาง ยังมีเสาหนาต้นหนึ่งสูงเสียดฟ้า ราวกับมีปลายยอดแทงทะลุสู่สวรรค์ เชื่อมต่อผืนน้ำและสรวงสวรรค์เข้าด้วยกัน

หอคอยผ่านเทพ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เย่หวูเฉินได้เห็นมัน แต่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นมันในระยะใกล้เช่นนี้

“ตำนานนั้น ไม่รู้ว่าจะเป็นจริงหรือไม่” เย่หวูเฉินรำพึงสิ่งที่คิดออกมา เขาทำได้เพียงหวังให้ตำนานนั้นเป็นความจริง เพราะนี่คือความหวังหนึ่งเดียวที่จะนำเขาไปสู่ทวีปเทวะ

“ต้องเป็นจริงแน่ๆ หอคอยสูงเสียดฟ้าขนาดนี้ แต่กลับไม่ทราบว่าดำรงอยู่มาตั้งแต่เมื่อใด นี่ไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์สามารถสร้างขึ้นได้ จะต้องเป็นฝีมือของจักรพรรดิใต้และจักรพรรดิเหนือในตำนานที่สร้างขึ้น นี่สมควรเป็นเส้นทางนำพวกเราไปที่นั่น ในเมื่อชาวทวีปเทวะสามารถมาที่นี่ได้ พวกเราก็ย่อมไปยังที่แห่งนั้นได้เช่นกัน” ฉู่จิงเทียนกล่าว

“จริง” เล่งหยาเอ่ยปากเพียงคำเดียว ทว่าคำนี้ออกจากความเข้าใจที่เหนือล้ำกว่าฉู่จิงเทียนมาก เนื่องจากเขามีความทรงจำของชาหลัว ในความทรงจำนั้นมีหลายสิ่งที่พวกเขาไม่รู้จักและไม่อาจหยั่งคาด

เย่หวูเฉินพยักหน้าให้เล่งหยาและแหงนมองฟ้า กล่าวคำอย่างหนักหน่วง “เจ้าต้องการไปกับข้าจริงๆรึ?”

“ใช่” เล่งหยาตอบ

“ข้า.... เฮ่อ เฮ่อ แม้ข้ารู้ว่าพลังของตัวเองเป็นได้เพียงภาระของเจ้า แต่นอกจากน้องเย่และเจ้าหน้าน้ำแข้งแล้ว ข้าไม่มีสหายอื่นอีก เจ้าไปยังสถานที่อันตรายเช่นนั้น หากข้าไม่ไปด้วยย่อมไม่อาจวางใจชั่วชีวิต ในเมื่อเป็นสหายที่ดีต่อกัน เช่นนั้น พวกเราก็สมควรไปเที่ยวเล่นทวีปเทวะพร้อมกัน ต่อให้ต้องตกตาย.... มีสหายร่วมตายย่อมน่ารื่นเริงกว่า.... หากไปถึงที่นั่นแล้วข้ากลายเป็นภาระ ข้าจะยอมสละชีพของตนทันที” ฉู่จิงเทียนยิ้มกล่าวอย่างจริงจัง เขากล่าวคำจากใจอย่างเป็นธรรมชาติ เย่หวูเฉินไปยังทวีปเทวะล้วนไม่ต่างจากไปหาที่ตาย และในเมื่อเล่งหยาติดตามไปย่อมไม่ต่างจากหาที่ตายเช่นเดียวกัน สหายสนิททั้งสองกำลังเผชิญหน้ากับความตาย ไหนเลยเขาจะทนอยู่เฉยๆคนเดียวได้

เย่หวูเฉินพยักหน้า ในหัวใจโชยความอบอุ่น เขาสงบใจลงอย่างเงียบงัน ชาหลัวทำให้เขาไม่อาจปฏิเสธเล่งหยา เพราะชาหลัวใช้ชีวิตตัวเองเพื่อขอร้องเขา เมื่อไม่อาจปฏิเสธเล่งหยา เขาย่อมไม่อาจปฏิเสธฉู่จิงเทียนได้เช่นเดียวกัน

