วันจันทร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 510

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 510 เมืองกงแห่งเขตสวรรค์

“เฮ้! บอกข้าก่อนว่าวิหารเทวะมันคืออะไร แล้วน้องเย่อยู่ที่ไหน.... ข้าเห็นคนผู้นั้นไม่ได้ต้องการทำร้ายเขา เขาจะต้องถูกส่งมาที่นี่เหมือนพวกเราแน่ พวกเราจะไม่รอเขาเหรอ? เฮ้.... เจ้าหน้าน้ำแข็ง เจ้าจะไม่บอกข้าหน่อยหรือไง วิหารเทวะที่เจ้าพูดถึงมันคืออะไรกันแน่?” ฉู่จิงเทียนตามอยู่เบื้องหลัง เอ่ยถามไม่หยุดปาก ในอดีตตอนที่อยู่ด้วยกันกว่าสามปี สถานการณ์ที่ฝ่ายหนึ่งเอ่ยถามไม่หยุดหย่อน และอีกฝ่ายเงียบงันไม่ยอมพูดล้วนเกิดขึ้นนับไม่ถ้วน หลายครั้งที่ผลลัพธ์คือฝ่ายเงียบชักกระบี่ออกมา แทงเข้าใส่แทงฝ่ายที่พูดพล่าม

ไต่ถามอยู่ครู่ใหญ่โดยไร้คำตอบ ในที่สุดฉู่จิงเทียนจึงยอมแพ้ หลังจากที่พวกเขาเดินไปได้ไม่ไกลนัก เบื้องหน้าพลันปรากฎคนผู้หนึ่ง ไม่สิ ในโลกแห่งนี้สมควรเรียกว่า ‘เทพ’

นี่คือเทพ.... ทว่าเล่งหยาไม่สนใจใดๆ ไม่ปราดตามองด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตาม ฉู่จิงเทียนเบิกตากว้างจ้องมองขณะเดิน เขาต้องผิดหวังเมื่อพบว่าเทพตนนี้มีจมูก , มีปาก , มีดวงตาสองข้างเหมือนกับเขา ทั้งยังเดินบนสองขา มีเพียงลักษณะที่ดูดีผิดปกติ

‘เทพ’ ผู้นั้นสะดุ้งเยือกจากสายตาของฉู่จิงเทียน ในที่สุดเทพไม่อาจอดทนและจ้องกลับ หลังจากเดินสวนกันไปไกลมันได้แค่นเสียง “แต่งกายได้พิกลนัก”

“เจ้าหน้าน้ำแข็ง เมื่อกี้ใช่เทพรึเปล่า? ทำไมถึงดูไม่ต่างจากพวกเราเลยสักนิด.... อ๊ะ จริงสิ พวกเรามาที่นี่ จะถูกพวกมันตรวจพบว่าเป็นคนจากทวีปเทียนเฉินรึเปล่า?” ฉู่จิงเทียนพลันนึกเรื่องนี้ขึ้นได้และเร่งถาม บางทีเหล่าเทพอาจจำแนก ‘มนุษย์’ ออกจากพวกตนซึ่งเป็น ‘เทพ’ ได้ในทันที หากเป็นเช่นนั้น พวกเขาย่อมตกอยู่ในอันตรายอย่างยิ่งแล้ว

“ไม่” เล่งหยาตอบกลับเย็นชาเพียงคำเดียว จากนั้นไม่สนใจอีก เดินตรงไปยังวิหารเทวะซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่นี่

