วันอังคารที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 267

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 267 ดีใจจนลืมตัว

หลังจากทานอาหารมื้อเที่ยงเสร็จ เย่เว่ยก็นำคนออกไปข้างนอกอย่างเร่งรีบ ส่วนหนิงเสวี่ยกับทงซินพาเย่หวูเฉินกลับไปส่งที่ห้องนอน อิดออดที่จะออกห่างอยู่ชั่วขณะ จากนั้นออกไปกับหวังเวิ่นชูด้วยความสุข เย่หวูหยุนส่งพวกนางด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า เมื่อพวกนางออกไปไกลแล้ว เขาก็ให้ยามปิดประตูหน้าไว้ หากมีเหตุให้พวกนางต้องกลับมาก่อนเวลา เมื่อเปิดประตูหน้าย่อมเกิดเสียงที่ไม่เบานัก

บรรยากาศโดยรอบเงียบสงบ ผู้คนในตระกูลเย่กำลังทำงานอย่างขะมักเขม้น เย่หวูหยุนเร่งฝีเท้ากลับไปยังห้องของตน จากนั้นก้าวออกมาด้วยฝีเท้าปกติ แล้วตรงไปที่สวนของเย่หวูเฉิน

ขณะที่ก้าวเข้าไปในสวน เสี่ยวลู่สาวใช้ส่วนตัวของเย่หวูเฉินกำลังถือถาดน้ำชาเดินมาจากข้างหลังอย่างชดช้อย เมื่อเห็นเย่หวูหยุน นางรีบเอ่ยทักด้วยความเคารพ “นายน้อย”

“โอ้ เสี่ยวลู่นี่เอง ข้ากำลังจะไปหาน้องหวูเฉินอยู่พอดี เจ้าออกไปเถอะ เดี๋ยวข้าจะเอาไปส่งให้เอง” เย่หวูหยุนพูดอย่างอ่อนโยน ในตระกูลเย่ทุกคนต่างรู้ว่าเย่หวูหยุนเป็นคนสุภาพ ปฏิบัติต่อคนใช้ทุกคนประดุจพี่ชายและน้องสาว ทำให้เขาเป็นที่เคารพอย่างมากในตระกูลเย่

“เจ้าค่ะ....” เสี่ยวลู่แปลกใจเล็กน้อย จากนั้นส่งถาดน้ำชาให้เย่หวูหยุนอย่างนอบน้อม เขากับเย่หวูเฉินมีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีนัก เรื่องนี้ทุกคนในตระกูลเย่ต่างกันรู้ดี หรือว่า การกลับมาของนายน้อยเล็กในคราวนี้ จะทำให้พวกเขาปรองดองกันได้ในที่สุด?

“เออนี่ เสี่ยวลู่” เย่หวูหยุนหยุดเดินแล้วเรียกนาง จากนั้นใช้สายตามองนำไปในสวน “ทำไมในนี้ถึงเงียบนัก คนอื่นหายไปไหนกันหมด?”

“เรียนนายน้อย เย่ซีกับเย่บาออกไปพร้อมกับนายท่าน ส่วนสหายทั้งสองของนายน้อยเล็ก.... เนื่องจากมารดาของนายน้อยแซ่เล่งเสียไปเมื่อวาน ดังนั้นในตอนเช้าจึงออกไปเตรียมโลงศพ เขายังยืนกรานว่าจะออกไปซื้อชุดไว้ทุกข์ด้วยตัวเอง ส่วนนายน้อยแซ่ฉู่ก็ออกไปพร้อมกับเขา คุณหนูหนิงเสวี่ยและคุณหนูทงซินออกไปกับนายหญิง นายน้อยเล็กเองก็กำลังพักผ่อนได้ครู่หนึ่ง”

“เป็นแบบนี้เอง” เย่หวูหยุนเข้าใจชัดขณะพยักหน้า

“ถ้าอย่างนั้นบ่าวขอตัว” เสี่ยวลู่โน้มคำนับเป็นพิธี จากนั้นหันกายแล้วจากไป

เย่หวูหยุนแทบอยากเงยหน้าขึ้นฟ้าหัวเราะให้ลั่น เขาแค่นเสียงบางและกล่าวเสียงต่ำ “ในเมื่อสวรรค์อยากให้เจ้าตาย เช่นนั้นเจ้าก็จงตายไปซะ....”

