วันศุกร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 286

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 286 ซือฉี

.....

“ข้ารู้มานานมากแล้ว ว่าแม้สำนักมารจะปรากฎตัวขึ้นเพียงไม่ถึงหนึ่งปี แต่พลังของพวกมันไม่ใช่สิ่งใดที่พวกเราจะเทียบได้ มีเพียงสำนักจักรพรรดิใต้และสำนักจักรพรรดิเหนือที่สั่งสมอำนาจมานับหมื่นปีถึงสามารถต่อกร ต่อหน้าสำนักมารพวกเราเป็นได้เพียงตัวตนที่ต่ำต้อย ด้อยค่าราวกับมดที่หลบล้อ การขัดขืนล้วนเป็นความพยายามที่สูญเปล่า จะดีกว่าหากยอมจำนนเสียตั้งแต่ต้น”

เยว่หานตงมองฟงเลี่ยด้วยใบหน้าทะมึน ราวกับว่าเขาพึ่งได้รู้จักฟงเลี่ยในวันนี้ เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดจักรพรรดิผู้หาญกล้าและทะเยอทะยาน ถึงได้เอ่ยวาจาท้อแท้เช่นวันนี้ กระทั่งน้ำเสียงที่กล่าวออกมา....เขายังกลัวว่าตนเองจะเกิดความคิดทรยศ

เขาไม่อาจรู้เลยว่า จักรพรรดิมารใช้วิธีใดจึงทำให้จักรพรรดิผู้เข้มแข็งกลายเป็นคนขวัญฝ่อได้!

เยว่หานตงไม่ได้ปฏิเสธ เขากล่าวเสียงสั่น “ฝ่าบาท ถึงแม้อาจพอทนกับการหมิ่นหยาม แต่ลูกสาวของบ่าวอยู่ในมือจักรพรรดิมาร ลูกสาวของบ่าวทั้งคน ไหนเลยจะไม่อดห่วงได้....”

“วางใจเถอะ จักรพรรดิมารเพียงสังหารคนชั่วช้าและศัตรูเท่านั้น มันย่อมไม่ทำร้ายลูกสาวเจ้า” เหน็ดเหนื่อยทั้งร่างกายและจิตใจ พอกล่าวจบฟงเลี่ยก็เดินโซเซออกไป

เยว่หานตงกำสองหมัดไว้แน่น ต่อให้จักรพรรดิมารไม่ทำร้ายนาง....แต่สำหรับสตรีที่ยังไม่ทันแต่งงาน ศักดิ์ศรีของหญิงสาวนั้นสำคัญยิ่งกว่าชีวิต ยิ่งกว่านั้น ด้วยอุปนิสัยของเยว่ซือฉี หากนางถูกรังแกจะต้องฆ่าตัวตายเป็นแน่.... ไหนเลยเขาจะวางใจได้!!

เมืองเทียนฟงบรรยากาศครุกรุ่นอย่างเห็นได้ชัด ทหารประจำเมืองและองครักษ์เดินเข้าออกตรวจตราไปทั่วเมือง ผู้คนทราบว่าต้องเกิดเรื่องสำคัญ อย่างไรก็ตามหากมองดูให้ดีแล้ว จะพบว่าพวกคนที่เดินตรวจตราดูคล้ายจิตใจเลื่อนลอย.... เพราะไม่ว่าจะเป็นการปิดกั้นเส้นทาง หรือการสำรวจตรวจทั่ว พวกเขาดูราวกับว่าเพียงทำให้ผ่านไป เพราะเป้าหมายของพวกเขา คือให้จับกุมจักรพรรดิมาร? นี่มันเรื่องตลกชัดๆ

ทว่าเยว่หานตงต้องการช่วยเหลือลูกสาว แม้รู้ว่าความหวังนั้นมีเพียงริบหรี่ แต่ไหนเลยเขาจะยอมอยู่เฉยๆได้

ในขณะเดียวกัน ข่าวการแต่งงานของรัชทายาท และเจ้าสาวที่ถูกจักรพรรดิมารชิงตัวไป ได้ถูกแรงกระตุ้นแปลกประหลาด ทำให้ข่าวกระจายไปทั่วอาณาจักรต้าฟงด้วยความเร็วน่าตระหนก จากนั้นแพร่ลามไปทั่วทวีปเทียนเฉิน ไม่ว่าจะเป็นฟงหลิง ฟงเลี่ย หรือทั้งราชตระกูลต้าฟง ต่างล้วนถูกเหยียบย่ำเกียรติยศไว้ใต้ฝ่าเท้าของจักรพรรดิมาร

