วันอาทิตย์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 288

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 288 ตำนานหอคอยผ่านเทพ

“ฮี่ ฮี่ ฮี่ ฮี่ นี่เป็นเพียงแค่คำเล่าลือ จริงหรือเท็จไม่มีใครรู้ ข่าวลือกล่าวว่า หอคอยผ่านเทพปรากฎขึ้นในทะเลสาบดาวตกตั้งแต่ยุคแรกเริ่มของมนุษยชาติ เพื่อรักษาสมดุลพลังในทวีปเทียนเฉิน เพื่อให้ยอดฝีมือแห่งทวีปเทียนเฉินผู้หวังจะได้พบคู่มือที่แข็งแกร่งขึ้นกว่าเก่า ได้มีโอกาสไปเยือนยังทวีปเทวะ ตำนานกล่าวว่าตราบใดที่สามารถปีนป่ายไปถึงสุดยอดหอคอย และเอาชนะบุคคลที่อยู่ชั้นบนสุดได้ เมื่อนั้นเจ้าจะสามารถเข้าสู่ดินแดนเทวะ” เหยียนชิงหงกล่าวตอบช้าๆ

ฉู่จิงเทียนและเล่งหยาต่างรู้สึกเหมือนได้ฟังตำนานลึกลับอันน่าเหลือเชื่อ ฉู่จิงเทียนถาม “แล้วมีใครเคยลองไหม?”

“แน่นอนว่ามี หลายยุคหลายสมัยที่ผ่านมา ไม่ทราบว่ากี่คนที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดแห่งทวีปเทียนเฉิน ที่พยายามปีนป่ายหอคอยผ่านเทพ อย่างไรก็ตาม ข้าไม่เคยได้ยินว่ามีผู้ใดทำสำเร็จ ดังนั้น เรื่องที่ว่าเมื่อไปถึงจุดสูงสุดของหอคอยแล้วจะเข้าสู่ทวีปเทวะได้นั้นล้วนไม่มีข้อยืนยัน แต่นอกจากเหล่าทวยเทพแล้ว ยังจะมีผู้ใดสามารถสร้างหอคอยเช่นนี้ขึ้นมาได้ ดังนั้น มันจึงสมควรไม่ใช่เรื่องโกหก”

“ไม่เคยมีใครทำได้เลยเหรอ?”

“ไม่เคย” เหยียนชิงหงกล่าวยืนยัน

“แม้แต่ปู่ของข้าก็ทำไม่ได้?”

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า....” เหยียนชิงหงหัวเราะและส่ายศีรษะ เขาหมุนกายและเล่าต่อ “700 ปีก่อน มีสุดยอดฝีมือที่บรรลุขอบเขตพลังเทวะขั้นสูงสุด ได้พยายามปีนป่ายหอคอยผ่านเทพถึงสามครั้ง เพื่อหวังไปยังทวีปเทวะ และตามหาวิถีทางบรรลุขอบเขตเหนือเทพในตำนาน ทว่าเขาล้มเหลวทั้งสามครั้ง และในครั้งสุดท้ายนั้น เขาอาศัยพลังแกร่งกล้าและความมุ่งมั่นอันน่าอัศจรรย์ ใช้เวลาถึงเจ็ดวันเจ็ดคืนในการปีนป่าย แต่กระนั้นเขาก็ยังไม่อาจเห็นยอดปลาย และแล้วในที่สุดเขาก็ร่วงตกลงมา แม้ว่าจะรักษาชีวิตเอาไว้ได้ แต่พลังทั้งหมดก็ได้สูญสิ้นไป กลายเป็นคนพิการ และไม่นานก็ตรอมใจจนตาย”
[โน๊ต: ทวนนิดหนึ่ง แต่ละขอบเขตพลังแบ่งเป็นชั้นต้น , ชั้นกลาง , ชั้นสูง]

“เจ็ด เจ็ด เจ็ด.....เจ็ดวัน เจ็ดวัน!?” ฉู่จิงเทียนคางแทบร่วง ดวงตาถลึงกว้างยิ่งกว่าตาวัว เขาหันหวับไปทางเล่งหยา พูดคำตะกุกตะกัก “เจ้าได้ยินรึเปล่า เจ็ดวัน เจ็ดคืน!”

