วันอาทิตย์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 251

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 251 กลับบ้าน (3)

ห่างออกไปไกล สายตาของเย่เว่ยตกลงบนร่างของเย่หวูเฉิน เพียงมองไม่นาน เขาก็เห็นชัดเจนว่าหนิงเสวี่ยอยู่ด้านขวา และทงซินอยู่ด้านซ้าย ความสงสัยสุดท้ายสลายไปในอากาศ ก่อนหน้าจะมาที่นี่ เขาไม่กล้าบอกแก่ภรรยาและบิดา เพราะเขากังวลมากว่าหากเป็นการจำคนผิด ความยินดีสุดแสนจะพลิกเป็นความผิดหวังใหญ่หลวง เขาเหวี่ยงมือหวดแส้จนเลือดแทบไหลซิบออกจากบั้นท้ายม้า ดวงตาคู่พยัคฆ์ฉาบคลุมด้วยความตื่นเต้นและดีใจสุดแสน

น่ายินดีอะไรเช่นนี้?

สามปีก่อนอัสนีฟาดจากฟากฟ้า สามปีแห่งความทุกข์และทรมาน ตระกูลเย่เหี่ยวเฉาและเศร้าตรม มั่งคั่งร่ำรวยแล้วอย่างไร? มีทัพทหารยิ่งใหญ่แล้วอย่างไร? ในเมื่อสายเลือดถูกตัดขาด ไม่อาจมีผู้สืบทอดต่อตระกูล หากสามปีให้หลัง ความดีใจสุดแสนกลับบังเกิดขึ้นอีกครั้ง ทั้งยิ่งใหญ่กว่าครั้งก่อนนับร้อยนับพันเท่า คิดไม่ออกเลยว่าหากบิดากับภรรยารู้เข้าจะดีใจถึงเพียงใด กระทั่งเขาเองยังอยากหัวเราะและร่ำร้อง

แต่ในฐานะบิดา เขาไม่อาจร้องไห้ต่อหน้าบุตรชายตนเองได้ เขายับยั้งตัวเอง ปล่อยสายลมพัดใบหน้าพาหยดน้ำตาให้ปลิวออกไป

ก่อนที่ม้าจะไปถึง เขาไม่อาจทนรอให้ม้าหยุดวิ่ง คนกระโดดลงจากหลังม้า ตรงไปอยู่เบื้องหน้าของเย่หวูเฉิน ใช้สองมือจับไหล่ ดวงตาจ้องมองที่หน้าของเย่หวูเฉิน “เฉินเอ๋อร์ เป็นเจ้าจริงๆเหรอ?”

“เป็นข้าเอง ข้ากลับมาแล้ว” เย่หวูเฉินยิ้มตอบและชูมือซ้ายที่มีแหวนเทพกระบี่ “ในโลกนี้ ไม่มีผู้ใดแอบอ้างเป็นข้าได้”

“เฉินเอ๋อร์....” อารมณ์ที่ถูกระงับกดข่ม ยามนี้ดวงตาสองข้าพร่าไปด้วยน้ำตา มีหลายสิ่งหลายอย่างที่อยากกล่าว แต่ตอนนี้อารมณ์ท่วมทับจุกแน่นในอกจนไม่อาจกล่าวคำ สองมือที่จับไหล่ของเย่หวูเฉินสั่นเทารุนแรง เช่นเดียวกับหัวใจที่สั่นไหว

“สามปีก่อน ข้าได้ไปพบกับยมราช ยมราชกล่าวว่าคนของตระกูลเย่จะต้องตายในสมรภูมิเท่านั้น ดังนั้นเขาจึงส่งข้ากลับมาในวันนี้” เย่หวูเฉินยิ้มกล่าว สีหน้าที่แสดงออกของชายผู้นี้ รวมทั้งน้ำตาของเขาที่หลั่ง ทำให้หัวใจของเย่หวูเฉินยามนี้กระเพื่อมไหวอยู่เงียบงัน น้ำตาของบุรุษผู้นี้ล้ำค่าอย่างยิ่ง ทว่าเพื่อบุตรชายของตนแล้วเขาไม่ตระหนี่แม้แต่น้อย