สหาย.... มีเพียงยามเผชิญหน้ากับความเป็นตายเท่านั้น ถึงจะเข้าใจความหมายของคำว่า ‘สหาย’ ที่แท้จริง ไม่ว่าคนผู้นี้เป็นใคร เขาล้วนเต็มใจเรียกฉู่จิงเทียนว่า ‘พี่ใหญ่ฉู่’ นอกจากฉู่จิงเทียนแล้ว ในโลกนี้ไม่มีผู้ใดคู่ควรให้เขาเรียกเช่นนั้น

“ท่านจะรออยู่ตรงนี้ หรือขึ้นไปพร้อมกัน” เย่หวูเฉินเอ่ยถาม ด้วยเพราะมีพลังมิติของเซียงเซียง ทำให้เขารับประกันได้ว่าจะสามารถปีนขึ้นสู่ยอดหอคอยผ่านเทพได้ ต่อให้หมดแรงปีนและเริ่มร่วงหล่นลงมา เขาก็สามารถกลับมายังตำแหน่งเบื้องล่างได้โดยตรง และกลับไปยังจุดเดิมเพื่อปีนต่อได้เรื่อยๆ อีกทั้งยังสามารถพาเล่งหยาและฉู่จิงเทียนขึ้นไปได้พร้อมกัน ดังนั้น ไม่ว่าหอคอยผ่านเทพจะสูงเสียดเพียงใด ย่อมมีสักครั้งที่ปีนขึ้นไปถึง

“ฮ่า ฮ่า แน่นอนว่าต้องขึ้นไปพร้อมกัน ข้าเองก็อยากรู้นัก หอคอยผ่านเทพนี้จะสูงสักเพียงใด.... เจ้าหน้าน้ำแข็งก็สมควรอยากรู้เช่นเดียวกัน” ฉู่จิงเทียนถูกมือสองข้างอย่างตื่นเต้น สีหน้าดูแทบไม่อาจอดทนรอ

เล่งหยา “.......”

“เยี่ยม.... แต่ไม่รู้ว่าบนยอดหอคอยจะมีเทพแมวอยู่หรือไม่” เย่หวูเฉินยิ้มกล่าวอย่างอดไม่ได้

“เทพแมว?” ฉู่จิงเทียนงุนงง “มันคือตัวอะไร?”

“โอ้ ไม่มีอะไร พวกเราไปกันเถอะ!”

เย่หวูเฉินลอยลิ่วขึ้นแนวดิ่งเป็นคนแรก ติดตามด้วยเล่งหยาที่พุ่งไปดุจลูกศร ไล่ตามเบื้องหลังเย่หวูเฉินในพริบตา ฉู่จิงเทียนขยับปากคำรามเสียงต่ำ “แสงกระบี่ไร้เงา!” ร่างคนราวกับกลายเป็นควันเบา ปลิวพัดขึ้นไปดุจพายุ พวกเขาไม่ได้ปีนด้วยมือแต่บินลิ่วขึ้นสู่อากาศ ไต่ระดับความสูงที่ไม่เคยมีใครไปถึงมาก่อน

ความเร็วของพวกเขาเหนือล้ำอย่างยิ่ง ห่างไกลเกินกว่าสุดยอดฝีมือที่เคยปีนป่ายหอคอยผ่านเทพในอดีต ความสูงที่พวกเขาทำได้ในหนึ่งวัน แทบจะเทียบเท่าเหล่ายอดฝีมือที่ใช้เวลาสามวัน

กลางวันผ่านผันจนถึงกลางคืน....