สุดยอดฝีมือขอบเขตเทวะขั้นสูงสุด ใช้เวลาเจ็ดวันเจ็ดคืนปีนขึ้นไปจะสูงขนาดไหน? นั่นย่อมเป็นระยะทางที่ไม่อาจคำนวณ แต่ถึงกระนั้น ก็ยังไม่เห็นยอดปลายของหอคอย ความสูงของหอคอยผ่านเทพช่างน่าหวั่นกลัว....ทว่า สิ่งที่น่าแปลกใจกว่าก็คือ ด้วยหอคอยที่สูงและเรียวถึงเพียงนี้ กลับสามารถตั้งตระหง่านอยู่ได้โดยไม่ล้มลง

นี่ย่อมไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์จะสามารถสร้างขึ้นได้

เล่งหยาแค่นเสียงเย็นออกจมูก หอคอยผ่านเทพ...คงมีแต่เจ้าวัวโง่เง่าที่ไม่เคยออกมาดูโลกเท่านั้นถึงจะไม่รู้จัก

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ต่อให้เจ้าสามารถปีนขึ้นไปถึงยอดหอคอย จะสนุกอะไรในทวีปเทวะนั้น ด้วยการฝึกฝนอย่างหนัก เจ้าสามารถบรรลุพลังสูงสุด สามารถท่องไปทั่วหล้าได้ตามใจ ไม่มีผู้ใดกล้ารังแกเจ้า ผู้ที่คิดจะไปยังทวีปเทวะ มีแต่ยอดฝีมือที่แท้จริงและต้องบ้าด้วย”

“ใช่ ใช่ ท่านพ่อเอาแต่ห้ามอยู่ตลอด ถ้าพี่นายท่านอยากไปเดินเล่นที่ทวีปเทวะละก็ ข้าจะต้องไปกับเขาแน่”

“ฮ่าย เจ้าลูกคนนี้ ต่อหน้าคนอื่นเจ้าไว้หน้าพ่อบ้างไม่ได้หรือ”

น้ำเสียงผ่าเผยจริงใจ และน้ำเสียงเริงร่าดังขึ้นมาจากด้านหลัง ตามด้วยเสียงฝีเท้าเบาหลายคู่ เหยียนชิงหงและเหยียนชิงปิงเห็นพวกเขาแล้วและยิ้มให้ ฉู่จิงเทียนและเล่งหยาหันไปมองและพบว่าเป็นห้าบุคคล เป็นบุรุษสามและสตรีสอง บุรุษสามคนนั้นผู้หนึ่งชรา ผู้หนึ่งยังหนุ่ม ผู้หนึ่งวัยกลางคน ส่วนสตรีสองคนนั้นผู้หนึ่งยังสาว ผู้หนึ่งวัยกลางคน

ชายชราที่เดินนำอยู่ด้านหน้าแต่งกายเรียบง่าย เขาดูอายุราว 60 ปี ใบหน้ายิ้มอย่างสุภาพและอ่อนโยน คู่สามีภรรยาวัยกลางคนที่อยู่ด้านหลังสวมใส่ชุดที่หยาบกร้าน ดูแล้วคล้ายกับชาวชนบท ใบหน้ากร้านลมฝนเหมือนชาวนาที่ทำงานอยู่กลางแจ้งเสียมากกว่า ชายหนุ่มและหญิงสาวที่เดินถัดมาจากพวกเขาสวมใส่ชุดที่ดูสะดุดตา ชายหนุ่มอายุราว 20 ปีผู้นี้แต่งกายด้วยชุดดำ แววตาเย็นชาและองอาจ หญิงสาวงดงามฟันขาวกระจ่างดูราวอายุเพียง 16 ปี ทว่านางเป็นผู้ที่ตัวสูงที่สุดในคนกลุ่มนี้ แม้ว่านางจะสูงเพรียว แต่มิได้ทำให้ผู้คนรู้สึกว่านางสูงเกินไป กระโปรงห่านเหลืองยาวคลุมถึงข้อเท้า ปิดบังขาอันเรียวยาวของนางเอาไว้