เย่หวูหยุนเปิดฝาถ้วยน้ำชา แล้วนำขวดเล็กๆออกมาจากแขนเสื้อ เขาโปรยผงสีขาวลงไปเล็กน้อย จากนั้นแย้มยิ้มเดินตรงไปที่ห้องนอนของเย่หวูเฉิน

เมื่อเย่หวูหยุนเปิดประตู เย่หวูเฉินก็ลืมตาขึ้น ปรายมองมาแล้วหันศีรษะออก เขากล่าวอย่างเกียจคร้าน “ใครให้เจ้าเข้ามา ออกไปให้พ้นข้า”

เย่หวูหยุนมิได้แสดงความโกรธ หากกลับกล่าวด้วยรอยยิ้ม “พวกเราต่างก็เป็นคนตระกูลเย่ เหตุใดน้องหวูเฉินถึงได้จงเกลียดจงชังข้านัก? หากมีสิ่งใจที่พี่ชายเจ้าทำไม่ถูกต้อง ก็จงบอกกล่าวออกมา จะได้แก้ไขความสัมพันธ์ของพี่น้อง”

เย่หวูเฉินแค่นเสียงเย็นออกจมูก “พี่น้อง? ยังจะกล้าพูดอยู่อีก เจ้ารีบไสหัวออกไปซะ สามปีก่อนข้าเคยบอก ว่าเจ้ามันก็แค่ตัวจรจัดที่ปู่ของข้าเก็บกลับมา เป็นสุนัขที่ตระกูลเย่ของข้าเลี้ยงไว้ คิดไม่ถึงว่ากลับหน้าหนา กล้าเรียกตัวเองว่านายน้อย เจ้ารีบไสหัวออกไปเดี๋ยวนี้!”

เย่หวูหยุนสีหน้าทะมึนลง ถือถาดน้ำชาก้าวมาที่โต๊ะข้างเตียงแล้ววางลง กล่าวด้วยความระอา “น้องหวูเฉิน ในเมื่อเจ้าไม่พอใจพี่ หลังจากนี้พี่จะไม่มาให้เจ้าเห็นหน้าอีก นี่คือชาชั้นเลิศที่เสี่ยวลู่นำมาส่ง เจ้าดื่มก่อนที่มันจะเย็นเถอะ ถือเสียว่าเป็นคำขอโทษที่พี่ทำให้เจ้าไม่มีความสุข”

เย่หวูเฉินปราดตามองอย่างเย็นชาคราหนึ่ง จากนั้นไม่เหลือบแลอีก เขาตะกายลุกขึ้นและหอบหายใจ แค่นเสียงบางแล้วหยิบถ้วยน้ำชาขึ้นจ่อริมฝีบาง เพียงแต่ขณะที่กำลังจะดื่ม สีหน้าเขาก็ผันเปลี่ยน เขาเหวี่ยงมืออย่างรุนแรง สาดชาร้อนใส่หน้าของเย่หวูหยุนและกล่าวด้วยเสียงมืดมน “น้ำชาที่เสี่ยวลู่ชงให้ไม่ใช่กลิ่นนี้ เย่หวูหยุน ดูเหมือนเจ้าจะเติมบางสิ่งลงไป เจ้ารีบไสหัวไปให้พ้นหน้าข้าเดี๋ยวนี้!”

เย่หวูหยุนที่เดิมตื่นเต้นอยู่ในใจ พอถูกสาดด้วยน้ำชาร้อน โทสะที่เก็บกดไว้ก็พุ่งทะลักขึ้นทันที ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยว ถอดวางใบหน้าที่อำพรางในที่สุด เขานำมีดสั้นเงินออกมาจากอกเสื้อ แล้วจ่อไปที่คอหอยของเย่หวูเฉิน “เย่หวูเฉิน.... ข้าอุตส่าห์ไม่อยากให้เจ้าเห็นเลือด แต่เจ้าบังคับข้าเอง!”