เทพคือมนุษย์ ปีศาจก็คือมนุษย์เช่นเดียวกัน

เหตุผลที่เรียกเทพว่าเทพ เพราะพวกมันอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ยอดเยี่ยม ทำให้มีพลังห่างไกลจากมนุษย์ หากไร้ซึ่งพลัง พวกมันก็เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา ส่วนเหตุผลที่ปีศาจถูกเรียกว่าปีศาจ เพราะร่างของพวกมันครองพลังทมิฬทุกชนิด หากไม่นับเรื่องนี้ พวกมันก็คือมนุษย์คนหนึ่ง ส่วนฉู่จิงเทียนถึงแม้เป็นมนุษย์ แต่พลังของเขาในยามนี้เหนือกว่าเทพทั่วไปไปไกลลิบ และแม้เล่งหยาจะเป็นมนุษย์ แต่พลังของเขาได้ก้าวข้ามปีศาจธรรมดาแห่งทวีปปีศาจไปไกลแล้ว คำว่าเทพและปีศาจ ไม่ได้หมายความว่าเผ่าพันธุ์ของพวกมันต่างจากมนุษย์ แต่เป็นมนุษย์กลุ่มอื่นที่มีชื่อเรียกต่างกัน

ผ่านไปไม่นานนัก มีเทพสัญจรอีกตนเดินผ่าน คราวนี้ดูเหมือนลุงชรา ทันทีที่ฉู่จิงเทียนมองเห็น ‘ลักษณะอันยอดเยี่ยมดุจเทพเซียน’ เขาพลันพุ่งเข้าไปหาและเอ่ยถาม “สวัสดีลุง วิหารเทวะต้องไปทางไหนเหรอ?”

ทันทีที่ได้ยินคำว่า ‘วิหารเทวะ’ ใบหน้าของลุงพลันทะมึนลง ทั้งยังแฝงด้วยความเคารพอย่างล้ำลึก ทว่าเขาสงบลงฉับพลันเมื่อเห็นฉู่จิงเทียนแต่งกายแปลกประหลาด เขาหัวเราะและกล่าว “เจ้าคงมาเที่ยวจากแดนไกล.... เมืองกงแห่งเขตสวรรค์อยู่ห่างจากที่นี่ไม่ถึงร้อยลี้ วิหารเทวะอยู่ใจกลางเมืองกง ฮี่ ฮี่ เจ้ามาจากแดนไกลจงไปชมเสีย แต่นั่นคือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ อย่าได้บุ่มบ่ามรุกล้ำเข้าไป”

“โอ้.... ขอบคุณมากลุง” ฉู่จิงเทียนพยักหน้าเป็นไก่จิกข้าว ก่อนมองลุงผู้นั้นเดินออกไปจนห่าง

“วิหารเทวะ.... ที่แท้ก็มีสถานที่เช่นนี้อยู่ เจ้าหน้าน้ำแข็ง ทำไมเจ้าไม่บอกข้าว่าพวกเราไปที่นั่นกันทำไม” ฉู่จิงเทียนกล่าวกับเล่งหยา

“นายท่านจะไปที่นั่น” เล่งหยาตอบกลับเย็นชา เย่หวูเฉินมาที่นี่ด้วยเป้าหมายหนึ่งเดียวเท่านั้น สถานที่ที่เขาต้องไป ย่อมเป็นเมืองกงแห่งเขตสวรรค์ซึ่งเป็นใจกลางของทวีปเทวะ เพราะนั่นคือสถานที่อาศัยขององค์หญิงไป่เย่และองค์หญิงเฮยเย่แห่งทวีปเทวะ หนิงเสวี่ยและทงซินย่อมอยู่ที่นั่น

ทวีปเทวะมีพระอาทิตย์เช่นกัน มีเวลากลางวันและกลางคืนเช่นเดียวกัน ยิ่งกว่านั้น ช่วงเวลาอาทิตย์ขึ้นและตกดินยังตรงกับทวีปเทียนเฉิน และตอนนี้เหมือนเป็นเวลายามเที่ยง

เมืองกงแห่งเขตสวรรค์

เมื่อมาถึงที่นี่ ฉู่จิงเทียนพลันตระหนักว่าอะไรคือความรุ่งโรจน์งดงามที่แท้จริง อะไรคือความหรูหราไร้ที่เปรียบ.... ทุกสิ่งของที่นี่คือสวรรค์อย่างแท้จริง