“เทียนเว่ย ดูเหมือนพวกเราจะมาถึงเร็วกันเกินไปหน่อย” เหยียนชิงหงกล่าวกับชายชราผู้นั้น

“ฮี่ ฮี่ แบบนี้ก็ดีแล้ว อย่างน้อย พวกเราก็จะได้คอยสังเกตเหล่าผู้สืบทอด ไม่ให้ตกหล่นผู้ใดไป” ชายชรากล่าวด้วยยิ้มบาง

“นั่นสินะ” เหยียนชิงหงพยักหน้าเล็กน้อย

“พวกเจ้าคือสหายของพี่นายท่านที่ท่านปู่พูดถึงงั้นเหรอ? สวัสดี? เฮ้! เจ้ามองอะไรอยู่ ข้าเป็นสตรีของพี่นายท่าน ถ้าเจ้ามองอีกละก็ ต่อให้เป็นสหายของพี่นายท่านข้าก็จะควักลูกตาเจ้า!” หญิงสาวมือเท้าสะเอว จ้องถลึงไปที่ฉู่จิงเทียน ส่งเสียงไพเราะข่มขู่โดยไม่รักษามารยาท

ฉู่จิงเทียนถอนสายตากลับ กล่าวคำอย่างอับอาย “น้องหญิง เจ้าตัวสูงมาก เป็นครั้งแรกที่ข้าได้เห็นสตรีตัวสูงเท่ากับข้า....โอ้? จริงสิ หรือว่าพี่นายท่านที่เจ้าพูดถึงคือน้องเย่?”

“เฮอะ! ถูกต้อง! ข้าคือสตรีของพี่นายท่าน นอกจากพี่นายท่านแล้ว ผู้ใดก็ห้ามจ้องมองข้า” เหยียนกงรั่วบุ้ยปากกล่าว

“......” เป็นครั้งแรกที่ฉู่จิงเทียนได้พบสตรีดุร้ายปานนี้ เขาทำได้เพียงพยักหน้าหงึกๆ เพราะปู่ของเขาเคยกล่าวเอาไว้นานแล้วว่า อย่าได้ลดตัวไปอยู่ระดับเดียวกับผู้หญิง

“ฮี่ ฮี่ สองท่านนี้สมควรเป็นพี่ฉู่และพี่เล่ง ท่านคือสหายของเจ้านาย คือสหายของพวกเรา ข้าน้อยกงลั่วอายุน้อยกว่าพวกท่านอยู่บ้าง หากพวกท่านไม่รังเกียจ จะเรียกข้าว่าซานหวาก็ได้ นี่คือน้องสาวคนเล็กของข้า กงรั่ว นางยังเด็ก ห่าม และซุกซน ดังนั้นโปรดอย่าได้ถือสา” ชายหนุ่มผู้มีสีหน้าสงบผู้นี้คือเหยียนกงลั่ว เขาก้าวออกมาเบื้องหน้า

แม้ว่าฉู่จิงเทียนจะค่อนข้างเคอะเขินเวลาพูดหรือทำสิ่งใด แต่เมื่อพบกับคนที่พูดจาดีเช่นนี้ เขาก็ยิ้มกว้างทันที “ได้ ถ้าอย่างนั้นข้าจะเรียกเจ้าว่าน้องสาม”  เล่งหยาที่อยู่ถัดออกไปก็พยักหน้าทักทายด้วยเช่นกัน
[โน๊ต: ซานหวาแปลว่าเด็กสาม ฉู่จิงเทียนเลยเปลี่ยนคำเรียกเป็นน้องสาม]