เย่หวูเฉินม่านตาหดลีบรุนแรง ความตระหนกวาบผ่านใบหน้าเพียงชั่วขณะ ร่างกายหดลงอย่างไม่อาจควบคุม เขาแค่นเสียงเย็นด้วยใบหน้าราบเรียบ แล้วกล่าวอย่างสงบ “เย่หวูหยุน เจ้าคิดจะทำอะไร!”

“ทำอะไรเหรอ? ก็ทำให้เจ้าตายไง!” ได้เห็นสีหน้าตระหนกเพียงชั่วขณะ ความทรงจำอับอายที่เขาได้รับเมื่อสามปีก่อนก็ผุดขึ้น ในใจบังเกิดความรู้สึกสุขสมสะใจ

“....ในที่สุดก็โผล่หางจิ้งจอก ดูเหมือนที่ข้าด่าทอเจ้าไว้จะไม่ผิดพลาด แต่เจ้าไม่รู้หรือไง ว่าต่อให้ข้าตายไปตระกูลเย่ก็จะตกทอดเป็นของพี่สาวข้าเท่านั้น ไม่มีทางกลายเป็นของเจ้า สุนัขที่ถูกเก็บเอามาเลี้ยง” เย่หวูเฉินหัวเราะเหยียดหยัน “ข้าขอแนะนำให้เจ้าวางมีดลงแล้วออกไปซะ ข้าจะทำเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น ไม่อย่างนั้น หากเกิดเรื่องขึ้นกับข้า ผู้ที่เข้ามาในตอนบ่ายก็มีเพียงเจ้าเท่านั้น ทุกคนย่อมคาดเดาได้ทันทีว่าเป็นฝีมือเจ้า!”

“งั้นเหรอ?” เย่หวูหยุนไม่เพียงไม่เกรงกลัว หากยังกลับหัวเราะลั่น “แล้วเหตุใดถึงไม่มีใครสงสัยตอนที่ข้าสังหารเจ้าเมื่อสี่ปีก่อน?”

“สี่ปีก่อน? นี่เจ้า! ที่แท้ตอนนั้น....ก็เป็นเจ้า!?” เย่หวูเฉินสีหน้าเปลี่ยนทันที

“ถูกต้อง เป็นข้าเอง.... ข้าสามารถฆ่าเจ้าได้โดยที่ไม่ทิ้งร่องรอย ตอนนี้ข้าก็ยังทำเหมือนเดิมได้ เพียงแต่ คราวนี้เจ้าจะไม่โชคดีเหมือนครั้งที่แล้ว....ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า เย่หวูเฉิน เจ้าราวกับฟ้าส่งลงมาเกิด กระทั่งจักรพรรดิยังอิจฉาเจ้าอยู่หลายส่วน ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าข้า เจ้าก็เป็นได้เพียงตัวตลกเท่านั้น ทุกคนในตระกูลเย่ของเจ้าล้วนเป็นตัวตลก.... เจ้าคิดว่าข้าเข้ามาในตระกูลเย่เพื่อวางแผนฮุบสมบัติสินะ? ถูกต้อง มีคนวางแผนต่อตระกูลเย่ของเจ้าอยู่จริงๆ แต่นั่นไม่ใช่ข้า หากเป็น....องค์จักรพรรดิ!”

เย่หวูเฉินเมื่อได้ฟังสีหน้าก็ทะมึนลง เขาไม่กล่าวคำ แต่หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็กล่าวด้วยน้ำเสียงชิงชัง “ที่แท้....เจ้าก็เป็นเบี้ยหมากที่หลงหยินส่งมายังตระกูลเย่ของข้า!!”