ฟงเลี่ยยืนนิ่งในห้องหนังสือด้วยหัวใจหนักอึ้ง เขาตระหนักแล้วว่าจักรพรรดิมารไม่ได้ฝังคมเขี้ยวไว้ที่เขาเพียงคนเดียว แต่ยังเริ่มลงมือไปที่บุตรชายของเขาด้วย เขาเค้นสมองคิดว่าในหลายปีที่ผ่านมา ตนได้ไปกระตุ้นโทสะของปีศาจตนใดเข้า เขาไม่เคยหวั่นกลัวกองทัพเกรียงไกร ไม่เคยหวั่นไหวอาณาจักรเทียนหลง , คุยชุย และชางหลานที่ร่วมมือกัน แต่เขาไม่อาจห้ามความกลัวต่อจักรพรรดิมารได้ มันแทบเป็นฝันร้ายที่สุดในโลกนี้ พัวพันเขาไว้จนยากจะไถ่ถอนออกจากใจ

เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าอ่อนแอดังขึ้น ฟงเลี่ยมิได้หันไปมอง เขากล่าว “ตื่นแล้วรึ”

“เสด็จพ่อ ข้าไม่เป็นไรแล้ว” ใบหน้าของฟงหลิงยังดูซีดเซียวอยู่ ก่อนหน้าเขาโกรธจัดจนกระทบจิตใจ ตอนนี้เขาคืนสู่ความสงบแล้ว “เสด็จพ่อ ท่านทราบอะไรบ้าง?” ฟงหลิงเอ่ยถามเมื่อนึกถึงภาพ ตอนที่ฟงเลี่ยมีสีหน้าซีดขาวชนิดที่เขาไม่เคยเห็น เป็นสีหน้าของคนที่หวาดกลัวถึงขีดสุด ยิ่งกว่านั้น ฟงเลี่ยยังไม่กล่าวคำใดๆตั้งแต่เริ่มจนจบ

“จักรพรรดิมารผู้นั้น มิใช่คนที่พวกเราจะยุแหย่ได้.... เจ้าเข้าใจความหมายของข้าหรือไม่?” ฟงเลี่ยกล่าว

ฟงหลิงเงยศีรษะขึ้น กล่าวด้วยความสับสน “เสด็จพ่อ ตั้งแต่เด็กจนโต บุตรไม่เคยเห็นท่านหวั่นเกรงผู้ใด แม้ว่าจักรพรรดิมารจะมีฝีมือไม่ธรรมดา แต่พวกเราเป็นถึงราชตระกูลแห่งต้าฟง พวกเราจะต้องกลัวคนผู้นั้นจริงๆหรือ?”

“....เรื่องบางอย่าง เพียงแค่พูดเจ้าย่อมไม่อาจเข้าใจ แต่เจ้าพูดได้ถูกต้องแล้ว ก่อนหน้านี้ข้าไม่เคยกลัวผู้ใด แต่จักรพรรดิมารผู้นี้ทำให้ข้าสั่นกลัวอย่างไม่อาจต่อต้าน เจ้าเข้าใจหรือไม่?” ฟงเลี่ยกล่าวอย่างเศร้าใจ

ฟงหลิง “!!”

“เจ้ากับธิดาตระกูลเยว่คงจะไร้วาสนาต่อกัน เจ้าออกไปเถอะ แต่อย่าได้ตามหาจักรพรรดิมารหรือคิดกำจัดสำนักมาร ไม่อย่างนั้น ข้าจะคนหยุดเจ้าด้วยตัวเอง” ฟงเลี่ยหันหลังให้เขา กล่าวด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์

ฟงหลิงกัดฟันแน่น กล่าวอย่างคับข้องใจ “เสด็จพ่อ นี่ไม่ใช่ตัวท่านเลย.... ท่านทนอดกลั้นอยู่ได้อย่างไร?”

ฟงเลี่ยเงียบงัน ไม่กล่าวตอบไม่สนใจ

“เช่นนั้นบุตรขอตัว” ฟงหลิงกล่าวคำลา ถอยออกไปด้วยสีหน้าคับข้อง

ฟงเลี่ยหันกายกลับ ดวงตาสองข้างฉายแววเกลียดชัง เขาพึมพำบางเบาจนแทบไม่ได้ยินเสียง “ข้า....ทนอดกลั้นอยู่ได้อย่างไรงั้นรึ เจอกับศัตรูที่ไม่อาจต้านทานได้เช่นนี้ เพื่อตระกูลฟง ข้าก็ทำได้เพียงอดทนเท่านั้น....หากที่ข้าต้องการคือโอกาส ขอเพียงโอกาสเท่านั้น....”

..............

..............