บางที ในชีวิตนี้เขาคงไม่อาจใจร้ายพอที่จะบอกว่าตนเองไม่ใช่บุตรชายของเย่เว่ย เป็นคนที่เพียงแสร้งเป็นบุตรชาย ความรักของบิดาผู้นี้ล้ำค่าเกินไปสำหรับเขา

ดังนั้น เขาจึงไม่เหลือทางเลือกอื่น นอกจากกลายเป็น “บุตรชาย” ของเขา

“ท่านพ่อ นี่คือสหายทั้งสองของข้า เขาคือเล่งหยาที่ท่านรู้จักอยู่แล้ว ส่วนนี่คือฉู่จิงเทียน เป็นหลานชายของเทพกระบี่ฉู่ชางหมิง พวกเรารู้จักกันมานานแล้ว” เย่หวูเฉินกล่าวแนะนำด้วยรอยยิ้ม

หากเป็นแต่ก่อน เมื่อเย่เว่ยได้ยินคำว่า “หลานชายของเทพกระบี่ฉู่ชางหมิง” เขาย่อมตื่นตะลึงอย่างหนัก ทว่าในยามนี้ สายตาของเขาไม่ได้เคลื่อนไปที่ฉู่จิงเทียน คำว่า “ท่านพ่อ” ได้สะกดจิตใจของเขา ทำให้ไม่อาจสนใจเรื่องอื่นอีก

“ในที่สุด เจ้า....ก็ยอมรับว่าข้าเป็นพ่อ”

“ท่านคือพ่อของข้า” เย่หวูเฉินกล่าวตอบ ในใจหวนนึกไปในคืนนั้น เขากับเย่ฉุ่ยเหยายืนอยู่ใต้แสงจันทร์ มีฟ้าดินเป็นพยานกลายเป็นสามีภรรยา นับตั้งแต่ครั้งนั้น บิดามารดาของนางก็คือบิดามารดาของเขา ในที่สุดเขาก็เรียกบิดาตนเองได้อย่างเต็มปากเต็มคำ

เย่เว่ยพยักหน้าหนักหน่วง คนทั้งสองมองกันด้วยรอยยิ้ม

เย่เว่ยหยัดกายตรง แหงนศีรษะเงยมองฟ้า ดูคล้ายรอให้น้ำตาจางลง ดูเหมือนขอบคุณสวรรค์ที่เมตตา แม้เขาจะพบว่าร่างกายของเย่หวูเฉินอ่อนแออย่างน่ากลัว แต่นั่นไม่ใช่สิ่งสำคัญ การที่เขากลับมานั้นนับว่าดีแล้ว

ในที่สุดรถม้าก็ตามมาถึง เย่หวูเฉินกล่าว “ท่านพ่อ กลับบ้านกันเถอะ ข้าคิดถึงบ้านยิ่งนัก”

เย่เว่ยพยักหน้าหนัก บ้าน....ยามไร้เย่หวูเฉิน ตระกูลเย่ไม่อาจเรียกว่าบ้านได้โดยแท้

เย่หวูเฉินขึ้นรถม้าด้วยความช่วยเหลือของฉู่จิงเทียน หนิงเสวี่ยและทงซินตามขึ้นไปต่อ หนิงเสวี่ยหันมาและกล่าว “พี่ต้าหนิว รถเข็นนั่นสำคัญกับท่านพี่มาก ท่านอย่าทำหายนะ”