“นี่คือปู่ของข้า จะเรียกเขาว่าปู่ก็ได้ ส่วนนี่คือพ่อแม่ข้า จะเรียกพวกเขาว่าลุงเกิ้นกับป้าชุนหัวก็ได้ พวกเรากับปู่ต้าสงรวมถึงย่าซ่งหัวเป็นครอบครัวเดียวกัน” เหยียนกงลั่วยิ้มกล่าว สถานะของฉู่จิงเทียนกับเล่งหยา ที่ผ่านมาเขาเคยได้ยินมาแล้ว

“สมแล้วที่เป็นสหายของเจ้านาย น้องชายน้อยทั้งสองช่างไม่ธรรมดานัก” เหยียนชิวชาหัวเราะคิกคักราวกับหญิงสาว เสียงหัวเราะเจื้อยแจ้วและสีหน้านางนำพาความรู้สึกหงุดหงิดเหลือจะกล่าว ทว่านางเป็นภรรยาที่เข้มงวด เหยียนต้วนชางต้องพยักหงึกๆอยู่ด้านข้าง มองสำรวจเล่งหยากับฉู่จิงเทียนด้วยความชื่นชม สมควรรู้ไว้อย่างหนึ่งว่า แม้ในสำนักจักรพรรดิเหนือจะมีคนหนุ่มรุ่นเดียวกันที่มีพลังระดับเดียวกัน แต่พวกเขาล้วนอาศัยสายเลือดจักรพรรดิเหนือ ที่สามารถสั่งสมพลังเริ่มต้นสูงส่งเกินคนธรรมดาด้วยวิชาเพลิงวิญญาณ แต่ทั้งสองบุคคลสามารถบรรลุถึงขั้นนี้ได้ ต้องอาศัยความเข้าใจ ความทุ่มเทฝึกฝน และพรสวรรค์อันน่าหวาดหวั่น ไม่อาจมีสิ่งใดขาดตกได้ แม้เวลานี้พวกเขาจะเผยออกมาเพียงแค่ขอบคม แต่ความสำเร็จในวันหน้าย่อมเป็นที่ตะลึงโลก

ฉู่จิงเทียนกล่าวทักทายทีละคน ใบหน้าอ่อนโยนเหล่านี้ทำให้เขารู้สึกสบายใจและเข้ากันได้ ด้วยอารมณ์ที่ยอดเยี่ยม พวกเขาไม่มีความกังวลถึงเจ้านายตนเองเย่หวูเฉินแม้แต่น้อย

“ท่านปู่ต้าสง พี่นายท่านยังไม่มาอีกหรือ?” เมื่อเหยียนกงรั่วมาถึงที่นี่ นางก็มองไปรอบๆอย่างตื่นเต้น ขณะที่กล่าวคำ สายตาก็ยังคงมองไปรอบๆ

“เจ้านายไม่ได้กล่าวว่าจะมา แต่ก็ไม่ได้พูดว่าจะไม่มาเช่นกัน” เหยียนชิงหงยิ้มลึกลับ และพูดเพียงเท่านั้น

“เอ๋? เขาจะไม่มาได้ยังไง! ก็ข้าถามท่านปู่ก่อนที่จะมาที่นี่แล้ว ข้าอยากมาพบพี่นายท่าน....ข้าไม่ได้เห็นเขามานานมากแล้ว” เหยียนกงรั่วดูกระวนกระวาย กล่าวคำอย่างน่าสงสาร

“น้องเล็ก เจ้าเพิ่งเจอเจ้านายเมื่อไม่กี่วันมานี้ไม่ใช่เหรอ?” เหยียนกงลั่วทำหน้ากล่าวยิ้มๆ