เมื่อแสงวันใหม่มาถึง พวกเขาก็บินต่อเนื่องครบเวลาหนึ่งวัน

ยังคงไม่เห็นจุดยอด พวกเขาอยู่สูงเหนือหมู่เมฆ สิ่งที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจนคืออุณหภูมิที่ต่ำลง เสียงลมข้างหูยังเบาลง.... เนื่องจากยิ่งสูงอากาศยิ่งเบาบาง

อากาศที่เบาบางทำให้เริ่มหายใจลำบาก เริ่มต้องใช้พลังมากขึ้น ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ หากยังหวังบินด้วยความเร็วคงเดิมจะต้องใช้พลังกายมากขึ้นเป็นสองเท่า ทว่าเรื่องนี้มีผลต่อเล่งหยาและฉู่จิงเทียนเท่านั้น หลังจากที่พลังหวูเฉินบรรลุขั้นที่ห้า พลังที่ใช้สำหรับการบินล้วนดูดซับมาจากโลกหล้า แทบไม่ต้องใช้พลังของตัวเองใดๆ

หลังจากผ่านไปหนึ่งวันหนึ่งคืน ฉู่จิงเทียนเริ่มออกอาการแรงตก เขากัดฟันไล่ตามเบื้องหลังของพวกเขา เย่หวูเฉินและเล่งหยาไม่ได้สังเกตและคงความเร็วในระดับสูงสุด จนกระทั่งถึงตอนเที่ยง ฉู่จิงเทียนเริ่มหอบหายใจหนักหน่วง เย่หวูเฉินหยุดร่างในยามนี้ มองไปยังเบื้องบนและกล่าว “รอบแรกมาถึงตรงนี้ พวกเรากลับไปพักผ่อนกันก่อน”

แสงขาวสว่างวาบ คนทั้งสามปรากฎตัวขึ้นอีกครั้งบนผาดาวตก เย่หวูเฉินและเล่งหยาไร้อาการใดๆ มีเพียงฉู่จิงเทียนที่ทรุดนั่งลงกับพื้น หอบหายใจราวปอดฉีก หากเขาบินเหนือพื้นดินในแนวราบธรรมดา ต่อให้บินตลอดสามวันสามคืนก็ไม่นับเป็นสิ่งใด

ฉู่จิงเทียนหอบหายใจหนัก ยิ้มหดหู่และสั่นศีรษะกล่าว “เฮ้อ ดูเหมือนข้าจะห่างไกลจากพวกเจ้าจริงๆ กลายเป็นภาระของพวกเจ้าตั้งแต่เริ่มต้น หากไม่ใช่เพราะข้า ตอนนี้พวกเจ้าสมควรขึ้นไปสูงกว่านี้แล้ว น้องเย่ เจ้าหน้าน้ำแข็ง ข้าจะรออยู่ที่นี่ก่อน หลังจากที่พวกเจ้าขึ้นไปถึงบนยอดแล้ว ค่อยกลับมารับข้าอีกที”

เย่หวูเฉินยิ้มบางและสั่นศีรษะ “พี่ใหญ่ฉู่ นี่ไม่เหมือนกับที่ท่านเคยกล่าวไว้ ในเมื่อพวกเราเป็นสหายที่ดีต่อกัน พวกเราต้องบินขึ้นไปให้ถึงปลายทางโดยไม่ทอดทิ้งผู้ใดไว้”

ฉู่จิงเทียนได้ฟังก็หัวเราะ “ฮี่ฮี่” เขาไม่ขัดขืนอีก ขณะเดียวกันท้องของเขาพลันร้องดังขึ้น หลังจากบินมาตลอดหนึ่งวันหนึ่งคืน แม้ว่าเขาบรรลุพลังขอบเขตเทวะ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังหิวโซ อย่างไรเสีย เขาไม่ได้ผิดปกติเหมือนเย่หวูเฉินที่ไม่ดื่มกินมาตลอดสิบปี ไม่ใช่เล่งหยาที่ตอนนี้กลายเป็นครึ่งปีศาจไปแล้ว

เย่หวูเฉินนั่งลงบนพื้น นำอาหารออกมาวางไว้จนเต็ม “มาเถอะ กินให้อิ่มหนำกันก่อน จากนั้นพักผ่อนให้เต็มที่ ก่อนมืดพวกเราจะขึ้นไปปีนต่ออีกครั้ง”