ความรู้สึกสมใจที่ได้แก้แค้นรวมถึงได้กุมทุกอย่างเอาไว้ในมือ ทำให้เย่หวูหยุนตื่นเต้นจนใบหน้าบิดเบี้ยว เพื่อให้ได้การยอมรับจากตระกูลเย่ เขาทำงานอย่างหนักมาตลอดหลายปี หลังจากที่เย่หวูเฉินกลับมามันก็เหยียดหยามกลั่นแกล้งเขาทุกวิธี ทว่าตอนนี้เขากลับรู้สึกฝืนใจที่จะลงมือสังหาร เขาอยากได้ยินเสียงร้องทรมานของ อยากเห็นมันตื่นตระหนกและเจ็บปวด อยากให้มันได้เห็นว่าตัวเองมีสภาพทุเรศแค่ไหนเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา “ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฝ่าบาทเคยตรัสว่าเจ้าอาจจะล่วงรู้ถึงแผนการ.... แต่ถึงเจ้ารู้แล้วจะทำอะไรได้? ปัญญาอันน้อยนิดของเจ้าเมื่ออยู่ต่อหน้าฝ่าบาทก็เป็นได้แค่เด็กอมมือ ความคิดของเจ้าก็เหมือนกับผายลม ฝ่าบาทวางแผนเอาไว้กว่า 20 ปี ความลุ่มลึกของแผนการนั้น เหนือชั้นห่างไกลเกินเย่หวูเฉินตัวจ้อยอย่างเจ้าจะเทียบได้ ข้าเข้าสู่ตระกูลเย่เมื่อหลายปีก่อน ความจริงเพราะรับหน้าที่สังหารเจ้าตามแผนการของจักรพรรดิ แต่ที่น่าสมเพชก็คือ.... จักรพรรดิให้คนวางยาขับเลือดกับแม่เจ้า แต่แม่เจ้ากลับยังให้กำเนิดเจ้าได้ ทว่ายานั้นก็ยังส่งผลข้างเคียง อย่างน้อยเมื่อเจ้าตายไป ตระกูลเย่ก็ไม่อาจให้กำเนิดทายาทได้อีก ถึงต่อให้เจ้ามีชีวิตอยู่ ก็เป็นได้แค่ไอ้ขี้โรคที่จะฆ่าทิ้งตอนไหนก็ได้….ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า!”

เขาขยับมีด ทำท่าจะปาดคอเย่หวูเฉิน เผยรอยยิ้มโหดเหี้ยม กระหยิ่มใจว่าชีวิตของตนไม่เคยเป็นอิสระเท่านี้มาก่อน ความรู้สึกที่ได้ถือกุมชีวิตคนอื่น.... โดยเฉพาะกับคนที่เคยดูหมิ่นเหยียดหยามตนเอง เขารู้สึกสุขใจไม่มีใดเทียบ “เจ้าวางใจได้ หลังจากที่เจ้าตายไปแล้ว จักรพรรดิจะไม่ล่วงล้ำพ่อกับปู่ของเจ้า เพราะฝ่าบาทอยากให้พวกมันรับใช้จนตัวตายในสนามรบ พวกมันยังมีค่าให้ใช้งานอยู่อีกมาก ฝ่าบาทจึงไม่โหดเหี้ยมพอจะสังหารพวกมัน หลงจากที่เจ้าตายไปแล้ว ฝ่าบาทมีวิธีการทำให้ข้าขึ้นเป็นผู้นำของตระกูลเย่ และเมื่อเวลามาถึง ทั้งตระกูลเย่ก็จะตกเป็นของข้า เป็นของจักรพรรดิ รวมถึงพี่สาวของเจ้าก็จะกลายเป็นของข้าด้วย....”

โครม!!

ห่างออกไปทางขวาหลายเมตรฉากกั้นถูกถีบออกอย่างรุนแรง ที่หลังฉากนั้น มีคนยืนอยู่สี่คน เย่หวูหยุนหันศีรษะไปมองอย่างตระหนก จากนั้นจึงเห็นเย่เว่ยที่กำลังมีสีหน้าซีดขาวอย่างน่ากลัว ทั้งร่างของเย่หวูหยุนเย็นเยียบเหมือนร่วงลงสู่หลุมน้ำแข็ง

“หยุนเอ๋อร์.... คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้า เจ้า....” หวังเวิ่นชูพิงร่างอยู่กับเย่เว่ย ด้วยจิตใจที่ถูกกระทบกระเทือนอย่างหนัก หวังเวิ่นชูแทบไม่อาจทรงกายยืนอยู่ นางชี้นิ้วไปที่เย่หวูหยุน ริมฝีปากสั่นเครือ ไม่อาจกล่าวคำจนจบได้