ใช้เวลาเดินทางเพียงสั้นๆ พวกเขาได้มาถึงยังคลื่นฝูงเทพที่เดินขวักไขว่ภายในเมืองกงแห่งเขตสวรรค์ หลังจากมาถึงที่นี่ เขาไม่มองฝูงชนโดยรอบและสัมผัสถึงแกร่งกล้าอีก สายตาถูกดึงดูดด้วยประกายแสงสีจากหมู่อาคารและสิ่งก่อสร้างนานาชนิด ซึ่งล้วนแต่หรูหราเกินคำบรรยาย คำว่าตะลึงงันไม่อาจใช้อธิบายได้ เมืองที่งดงามและหรูหราที่สุดแห่งทวีปเทียนเฉินยังต้องกลายเป็นต่ำต้อย ฉู่จิงเทียนเปิดตากว้างมองไปทั่ว ดวงตาแทบจะหลุดร่วงออกมา

มีเทพทุกประเภทอยู่ที่นี่..... ทว่าอย่างน้อยพวกเขาดูไม่ต่างจากผู้คนที่เขารู้จัก หากไม่ใช่เพราะตกตะลึงในเมืองกงแห่งเขตสวรรค์ เขาคงรู้สึกไม่ต่างจากเดินเข้าเมืองเทียนหลงอันครึกครื้น เมื่อเขาสงบหัวใจลงได้ เขาเริ่มสำรวจบรรยากาศโดยรอบอย่างเงียบงัน แม้เขาเตรียมใจมาก่อนแล้วเป็นอย่างดี ทว่ายังคงลอบตื่นกลัว เทพทุกตนที่อยู่ที่นี่ กระทั่งผู้ที่ธรรมดาที่สุดที่ผ่านไปมายังมีกลิ่นอายอันสูงล้ำ ที่อ่อนแอสุดมีพลังถึงขอบเขตสวรรค์ มีพลังที่จัดอยู่ในระดับสูงของทวีปเทียนเฉิน นี่ยังหมายความว่า ยอดฝีมือระดับสูงของทวีปเทียนเฉินเป็นได้เพียงคนธรรมดาของที่นี่

สถาปัตยกรรมของที่นี่ไม่เพียงงดงามมากเท่านั้น แต่วัสดุที่ใช้ยังเหนือกว่าทวีปเทียนเฉินไปห่างไกล แข็งแกร่งและทนทาน ดังนั้น แม้ชาวเทวะมีพลังแกร่งกล้า แต่ก็ไม่อาจสร้างความเสียหายให้อาคารบ้านเรือนได้โดยง่าย

เทพ ทั้งหมดนี้คือเทพ.... ฉู่จิงเทียนกล่าวคำซ้ำๆในใจ เขามาถึงดินแดนแห่งเทพได้นานแล้ว ทว่ายังคงรู้สึกราวกับฝันไป เมืองกงอันงดงามมีหลายสิ่งชวนให้เขารู้สึกเหมือนฝัน แต่ในความคาดหวังของเขา เทพคือผู้แข็งแกร่ง , ทรนง และเคร่งขรึม.... ทว่าฝูงชนในที่นี้ส่งเสียงจอแจไม่ต่างจากผู้คนในทวีปเทียนเฉิน.... กลายเป็นว่า นอกจากพลังที่ต่างกันแล้ว อย่างอื่นล้วนไม่มีสิ่งใดต่างกัน

ฉู่จิงเทียนมองไปรอบๆอย่างตื่นเต้นราวชาวชนบทเข้าสู่เมือง เล่งหยาสงบกว่าเขามาก สิ่งที่เล่งหยาจดจ่ออยู่คือบรรยากาศของที่นี่ เห็นได้ชัดว่าบรรยากาศของวันนี้แปลกไป ทั้งยังไม่ใช่การเข้าใจผิด ในขณะเดียวกัน เขาระงับกลิ่นอายไว้ในระดับสูงสุด ไม่ให้รั่วไหลออกมาได้ ตอนนี้เขาคือครึ่งมนุษย์ครึ่งปีศาจ เทพกับปีศาจเกิดมาเพื่อเป็นศัตรูคู่อาฆาต และเทพมีสัมผัสที่ไวต่อปราณปีศาจมาก เขาในตอนนี้จึงต้องไม่ให้ผู้ใดตรวจพบ

เขาดึงฉู่จิงเทียนไว้ ส่งสัญญาณให้หยุด จากนั้นมุ่นคิ้วคอยฟังบทสนทนาที่อยู่รอบๆ หัวข้อที่เหล่าเทพพูดถึงในวันนี้สมควรเป็นเรื่องเดียวกัน และเป็นต้นตอของบรรยากาศผิดปกติในวันนี้....