“เฮอะ! ท่านยังจะพูดอีก! เขาไม่ได้มาหาข้าตั้งสามวัน แถมตอนที่มาพบข้าเมื่อสามวันก่อน เขายังนำสตรีกลับมาด้วย.... เฮ้อ เป็นหญิงงามคนหนึ่ง แล้วยังให้ข้ากับพี่หญิงช่วยกันดูแลนาง.... เขาแกล้งข้าชัดๆ” เหยียนกงรั่วรู้สึกช้ำใจไม่ยุติธรรม หากยังกล่าววาจาอย่างออกรส

เหยียนชิงหง (ต้าสง) และ เหยียนชิงปิง (ซ่งหัว) ยิ้มและกล่าวออกจากใจ “เด็กหนอเด็ก ความเป็นเด็กช่างสดใสนัก”

เหยียนเทียนเว่ยหัวเราะร่าและยิ้มกล่าว “นังหนู อย่าสร้างปัญหานักสิ เจ้านายย่อมมีวิธีจัดการของตัวเองอยู่ หากถึงเวลาปรากฎตัว เขาย่อมปรากฎตัว เจ้าก็กลัวเหลือเกินว่าเขาจะไม่อยู่ข้างๆ”

“เอ่อ.... ท่านปู่ ครั้งนี้ข้าขอสู้ด้วยได้รึเปล่า?” เหยียนกงรั่วเปลี่ยนเรื่องทันที เอ่ยถามอย่างสนใจ

เหยียนเทียนเว่ยเหลือบแลไปรอบๆ เมื่อพบว่าไม่มีคนนอกอยู่ใกล้ เขาก็ลดเสียงลงและกล่าว “ตามที่เจ้านายวางแผนไว้ งานชุมนุมยุทธเวทย์ครั้งนี้ คือเวทีให้พวกเราได้เขย่าโลก ย่นเรื่องที่ยาวให้สั้นลง ประกาศศักดาของพวกเราและตบหน้าพวกมัน ให้ผู้คนเมื่อได้ยินชื่อของพวกเราเหมือนได้ยินชื่อของเทพสูงสุด....” น้ำเสียงดูคล้ายจะดังขึ้นเล็กน้อย เขามองฉู่จิงเทียนกับเล่งหยา และพบว่าทั้งสองคนกำลังมีสีหน้าครุ่นคิด “ดังนั้น แม้ว่าพวกเราจะอยู่ที่นี่กันเพียงเจ็ดคน แต่สี่คนคือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่พวกเรา การพาซานหวามาด้วยก็เพื่อให้เขาได้รับประสบการณ์ ส่วนสำหรับเจ้า.... อยากเล่นอะไรก็ตามใจ จะสู้ก็ได้หากเจ้าต้องการ”

คำพูดนี้บอกอย่างชัดเจนว่า เจ้าเหมือนขวดน้ำที่หิ้วติดมาด้วย แค่นั่งดูเฉยๆก็ดีพอแล้ว

และแน่นอนว่า มุมปากของซื่อหยายกขึ้นสูง ต้องเป็นขวดน้ำมันสิถึงจะดีพอ นางยังไม่ยอมแพ้ “ท่านปู่ ท่านดูถูกผู้อื่นเกินไปแล้ว น่าชังจริงๆ! ถึงแม้ข้าไม่อาจเทียบกับพี่ชายและพี่หญิง แต่ข้าก็ฝึกหนักกับท่านย่าไม่เคยเกียจคร้าน ท่านย่ายังบอกอีกว่า ตอนนี้ข้าสามารถเอาชนะเสี่ยวหัวกับน้องเสี่ยวเอ๋อได้แล้ว!”

“เสี่ยวหัวอ่อนแอจะตาย แถมเสี่ยวเอ๋อยังอายุแค่ 11 ขวบ” เหยียนกงลั่วกระซิบกล่าวพึมพำ



<<<PREV    .    NEXT>>>