“....ตกลง!” พอได้กลิ่นหอมของอาหาร ฉู่จิงเทียนก็พลันลืมร่างกายที่เมื่อยล้า เขาแทบโยนเนื้อย่างเข้าสู่ปาก กินอย่างตะกละตะกลามโดยไม่สนมารยาท ฉู่จิงเทียนยามนี้เหมือนกลับไปเป็นเด็กหนุ่มผู้โง่งม การกลับมาของเล่งหยาทำให้สิ่งรึงรัดในใจคลายออก เขาไม่จำเป็นต้องแบกรับภาระหนักหน่วงไว้ในใจอีกต่อไป อารมณ์ของเขาจึงค่อยๆกลับมาดีขึ้น

ตำนานได้กล่าวไว้ เคยมียอดฝีมือเทวะขั้นสูงสุดผู้หนึ่งปีนป่ายขึ้นไปตลอดเจ็ดวันเจ็ดคืน แต่กระนั้น เขายังไม่อาจขึ้นไปถึงบนยอดและหมดแรงร่วงลงมาในที่สุด หอคอยผ่านเทพมีความสูงแท้จริงเพียงใด! ตำนานยังกล่าวไว้อีกว่า บนยอดหอคอยผ่านเทพมีเทพตนหนึ่งที่จักรพรรดิใต้และจักรพรรดิเหนือทิ้งไว้เบื้องหลัง ไม่เพียงต้องไปให้ถึงบนยอดหอคอยเท่านั้น แต่ยังต้องผ่านบททดสอบของเทพตนนั้นจึงจะสามารถผ่านไปยังทวีปเทวะ ไม่ทราบว่าเทพตนนั้นเป็นตัวตนแบบใด.... อีกทั้งทรงพลังแค่ไหน....

ม่านราตรีได้ลดต่ำลง คนทั้งสามกลับไปที่จุดเดิมอีกครั้งด้วยพลังมิติของเซียงเซียง เริ่มต้นบินขึ้นไปต่อ

วันที่สอง....

วันที่สาม....

วันที่สี่....

ด้วยความเร็วของพวกเขา ระยะทางในสี่วันสี่คืนที่พวกเขาบินได้ แทบจะเทียบเท่าระยะทางจากใต้สุดจรดเหนือสุดของทวีปเทียนเฉิน ทว่าพวกเขายังคงไม่เห็นยอดปลาย เห็นเพียงเสาสูงเสียดที่ไร้จุดจบ

อากาศยิ่งมายิ่งเบาบาง ทั้งยังเริ่มกลายเป็นสูญญากาศ เวลาที่ฉู่จิงเทียนทนได้ยิ่งลดน้อยลง กระทั่งเล่งหยายังไม่อาจสะดวกสบายเหมือนตอนแรก ผลลัพธ์คือพวกเขาต้องหยุดพักบ่อยขึ้น แต่พวกเขายังคงบินด้วยกัน ไม่มีผู้ใดถูกทิ้งไว้ อย่างน้อยก็มั่นใจได้ว่าหากยังบินขึ้นไปอย่างต่อเนื่อง ย่อมมีสักครั้งที่พวกเขาขึ้นไปจนถึงยอด ทว่าหอคอยผ่านเทพเป็นเพียงบททดสอบแรกเท่านั้น ความสูงยังน่าสะพรึงถึงเพียงนี้ ไม่ทราบว่าบนยอดจะเป็นบททดสอบที่น่ากลัวเพียงใด.... พวกเขาทั้งสามจะรับมือได้หรือไม่

วันที่ห้า....

ในตอนกลางคืน พวกเขากลับมายังผาดาวตกอีกครั้งด้วยพลังตัดมิติ หลังจากพักผ่อนในคืนนั้น พวกเขากลับมายังหอคอยเพื่อปีนต่อในตอนเช้า ไม่ทราบว่าตอนนี้อยู่สูงเพียงใด อย่างไรก็ตาม หลังจากที่พวกเขาบินได้ไม่นานนัก เพียงผ่านไปไม่กี่นาที พวกเขาพลันรู้สึกว่าที่เหนือศีรษะเริ่มมืดลงเล็กน้อย