“เล่ากันว่าวันนี้เมื่อถึงยามมืดค่ำ จะเป็นเวลาที่องค์หญิงไป่เย่และองค์หญิงเฮยเย่ปลุกเทพลึกลับให้ตื่นขึ้น เมื่อถึงเวลานั้น เผ่าพันธุ์ปีศาจต้องถึงคราวหวาดกลัวแล้ว”

“เทพลึกลับทรงพลังถึงเพียงนั้นจริงหรือ?”

“จริง! ถ้อยคำของเทพจักรพรรดิไหนเลยจะผิดพลาด พวกมันไม่เพียงทรงพลังเท่านั้น แต่ยังแกร่งกล้าเหนือจินตนาการของพวกเราไปไกลลิ่ว อยากรู้จริงๆ หากเผ่าพันธุ์ปีศาจรู้เรื่องนี้เข้า พวกมันจะมีอาการยังไง น่าเศร้าก็แต่.... นี่ต้องสังเวยองค์หญิงไป่เย่และองค์หญิงเฮยเย่”

“หากเผ่าพันธุ์ปีศาจถูกกำจัด พวกเราจะจดจำพระนามขององค์หญิงไป่เย่และองค์หญิงเฮยเย่ไว้ตลอดไป.... พวกนางจะเกิดใหม่ในฐานะเทพลึกลับ คือเทพปกปักษ์ของพวกเราเหล่าเทพตลอดไป!”

ร่างของเล่งหยากลายเป็นแข็งค้าง ยืนนิ่งงันตัวเย็นเชียบอยู่ตรงนั้น เป็นเวลาเนิ่นนานไม่ฟื้นกลับคืน

จากความทรงจำของชาหลัว เขาทราบถึงตัวตนของเทพลึกลับ ทราบว่าการปลุกพวกมันต้องใช้สิ่งใด.... แต่ความลับน่าตะลึงนี้ เดิมทีมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้ เหตุใดวันนี้ถึงได้พูดกันจนทั่ว.... ยิ่งกว่านั้น เท่าที่ลองฟังดู ข่าวนี้กลับประกาศจากเทพจักรพรรดิโดยตรง

เวลา คือยามมืดค่ำของวันนี้!

ยามมืดค่ำ องค์หญิงไป่เย่และองค์หญิงเฮยเย่.... หรือหนิงเสวี่ยและทงซินของเย่หวูเฉินจะหายไปตลอดกาล สองเทพลึกลับอันน่าสะพรึงจะตื่นขึ้นและนำหายนะมาสู่ทวีปปีศาจ....

เขารู้ความสำคัญของหนิงเสวี่ยและทงซินต่อเย่หวูเฉิน และรู้ความสำคัญของทวีปปีศาจต่อชาหลัว

เขาไม่อาจยอมให้มันเกิดขึ้นได้!

มืดค่ำ.... ยามเที่ยงได้ล่วงผ่าน ตอนนี้คือยามบ่าย ตะวันยิ่งคล้อยต่ำลง ยามมืดค่ำได้ใกล้เข้ามาเรื่อยๆแล้ว

เขาไม่มีเวลาให้ครุ่นคิดและลังเลอีก.... ไม่มีอีกแล้วจริงๆ!