ได้บินอยู่สูงเสียดฟ้า นับเป็นประสบการณ์ที่ยากจะสัมผัสทั้งชีวิต กระทั่งเยว่ซือฉีที่ตระหนกอยู่ยังชื่นชม หัวใจอัศจรรย์กับร่างที่บินอยู่ ใบหน้าหิมะซีดขาวเล็กน้อยด้วยความกลัว

แม้ว่านางถูกเลี้ยงดูทะนุถนอม แต่ชื่ออันน่ากลัวของจักรพรรดิมารนางก็ได้ยินมาหลายครั้ง นางจึงไม่กล้าดิ้นรน ถึงตอนนี้ พวกเขาบินออกจากเขตเมืองเทียนฟงแล้ว สายลมยังพัดผ่านข้างหู หากนางยังไม่ได้ยินเขากล่าวสิ่งใด

“ท่านจะพาข้าไปไหน?” นางถามอย่างกังวล

“ยังไม่รู้....”

ที่ข้างหูมีเสียงแหบพร่าของจักรพรรดิมาร น้ำเสียงที่ผสานกับสายลมทำให้นางแทบอยากเอามือปิดหู

“ท่าน...ปล่อยข้าไปเถอะ ได้ไหม? ข้าไม่เคยทำร้ายใครเลย”  เยว่ซือฉีกระซิบกล่าวอย่างงุ่มง่าม

“แน่ใจนะว่าอยากให้ข้าปล่อยเจ้าจริงๆ?”

คำตอบของจักรพรรดิมารทำให้นางประหลาดใจ นางเอื้อนเอ่ยอย่างระวัง “ปล่อยข้าไปเถอะ ข้าจะขอบคุณท่านอย่างมาก”

เยว่ซือฉี ยังไม่ทันมีเวลาได้ตกใจ แขนที่คล้องรอบเอวนางก็ปล่อยออก ร่างของนางร่วงตกตรงลงไปเบื้องล่าง

กรี๊ดดด......

เยว่ซือฉี กรีดร้องสุดเสียง กลัวจนแทบใจเต้นออกจากอก สองมือตะกายกลางอากาศ หวังว่าจะคว้าจับได้บางสิ่ง ดวงตาคู่งามปิดแน่นขณะกรีดร้อง

เสียงลมข้างใบหูเปลี่ยนไป มีร่างหนึ่งเข้ามาใกล้ พร้อมกับหนึ่งแขนที่โอบนางไว้อีกครั้ง ทำให้ร่างที่ตกอยู่ลดความเร็วช้าๆ เยว่ซือฉีราวกับคนตกน้ำที่คว้าแพได้ สองมือรัดเขาไว้แน่น แทบจะใช้เรี่ยวแรงทั้งหมด

“ตอนนี้ยังอยากให้ข้าปล่อยเจ้าอยู่หรือไม่?” จักรพรรดิมารยิ้มมุมปาก และกล่าวหยอกนาง

ไร้คำตอบกลับ แขนที่กอดร่างเขาไว้คลายออก จักรพรรดิมารเหลือบมองเล็กน้อย พบว่าเยว่ซือฉีดวงตาปิดสนิทอยู่ ใบหน้าซีดขาว มีเพียงขนตาและเส้นผมที่ปลิวพริ้วตามสายลม นางตกใจจนสลบไปแล้ว

“สุดท้ายแล้ว ก็ยังเป็นเพียงสาวน้อยคนหนึ่ง ที่ไม่เคยผ่านความกลัว” หลังหน้ากากเงิน ใบหน้าของจักรพรรดิมารปรากฎรอยยิ้ม

................

................

ซือฉีกำลังฝันร้าย ในความฝันของนาง นางถูกจักรพรรดิมารผู้น่ากลัวชิงตัวไปจากงานแต่ง จักรพรรดิมารพานางบินสูงขึ้นไปบนฟ้า จากนั้นปล่อยนางร่วงตกลงมา แล้วจากนั้น....

บนใบหน้า อยู่ๆก็รู้สึกจั๊กจี้ เหมือนมีขนบางอย่างสัมผัส นางค่อยๆลืมตา และพบว่ามีขนอะไรสักอย่างแตะจมูกอยู่

“เจ้าตื่นแล้ว”

น้ำเสียงประหลาดของบุรุษดังผ่านโสต เป็นน้ำเสียงที่อ่อนโยนยิ่ง ทำให้นางรู้สึกดีแปลกๆ เมื่อลืมตาดูก็พบว่าเป็นหน้ากากเงิน นางกำลังนอนอยู่บนหญ้าแห้งนุ่มๆ และบุรุษในชุดสีเงินกำลังนั่งยองๆอยู่ข้างนาง มือขวาที่สวมถุงมือเงินถือหญ้าหางจิ้งจอกปัดจมูกงามของนางอยู่

