วันอังคารที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 281

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 281 หัวใจราวกับถ่านไฟมอด

หลินขวงกล่าววาจาก้าวร้าว เริ่มเชื่อเจ็ดส่วนกับความคิดน่าหวาดหวั่น หัวใจหดหู่เกินบรรยาย เขาสูดลมหายใจลึก ทันใดนั้นใบหน้ากลับสงบอย่างยิ่ง “พูด ข้าอยากรู้ว่าลูกชายข้าตายยังไง.... คนตระกูลหลินสามารถตายได้ แต่ไม่อาจตายโดยไร้คำอธิบาย สามารถทำให้เจ้าเชื่อฟังเช่นนี้ จักรพรรดิสมควรใช้ครอบครัวของเจ้าเป็นตัวประกัน และสัญญาว่าหลังจากที่เจ้าตายไป จะตอบแทนครอบครัวของเจ้าอย่างใหญ่หลวง?..... จงบอกความจริงออกมา ข้าจะรับรองด้วยชีวิต รับประกันความปลอดภัยของครอบครัวเจ้า แต่หากว่าเจ้าไม่พูด พรุ่งนี้....ศพของครอบครัวเจ้าจะนอนเกลื่อนอยู่กลางถนน!!”

ยามเฝ้าคุกหน้าซีดเผือด ดวงตาฉายแววสิ้นหวัง เขารู้ว่าวันนี้ไม่ว่าจะพูดหรือไม่พูดออกไป ตนเองย่อมไม่อาจรักษาชีวิตรอดกลับไปได้ ทว่าคำพูดสุดท้ายของหลินขวง ทำให้เขาไม่มีทางเลือกอื่น

“....ข้าพูด ข้าพูดแล้ว....” เมื่อยามเฝ้าคุกกล่าวคำนี้ออกมา หัวใจกลับรู้สึกผ่อนคลายยิ่ง กระทั่งความกลัวยังลดลง คล้ายรู้สึกว่าได้ปลดปล่อย

แต่เมื่อหลินขวงได้ยิน ร่างก็โอนเอนอย่างหนัก เขากลับอยากให้ยามเฝ้าปฏิเสธต่อไป หากหลินซานฆ่าตัวตายเอง ไม่ใช่ถูกตระกูลหลงที่เขาภักดีทั้งชีวิตบังคับให้กระทำ เขาคงรู้สึกดีกว่า ทว่าเวลานี้ เหมือนมีเหล็กฟาดใส่กลางดวงใจ ความหวังงมงายถูกปัดเป่าสิ้น เพราะสองคำที่ยามเฝ้ากล่าวนั้น หมายถึงข้อสันนิษฐานน่าหวาดหวั่นเป็นความจริง....

“พูด....พูดออกมา....” หลินขวงใบหน้าซีดขาว ร่างกายหมดไร้เรี่ยวแรง หากมิใช่มีหลินเหยียนคอยประคอง เขาคงล้มลงไปแล้ว

ถึงตอนนี้ ยามเฝ้าคุกเล่าถึงสิ่งที่ตนเห็นในคืนที่ผ่านมา อธิบายทุกสิ่งที่ได้ฟัง ตลอดคืนหวาดกลัวเรื่องนี้ขึ้นสมอง ดังนั้นพอถึงคราวเล่าจึงมีรายละเอียดชัดเจนและเกือบครบถ้วน

เมื่อสาธยายจบร่างกายก็ผ่อนคลายลง หัวใจราวกับได้ปลดเปลื้องหินหนักออก เขาหลับตาลงรอคอยความตายอย่างสงบ ทว่าหลินขวงกลับมีสายตาเลื่อนลอย ภายนอกดูประดุจถ่านไฟที่มอดดับ แทบไม่ต่างจากร่างกายขาดสิ้นวิญญาณ หลินเหยียนตาแดงแทบปริ เส้นผมชี้จรดชูชัน เกิดเสียง ‘เปรี๊ยะ’ ของประกายไฟ