เย่หวูหยุนตะลึงค้างโง่งม ผ่านไปครู่ใหญ่ยังไม่อาจตั้งสติ เขาเห็นอยู่ชัดๆว่าเย่เว่ยพาคนออกไปข้างนอก เห็นหวังเวิ่นชูพาหนิงเสวี่ยและทงซินออกห่างไปไกล ราวกับว่าพวกเขาหล่นลงมาจากเมฆแล้วพลันปรากฎตัวอยู่ที่นี่ ทำให้เขาสงสัยเหลือเกินว่าตนกำลังอยู่ในความฝัน.... ทั้งยังเป็นฝันร้ายอันสิ้นหวัง

เขารีบตวัดมีดสั้น หมายคว้าเย่หวูเฉินเป็นตัวประกัน ทว่าเพียงแค่เริ่มขยับมือ ก็มีแสงทมิฬพุ่งผ่านไปเบื้องหน้า เขายังไม่ทันเห็นชัดว่ามันคือสิ่งใด มือขวาก็แตกละเอียดเหมือนถูกพยัคฆ์ขย้ำ มีดสั้นปลิวออกไป ร่างของเขาทรุดร่วงลงกับพื้น ขณะที่ล้มลงก็มีแสงทมิฬเข้าห่อหุ้มร่าง พลังของเขาเหมือนถูกแสงประหลาดนั้นสูบกลืนออกไป เขาล้มแผ่อยู่บนพื้น ดวงตาเบิกกว้างอย่างตื่นตระหนก ทั้งไม่อาจหยัดยืนลุกขึ้นได้

เย่หวูเฉินไม่ให้ทงซินสังหารเขา ไม่อย่างนั้น เพียงหนึ่งนิ้วของทงซินก็สังหารเขาได้นับไม่รู้กี่ครั้ง

เย่หวูเฉินเอนนั่งอยู่บนเตียง แค่นเสียงกล่าวเหยียดหยัน “เป็นพวกโง่เง่าเหมือนที่ข้าคิดเอาไว้ เมื่อคนโง่ต้องอดกลั้นเป็นเวลานาน พอถึงคราวสบโอกาสควบคุมทุกสิ่ง ก็มักดีใจจนหลงลืมตัวเอง ลืมสิ้นทุกสิ่ง กระทั่งแผนการในมือยังเปิดเผยออกมา แต่ถือว่าเจ้าทำได้ดี ข้าอยากให้ท่านพ่อกับท่านแม่ได้ยิน ตอนนี้เจ้าก็ได้พูดออกมาจนหมดสิ้นแล้ว”

เย่หวูเฉินหันไปมองที่เย่เว่ย และพบว่าใบหน้าของเขายังคงเย็นชาอย่างน่ากลัว ทุกส่วนในร่างของเขาสั่นระริกอยู่เล็กน้อย หมัดสองข้างกำไว้แน่น ดวงตาคมกล้ามองจ้องที่เย่หวูหยุน แววตาซับซ้อนจนคนอื่นไม่อาจเข้าใจ เย่หวูเฉินถอนหายใจเงียบงัน เขาเชื่อว่าเย่เว่ยจะผ่านเรื่องกระทบจิตใจร้ายแรงครั้งนี้ได้ อย่างไรเสีย เขาก็ไม่ใช่เย่หนู่

ตอนนี้เย่หวูหยุนไม่ต่างจากร่วงจากฟ้าลงสู่เหว กลายเป็นคนโง่ที่ถูกเย่หวูเฉินหลอกปั่นหัวจนเล่าแผนการทั้งหมด เขาอุตส่าห์ซุ่มตัวอยู่ในตระกูลเย่มาตลอดหลายปี วางแผนสองครั้งสังหารบุตรชายคนเดียวของตระกูลเย่เพื่อตัดตอนทายาท ตอนนี้เรื่องทั้งหมดกลับถูกเปิดโปงจนสิ้น และเมื่อเผชิญกับสีหน้าของเย่เว่ย เขาก็พอจะรู้ชะตากรรมของตัวเองแล้ว



<<<PREV    .    NEXT>>>