“วางใจข้าได้เลย นี่เป็นเพียงไม้ไม่กี่ชิ้นเอง” ฉู่จิงเทียนทุบอกตนเอง ที่มุมหางตายังคงเปียกชื้น เพียงคำพูดไม่กี่ประโยคของเย่เว่ยและเย่หวูเฉิน ก็ทำให้เขาสัมผัสถึงความรู้สึกได้มากมาย ระหว่างบุรุษไม่จำเป็นต้องมากความ เพียงไม่กี่คำ , ไม่กี่สายตา , ไม่กี่อารมณ์ ก็เพียงพอแล้ว สำหรับคนที่ไร้บิดาอย่างเขา ความรู้สึกยามนี้ทั้งตื้นตันและเจ็บปวด ทั้งอิจฉาในขณะเดียวกัน

“สหายของเฉินเอ๋อร์ทั้งสอง ย่อมเป็นแขกทรงเกียรติของตระกูลเย่เรา โปรดเชิญขึ้นม้า” เย่เว่ยให้ผู้ติดตามสองคนลงจากม้า จากนั้นเชิญฉู่จิงเทียนและเล่งหยาด้วยความสุภาพ

ฉู่จิงเทียนโบกมือกล่าว “ท่านลุงสุภาพเกินไปแล้ว พวกเราขอเดินเองจะไวกว่า”

เล่งหยาพยักหน้าตามเล็กน้อย

เย่เว่ยไม่กล่าวขัดและพยักหน้ารับเบาๆ เขาขึ้นม้าและตะโกนร้องคำหนึ่ง จากนั้นควบม้าห้อออกไป

เมื่อพวกเขาไปแล้ว ฉู่จิงเทียนจึงหยิบรถเข็นขึ้นมา ทันใดก็กระซิบเสียงเบา “โอ้? นี่มันไม้ชนิดใดกัน? เหตุใดจึงได้แข็งราวกับเหล็ก” เขาไม่ได้คิดมากเกี่ยวกับมัน หากแต่กล่าวจริงจังกับเรื่องอื่น “เจ้าหน้าน้ำแข็ง เจ้ารู้รึเปล่าว่าทำไมความเร็วของข้าถึงด้อยกว่าเจ้าอยู่ตลอด? ตอนนี้ข้าเข้าใจแล้ว เพราะตัวข้านั้นหนักกว่าเจ้ามาก เจ้ากล้าแบกสิ่งนี้แล้วมาแข่งกับข้าอีกรอบหรือไม่?”

เล่งหยาเหลือบมองด้วยหางตา มือขวาขยับออก คว้ารถเข็นมาอยู่ในมือราวกับสายฟ้า ถือไว้ง่ายดายราวกับจับเนย เขากล่าวราบเรียบ “ต่อให้เจ้าก่อนสิบอึดใจ”

“เจ้าพูดเองนะ” ฉู่จิงเทียนไม่รอช้า สูดหายใจเข้าลึก ชักกระบี่ขว้างออกไปเบื้องหน้า กู่ร้องเสียงต่ำ “เคล็ดเทพกระบี่ – แสงกระบี่ไร้เงา!”

ทันทีที่ร้องจบ ร่างของเขาก็พริ้วขึ้น ปลายเท้าเหยียบลงบนกระบี่ ร่างกำยำและกระบี่ใต้ร่างก็เร่งทะยานออกไป เพียงพริบตาก็หายลับ เหลือเพียงเส้นสีน้ำเงินทิ้งไว้เบื้องหลัง

เล่งหยารออยู่กับที่เป็นเวลาสิบอึดใจ จากนั้นแค่นเสียงเย็นแล้วขยับเท้า ร่างกลายเป็นแสงเงาสีเทา ฉับพลันหายไปในพริบตา

เกิดเสียงแหวกอากาศ มีเงาน้ำเงินร่างหนึ่งวาบผ่านจากด้านข้าง พวกม้าที่วิ่งอยู่ตื่นตระหนกเล็กน้อย

เพียงครู่เดียวก็มีเสียงแหวกอากาศตามมาอีกหนึ่งสาย ครั้งนี้เป็นเงาร่างสีเทาพัดผ่านไปราวกับพายุ

เห็นเงาร่างสองสายไล่ตามติดกันไป เย่เว่ยกล่าวคำด้วยความยอมรับ “สมแล้วที่เป็นบุตรแห่งเทพสงคราม สมกับที่เป็นหลานชายของเทพกระบี่! ด้วยวัยเพียงเท่านี้กลับสร้างความตกตะลึงแก่ผู้คน”

....................