ห้องเก็บฟืนที่ไม่เล็กหรือใหญ่ราวกับถูกไหยักษ์หล่นจากฟ้าครอบเอาไว้ บรรยากาศกดดันทำผู้คนแทบไม่อาจหายใจออก หลินเหยียนพ่นลมหายใจสีแดงออกมา เดินตรงไปที่ยามเฝ้าคุกคนนั้น ทว่าทันใดหลินขวงก็ส่งเสียงกล่าวขึ้น “ปล่อยเขาไปเถอะ”

ยามเฝ้าคนนั้นลืมตาขึ้นมองด้วยความไม่อยากเชื่อ หลินเหยียนขมวดคิ้วถาม “ทำไม? หากจักรพรรดิรู้ว่าพวกเรารู้เรื่องแล้ว จะต้อง....”

“จักรพรรดิสมควรมั่นใจว่าเขาจะตายทันทีที่มาถึงตระกูลหลิน ดังนั้นจึงวางใจปล่อยเขาให้ตกอยู่ในมือเรา เขาไม่สนใจยามเฝ้าผู้นี้อย่างสิ้นเชิง ข้ารู้เต็มอกว่าสูญเสียบุตรชายนั้นเจ็บปวดเพียงใด ทั้งเขาเป็นเพียงคนโชคร้ายที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือเท่านั้น เหตุใดข้าต้องพรากชีวิตเขา.... เจ้าไปซะ ใส่ชุดของคนใช้แล้วออกไปจากที่นี่ จากนั้นพาครอบครัวหลบหนีไปจากเมืองเทียนหลง หนีไปให้ไกล จงวางใจจักรพรรดิย่อมไม่สนใจบ่าวไพร่ตัวเล็กๆอย่างเจ้า”

หลินเหยียนไม่พูดมากความอีก เขายื่นมือซ้ายจุดไฟเผาเชือกออก จากนั้นกล่าวอย่างจริงจัง “ในเมื่อพี่ใหญ่ข้าให้เจ้าไป เช่นนั้นเจ้าก็ไปซะ แล้วอย่าได้กลับมาอีก”

ยามเฝ้าคุกลุกขึ้นยืนตัวสั่น ยังคงไม่เชื่อหูของตน เขากระแทกเข่าลงกับพื้น โขกศีรษะรุนแรงหลายครั้งและตะโกน “ขอบคุณใต้เท้าทั้งสองที่ไว้ชีวิต....” จากนั้นเขารีบลุกขึ้นและวิ่งออกไป

หลินขวงพิงผนังอย่างอ่อนแรง ในใจเย็นเยียบถึงขีดสุด เมื่อวานจักรพรรดิยังสาบานต่อหน้าว่าจะขังหลินซานไว้ชั่วคราว ไม่ได้ต้องการประหารชีวิต พอตกกลางคืนเขากลับลอบกำจัดหลินซานทิ้ง ทั้งยังให้ยามเฝ้าแสร้งแสดงตบตา หากหลงหยินโกรธเคืองและประหารหลินซานต่อหน้า เขาจะไม่รู้สึกเย็นเยียบหัวใจ แต่สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกเช่นนี้ คือการที่หลงหยินเล่นละครหลอกลวง

“ในสายตาของเขา พวกเราเป็นแค่เพียงฝูงหมารับใช้.... ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า” หลินเหยียนกำหมัดแน่น เล็บจิกเข้าไปในมือ เส้นเลือดบนหน้าผากปูดโปนจนดูคล้ายพร้อมระเบิดออก

ขณะที่หลินขวงยามนี้ไม่ได้ยินสิ่งใด

“พี่ใหญ่ พวกเราควรทำอย่างไรต่อ มาถึงขั้นนี้แล้ว ท่านยังจะอดทนอยู่อีกหรือ? แล้วลูกชายแท้ๆของท่านที่ตายไปเล่า!” หลินเหยียนกล่าวด้วยน้ำเสียงชิงชัง

หลินขวงกล่าวอย่างเจ็บปวด “เขาคือจักรพรรดิ หากต้องการให้บ่าวไพร่ขุนนางคนใดตาย คนผู้นั้นก็ต้องตาย พวกเราคือขุนนาง เขาจะเอาชีวิตของพวกเราไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลใดๆ ซานเอ๋อร์ถูกเขาบังคับฆ่าตัวตาย ไหนเลย....”