ป้องกันทุกวิถีทาง! ต่อให้ต้องตาย ก็ต้องเร่งเข้าไปหยุดยั้ง! ไม่มีทางเลือกใดๆแล้ว ไม่อย่างนั้น ทุกอย่างจะไม่อาจหวนกลับอีก ทุกสิ่งจะกลายเป็นความสิ้นหวัง

“เฮ้! เฮ้! เจ้าหน้าน้ำแข็ง เจ้ามัวเหม่ออะไรอยู่?” ฉู่จิงเทียนดันเขาไปข้างหน้า

แววตาเล่งหยากลายเป็นเย็นเยียบ เขาคว้าฉู่จิงเทียน “ไป!!”

ร่างของพวกเขาราวกับกลายเป็นหมอกควัน ทะยานสู่อากาศและพุ่งไปยังทิศทางของวิหารเทวะ ทวีปเทวะมีผู้ที่บินได้นับไม่ถ้วน การบินของพวกเขาจึงไม่มีใครสนใจ

....................

....................

นี่คือสตรีผู้หนึ่งมีผมยาวสีดำขลับดุจราตรี แต่งกายในชุดกระโปรงดำ ดวงตารัตติกาลมักพร่าเลือนและเป็นประกายดุจดารา ภายใต้สีดำอันบริสุทธิ์เหล่านั้น ผิวพรรณที่เผยออกมากลับขาวกระจ่างและงดงามยิ่ง ขาวนวลดุจผิวไข่มุก เส้นผมดำสยายลงประไหล่ ดวงหน้าใต้ผมยาวนั้น ราวกับถูกสลักจากช่างผู้ยอดเยี่ยมที่ใช้เวลาทั้งชีวิต สมบูรณ์แบบจนแทบเป็นภาพมายา ทว่าดวงหน้านั้นกลับทำให้หัวใจของผู้คนแทบแตกสลาย เพราะยามนี้ ดวงหน้านั้นกำลังเจ็บปวดจากความไม่เป็นธรรม , สับสน , หดหู่ , และสิ้นหวัง....

นางคือองค์หญิงเฮยเย่ คือน้องสาวขององค์หญิงไป่เย่ ธรรมชาติของนางอ่อนแอและยึดติดพี่สาว ไม่ว่าพี่สาวไปแห่งใดนางจะไปด้วย พี่สาวกล่าวสิ่งใดนางจะเชื่อฟัง และหากพี่สาวให้ทำสิ่งใด นางจะทำตามโดยไม่ลังเล

นางยังมีอีกชื่อหนึ่งคือทงซิน หากเรียกชื่อนี้ นางจะกลายเป็นอีกคนที่ตรงกันข้าม ไม่พูดจาและสิ้นอุปนิสัยที่อ่อนแอ กลายเป็นโหดเหี้ยม.... เป้าหมายที่ยึดติดจะเปลี่ยนไปเป็นอีกคน เป็นบุคคลที่นางยึดติดยิ่งกว่าใคร

“ท่านพี่.... ข้าคิดถึงเขาเหลือเกิน พวกเรา.... จะไม่ได้พบเขาอีกแล้วจริงๆหรือ?”

เฮยเย่สะอึกสะอื้น ทั้งน้ำเสียงและอุปนิสัยล้วนอ่อนแอไม่ต่างกัน เวลานี้ไม่อาจหาร่องรอยของทงซินจากนางได้ ราวกับสองคนที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

แววตาของไป่เย่กลายเป็นพร่ามัวดุจคนเหม่อลอย นางไม่ทราบควรปลอบเฮยเย่อย่างไร ไม่ทราบต้องใช้คำใดเพื่อปลอบตัวเองในยามนี้

ประตูถูกผลักเปิด เทพจักรพรรดิในชุดทองงามสง่ายืนอยู่ตรงนั้น สีหน้าซับซ้อนชำเลืองมาทางพวกนาง นางไม่โหดเหี้ยมพอมองพวกนางโดยตรง ในที่สุดนางกล่าวอย่างอ่อนโยน “มาเถอะ.... หากชาติหน้ามีจริง ข้าจะชดใช้ทุกอย่างให้กับพวกเจ้า”



<<<PREV    .    NEXT>>>