....................

ข่าวการกลับมาของเย่หวูเฉินยังไม่แพร่สะพัด แต่ในตระกูลเย่ยามนี้กำลังกระซิบกระซาบกัน ไม่มีใครกล้ารบกวนเย่หนู่ หวังเวิ่นชูเดินกลับไปกลับมาอยู่หน้าปากประตูอย่างกระวนกระวาย บางครั้งสองมือบีบแน่น บางครั้งสองมือไพล่หลัง สุดท้ายไม่ทราบจะวางมือไว้ตรงไหน หัวใจยิ่งมายิ่งเต้นแรง นางกระทั่งได้ยินเสียงหัวใจเต้นดังชัดเจน

ตอนที่นางทราบข่าว นางแทบจะวูบหมดสติ

ในตอนนี้ หัวใจของนางเต็มไปด้วยความหวัง ทั้งยังเต็มไปด้วยความกลัว ทุกวินาทีสำหรับนางช่างทรมานนัก

นางเป็นมารดาที่ประสบความทรมานร้ายกาจ.... ต้องดูแลบุตรชายผู้อ่อนแอตั้งแต่ยังเด็ก เจ็บปวดสาหัสจากการสูญเสียบุตรชายถึงสองครา แต่ว่า....ในใจนางล้วนปรารถนา ตราบเท่าที่บุตรชายกลับมา ต่อให้นางต้องเจ็บปวดกว่านี้ หรือมีอายุขัยสั้นลง นางก็พร้อมยอมแลก

เสียงเกือกม้าดังใกล้ มีคนขี่ม้าเข้ามาด้วยความเร็วสูง เป็นเย่ซื่อที่ออกไปพร้อมเย่เว่ย เขากระโดดลงจากม้าแล้วก้าวเข้ามา ไม่รอให้หวังเวิ่นชูเอ่ยถามและตะโกนกล่าวด้วยความเคารพ “นายหญิง นายท่านให้ข้ามาแจ้งข่าว ว่าเขาคือนายน้อยโดยไม่ต้องสงสัย เขากับคุณหนูหนิงเสวี่ยปลอดภัยดี ตอนนี้กำลังเร่งเดินทางกลับมา นายท่านเกรงว่านายหญิงจะเป็นกังวล จึงให้ข้ารีบนำข่าวมาแจ้งก่อน”

หวังเวิ่นชูน้ำตาไหลพร่างพรูออกมาในทันที นางกอดเสี่ยวลู่และร้องสะอึกสะอื้น เพียงครู่เดียวชุดของเสี่ยวลู่ก็เปียกไปด้วยน้ำตา

“นายหญิง นายน้อยกลับมาแล้ว นายหญิงควรจะมีความสุขนะเจ้าค่ะ” เสี่ยวลู่กล่าวปลอบทั้งตาแดง

หวังเวิ่นชูไม่กล่าวตอบ เพียงร้องไห้อยู่ นางร้องไห้จนไม่อาจกล่าวคำ

ระหว่างที่รออย่างใจจดใจจ่อ รถม้าของเย่หวูเฉินก็มาถึงปากประตูตระกูลเย่ในที่สุด เขาแง้มผ้าม่านออก มองดูอักษร “เย่” ขนาดใหญ่เหนือปากประตู หัวใจของเย่หวูเฉินสลดลงนับร้อยพันเท่า เขากอดหนิงเสวี่ยและทงซินไว้แน่นและกล่าวเสียงเบา “สามปี ในที่สุดพวกเราก็กลับถึงบ้านแล้ว”