“บางทีอาจไม่ใช่เพียงซานเอ๋อร์ เป็นไปได้ว่าเสี่ยวเอ๋อร์ก็ด้วยอีกคน”

“เจ้าว่าอะไรนะ?” หลินขวงม่านตาหดลีบรุนแรง

“เมื่อวานนี้ท่านบอกกับข้าว่าเสี่ยวเอ๋อร์ถูกองครักษ์ยิงธนูใส่ หากเขากลับไม่สืบสวนว่าผู้ใดเป็นคนลงมือ.... นี่นับว่าน่าหัวร่อยิ่ง! สถานะของเสี่ยวเอ๋อร์ในราชวังมีใครบ้างไม่รู้จัก หากไม่ใช่องครักษ์หนุ่มที่น้าวธนู เช่นนั้นคนที่กล้ายิงเสี่ยวเอ๋อร์คงกลืนไข่เสือมา ยิ่งกว่านั้น มีคนอยู่มากมายกระทั่งหัวหน้าองครักษ์หวู่ชาง แต่กลับไม่มีใครรู้เลยว่าลูกธนูถูกยิงมาจากไหน.... นี่มันคำลวงโลกชัดๆ”

สีหน้าหลินขวงยิ่งทะมึนลง เมื่อวานนี้เขาโศกเศร้าอย่างหนักอยู่ ไม่ทันคิดจนกระทั่งได้ยินคำพูดของหลินเหยียน หัวใจสั่นไหวอย่างบ้าคลั่ง หากเรื่องนี้....เป็นหลงหยินที่คอยกำกับอยู่เบื้องหลัง แสดงต่อหน้าว่าหลินเสี่ยวตกตายไม่เกี่ยวข้องกับเขาใดๆ ตระกูลหลินย่อมไม่มีเหตุผลที่จะเกลียดชังเขา....นับเป็นแผนการที่ยอดเยี่ยมโดยแท้

“แผนการดุจสวรรค์ของฝ่าบาท ข้าได้ประจักษ์มาตลอดหลายปี หากมิช่ำชองในแผนการ เขาคงไม่อาจเป็นจักรพรรดิที่ดีได้ อยู่ข้างกษัตริย์อันตรายไม่ต่างร่วมเคียงกับเสือ ในเมื่ออยู่ร่วมกับเสือแล้ว ไหนเลยจะไม่ทำใจว่าวันหนึ่งอาจถูกเสือขย้ำ” หลินขวงสายตาเลื่อนลอย น้ำเสียงแผ่วเบาดั่งคนไร้กำลัง

“พี่ใหญ่ ท่าน....ท่านยังจะอดทนอยู่อีก ทำเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นเสียอย่างนั้น? นั่นหลานชายแท้ๆของท่านนะ กับลูกชายแท้ๆของท่าน!!” หลินเหยียนจับไหล่เขาเขย่าด้วยความโกรธ

“นอกเสียจากอดทนยังจะทำอะไรได้อีก? หรือพวกเราจะทรยศ?”

หลินเหยียนสีหน้าสงบลงฉับพลัน มองจ้องอีกฝ่ายหนึ่งและกล่าวแผ่วเบา “ทรยศ? เหตุใดจะไม่ได้?”

หลินขวงตระหนกทันที ตะโกนกล่าวอย่างไม่รู้ตัว “น้องสอง เจ้า....”