เยว่ซือฉีนิ่งงันไปขณะหนึ่ง สงสัยว่าตนคงยังไม่ตื่นขึ้นจากความฝัน ทว่าทันใดก็พรวดลุกขึ้นนั่ง วางมือทาบบนอกตน เมื่อพบว่าเสื้อผ้ายังอยู่ครบก็โล่งใจ ถูกชายประหลาดหิ้วตัวมา จากนั้นตื่นขึ้นหลังจากหมดสติ การตรวจสอบสภาพเครื่องนุ่งห่มของตนเองนับเป็นสัญชาตญาณของสตรี

“วางใจเถอะ จักรพรรดิผู้นี้ไม่สนใจร่างกายเจ้าเลยสักนิด แม้ว่าเจ้าจะพอนับเป็นหญิงงามได้อย่างฉิวเฉียด  แต่เจ้าไม่อยู่ในสายตาของจักรพรรดิผู้นี้แม้แต่น้อย” จักรพรรดิมารแกว่งหญ้าหางจิ้งจอกในมืออย่างสบายอารมณ์

ถ้อยคำของจักรพรรดิมารทำให้ความกลัวในจิตใจของเยว่ซือฉีหายไปสิ้น แทนที่ด้วยความขัดใจ จิตใต้สำนึกของสตรีย่อมอยากเป็นผู้งดงาม ไม่ว่าหญิงสาวคนใดหากได้ยินคำวิจารณ์ตรงๆเช่นนี้ย่อมไม่อาจยอมรับได้ ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงนางที่ถูกยกย่องว่าเลอโฉมมาตั้งแต่เด็ก

“เสียงของท่าน....” นางโพล่งออกมา ต่างจากเสียงแหบพร่าทุ้มต่ำก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง ตอนนี้น้ำเสียงของจักรพรรดิมารไม่ทราบว่านุ่มนวลขึ้นกว่าเดิมกี่เท่า ฟังจากน้ำเสียงแล้ว จักรพรรดิมารผู้นี้สมควรมีอายุไม่ห่างจากนางมากนัก นางแทบไม่อยากเชื่อเลยว่า จักรพรรดิมารผู้แกร่งกล้ากลับเป็นบุรุษหนุ่มเช่นนี้

ยิ่งกว่านั้น ภาพที่เขานั่งยองๆ ในมือเล่นหญ้าหางจิ้งจอก ยังนำพาความรู้สึกอ่อนโยนได้เล็กน้อย หากยังคงดูน่ากลัวอยู่

“โอ้? ทำไมรึ เสียงของจักรพรรดิมารผู้นี้ฟังระคายหูหรืออย่างไร?” จักรพรรดิมารเงยหน้า ม่านตาคู่นั้นปกปิดความสนุกขณะมองนาง

ทั้งวัยที่ใกล้เคียงกัน ทั้งน้ำเสียงที่อ่อนโยนและท่าทาง รวมถึงแววตาที่ดึงดูดผู้คนอย่างแปลกประหลาด.... ความเครียดในใจบรรเทาลง ความหวาดกลัวสลายไปสิ้น นางฝืนยิ้ม ส่ายศีรษะและกระซิบ “น้ำเสียงของท่านไม่ได้ระคายหู อีกทั้งยัง....น่าฟัง ท่านยังดูเหมือนชายหนุ่ม ไม่ได้น่ากลัวเหมือนที่คนอื่นเขาพูดกัน”

จักรพรรดิมารอดหัวเราะไม่ได้ เขากล่าวเสียงเบา “หากเจ้าคิดเช่นนั้น จักรพรรดิผู้นี้คงกล่าวได้เพียงว่าเจ้ายังอ่อนหัดเกินไป เจ้าควรดีใจไว้เถิดว่ามิได้เป็นศัตรูของจักรพรรดิผู้นี้ มิเช่นนั้น จักรพรรดิผู้นี้จะทำให้เจ้าได้รู้จักว่าอะไรคือความกลัว ส่วนเรื่องอายุ มีใครบอกหรือไงว่าจักรพรรดิผู้นี้ชรามาก?”

น้ำเสียงเย็นชาฉับพลันทำให้หัวใจนางเต้นรัวอีกครั้ง จักรพรรดิมารเห็นอาการของนางก็ลอบยิ้มและส่ายศีรษะ เขากล่าว “ในเมื่อมิใช่ศัตรูของจักรพรรดิผู้นี้ เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องกลัวสิ่งใด จักรพรรดิผู้นี้จะไม่แตะต้องกายเจ้า ทำร้ายเจ้า หรือปล่อยให้เจ้าหิวโซ ทั้งยังจะทำให้เจ้ารู้สึกสุขสบาย จนบางที....” ปากเขาบิดยิ้มเล็กน้อย “เมื่อถึงเวลานั้น เจ้าอาจไม่อยากกลับก็เป็นได้”



<<<PREV    .    NEXT>>>