ผ้าม่านพลันถูกเปิดออก เป็นหวังเวิ่นชูที่น้ำตานองหน้า เย่หวูเฉินมองนางและกล่าวเสียงแผ่ว “ท่านแม่ ข้ากลับมาแล้ว”

หวังเวิ่นชูตัวสั่นทั้งร่าง นางตะกายขึ้นรถม้า คว้าเย่หวูเฉินกอดไว้ในอ้อมแขน ร้องไห้ปล่อยโฮ ไม่สนใจคนบนท้องถนนโดยสิ้นเชิง

ฝูงชนที่เดินผ่าน พากันหยุดมองเพิ่มขึ้น ใบหน้าต่างตกตะลึงและไม่เชื่อตา และนับจากเวลานี้ ข่าวการกลับมาของเย่หวูเฉินก็แพร่สะพัดด้วยความเร็วยิ่งยวด สร้างความสั่นสะเทือนไปทั้งสี่ทิศ

ได้ฟังเสียงครวญและร่ำไห้ ฉู่จิงเทียนพึมพำอุบอิบ “มีมารดาให้สวมกอด นับว่ามีความสุขจริงๆ เฮ้อ”

เพียงกล่าวคำจบ เล่งหยาก็ทะยานร่างผ่านประตูโดยไม่เอ่ยคำ ฉู่จิงเทียนยื่นแขนหมายจะคว้าตัวไว้โดยสัญชาตญาณ เพียงแต่ยื่นไปได้ครึ่งแขนก็พลันหยุดไว้ “นั่นสินะ เจ้าหน้าน้ำแข็งก็มีแม่เหมือนกัน เขาสมควรไปหาแม่ของตัวเองอยู่ ฮ่าย เหลือข้าคนเดียวแล้วทีนี้”

เขาชูหมัดขึ้นฟ้า บ่นอุบเสียงต่ำ “เจ้าข้าเอ้ย เกิดชาติหน้าขอให้ข้ามีแม่กับเขาด้วยเถอะ!!”

ฉู่จิงเทียนช่วยประคองเย่หวูเฉินลงจากรถม้า เสื้อตรงอกเปียกน้ำตาของหวังเวิ่นชูเป็นป้านใหญ่ เขายินดีกับสัมผัสแห่งรักอันบริสุทธิ์ เมื่อเขานั่งลงบนรถเข็น มีหนิงเสวี่ยและทงซินช่วยกันดัน หวังเวิ่นชูยืนนิ่งอยู่ด้านข้าง ถามด้วยเสียงสั่นเครือ “เฉินเอ๋อร์ ขาของเจ้า....”

เย่เว่ยตบไหล่นาง ส่ายศีรษะและกล่าว “ไม่ใช่ที่ขา เมื่อตอนที่เขาต่อสู้ในอาณาจักรต้าฟง พลังในร่างสูญสลายไปหมดสิ้น ไม่อาจฟื้นฟูกลับคืนมาได้ ตอนนี้เขาอ่อนแออย่างมาก และจะเป็นแบบนี้ตลอดไป เหมือนกับตอนที่เขาอายุ 16 ปี”

หวังเวิ่นชูนิ่งค้างไปครู่หนึ่ง จากนั้นกล่าวอย่างโง่งม “ดะ....ดีเหมือนกัน แบบนี้เขาจะได้ไม่ต้องแบกรับภาระหนักหนาอีก จะได้ไม่ต้องวิ่งถ่อไปที่ใด จากนี้ข้าจะปกป้องเขาทุกวัน ไม่ยอมให้ใครทำร้ายเฉินเอ๋อร์ของพวกเราอีก”

เย่เว่ยพยักหน้า คนทั้งสองย่อมไม่อาจทานทนได้อีก หากจะมีครั้งถัดไป



<<<PREV    .    NEXT>>>