“ดูนั่น.... ดูนั่นเร็ว.... ข้างบนนั้น.... นั่นมัน....” ฉู่จิงเทียนแหงนศีรษะ เขาตื่นเต้นจนร่างแทบร่วงลงจากอากาศด้วยพลังที่แกว่งไกว

ทันทีที่ฉู่จิงเทียนมองขึ้นไป  อีกสองคนล้วนมองเห็นในเวลาเดียวกัน เหนือท้องฟ้าห่างไกลนั้น มิได้มีเพียงเสาสูงเสียดไม่เห็นยอดปลายอีกต่อไป ที่ปลายยอดมีเงารูปวงกลมขนาดใหญ่ ตั้งตระหง่านบนยอดหอคอยผ่านเทพอันสูงเสียด มองจากระยะไกลแทบไม่เห็นเสาของหอคอย ราวกับว่ามีกรวยคว่ำขนาดใหญ่ลอยอยู่บนนั้น

นั่นคือยอดหอคอยผ่านเทพ!

ห้าวันห้าคืน ด้วยความช่วยเหลือจากพลังตัดมิติของเซียงเซียง ในที่สุดพวกเขาก็มองเห็นยอดหอคอยผ่านเทพ

ฉู่จิงเทียนกำลังตื่นเต้น เย่หวูเฉินยกยิ้มอย่างโล่งใจ เล่งหยาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยจนแทบไม่อาจสังเกต ทันใดนั้นพวกเขาพุ่งร่างอย่างเร็วรุดโดยไม่ทราบนำพลังมาจากไหน ความเร็วของพวกเขาทะยานขึ้นหลายเท่า มองจากที่ไกลๆ ราวกับมีเส้นตรงสามเส้นขีดลากขึ้นไปอย่างรวดเร็ว ตรงสู่ยอดหอคอยมหึมานั้น

เห็นเป้าหมายที่ไม่เคยมีใครมาถึง พวกเขายังต้องรออะไรอีก?

เงารูปวงกลมขยายใหญ่ขึ้นในสายตา ผ่านไปไม่กี่นาทีพวกเขามาถึงขอบบนสุดของหอคอยผ่านเทพ คนทั้งสามหันมองหน้ากัน จากนั้นบินเป็นแนวราบเข้าไปยังหอคอยผ่านเทพ

ทันทีที่พวกเขาข้ามขอบนั้นเข้าไป พวกเขาพลันรู้สึกราวกับเข้ามายังอีกโลกหนึ่ง.... ที่นี่อยู่สูงเสียดเหนือท้องฟ้า ตลอดเส้นทางที่บินขึ้นมาอากาศเบาบางอย่างยิ่ง ทว่าอากาศของที่นี่กลับอัดแน่นและสดชื่น เพียงสูดหายใจไม่กี่ทีก็ต้องลอบพึงพอใจ ที่ใต้เท้าเป็นพื้นสีเข้ม ราบเรียบไร้รอยขีดข่วน กลายเป็นว่าบนนี้ไม่มีสิ่งใดนอกจากพื้นเรียบ ไร้มนุษย์หรือสิ่งมีชีวิตใดๆ ไร้ร่องรอยของ ‘ประตู’ ที่นำไปสู่ทวีปเทวะ

“นี่มัน....” ฉู่จิงเทียนมองไปรอบๆ บนนี้ราบเรียบและกว้างอย่างมาก ไม่มีทางปกปิดสิ่งใด เพราะเพียงสายตาก็สามารถมองเห็นได้จนทั่วแล้ว

ไม่.... ไม่มีสิ่งใดทั้งสิ้น! ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าบททดสอบแห่งเทพ ไม่มีประตูที่นำไปสู่ทวีปเทวะ!

หอคอยผ่านเทพมีไว้เพื่ออะไร.... หรือนี่จะเป็นเพียงเรื่องตลกร้ายเท่านั้น?

[โน๊ต: เล่นมุกแมวคาริน จารย์มาร์สนี่ติดใจดราก้อนบอลจริงๆ 555]



<<<PREV    .    NEXT>>>