“ไม่ใช่พวกเราอยากทำ แต่เป็นจักรพรรดิชาติสุนัขนั่นที่บีบคั้นพวกเรา!” หลินเหยียนถอนหายใจยาว

“ไม่ได้ ไม่ได้เด็ดขาด!” หลินขวงกลับส่ายศีรษะหนัก กล่าวอย่างระวัง “จักรพรรดิไม่ได้สงสัยหรือทำลายตระกูลหลินของพวกเรา ไม่ว่าจะเป็นเสี่ยวเอ๋อร์หรือซานเอ๋อร์ที่ตายไป ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะถูกผู้อื่นใส่ความ.... เรื่องนี้ไม่อาจโทษจักรพรรดิได้ น้องสอง เรื่องนี้เจ้าไม่อาจด่วนวู่วามได้”

หลินเหยียนปล่อยมือออกจากหลินขวงและกล่าวอย่างผิดหวัง “พี่ใหญ่ ข้าเคยไม่เชื่อฟังท่านพ่อกับท่านแม่อยู่บ่อยครั้ง แต่ว่านับตั้งแต่เด็ก ข้าไม่เคยไม่เชื่อฟังท่านแม้แต่น้อย ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ข้านับถือในความภักดีของพี่ใหญ่ที่ไม่เป็นสองรองใคร แต่ตอนนี้ข้ารู้แล้ว....พี่ใหญ่ ท่านไม่ได้ภักดีแต่กำลังงมงาย.... พี่ใหญ่ ก่อนหน้านี้ข้าไม่เคยถาม แต่วันนี้ข้าขอถามเพียงหนึ่งคำถามเดียว ท่านภักดีมาตลอดหลายปี ท่านได้รับสิ่งใดตอบแทนบ้าง?”

ได้รับสิ่งใดตอบแทนบ้าง?

หลินขวงแข็งค้างไปทั่วร่าง หัวใจเจ็บปวดชำแรกเสียดแทง รวดร้าวจนแทบบ้า เขาแทบอยากร้องไห้ออกมาดังๆ

เวลานี้เอง ประตูไม้ที่ปิดไว้แน่นถูกผลักเปิดอย่างรุนแรง ยามเฝ้าคุกที่พึ่งปล่อยไปกลับมาหาอีกครั้ง ภายนอกเขาเปลี่ยนไป ตอนนี้เขาอยู่ในชุดคนรับใช้ เมื่อเข้ามาถึง เขาก็กล่าวด้วยความนอบน้อม “ใต้เท้าทั้งสอง....บ่าวลืมบอกเรื่องหนึ่ง ก่อนที่ใต้เท้าหลินจะตาย เขาได้เขียนข้อความด้วยเลือดไว้ตรงอก....”

ร่างของหลินซานถูกวางไว้กลางห้องโถงตระกูลหลิน หลินขวงและหลินเหยียนรีบพุ่งตรงไปพร้อมกันทันที สั่งคนอื่นให้ออกไปอยู่ข้างนอก จากนั้นเปิดผ้าขาว และแกะชุดนอกของหลินซานออก

เหนืออกนั้น มีข้อความเลือดเขียนไว้อยู่ แม้ตัวอักษรจะบิดเบี้ยว แต่บอกได้ว่านี่คือลายมือของหลินซาน ทว่าข้อความที่เขียนไว้ กลับเหมือนคำกล่าวของหลินเหยียนเมื่อครู่อย่างน่าประหลาด คือถามว่าภักดีแล้วได้อะไรกลับมาบ้าง?

หลินขวงราวกับถูกฟ้าฟาด ทรุดนั่งลงกับพื้นและร้องโหยหวน

.................

.................

ขณะเดียวกัน ณ เมืองเทียนฟง อาณาจักรต้าฟง

“เสด็จพ่อ บริวารพึ่งนำข่าวมาแจ้งแก่บุตร ว่าเย่หวูเฉินที่ถูกบังคับให้โดดลงสู่หุบเหวปลิดวิญญาณกลับยังรอดชีวิตอยู่ สามวันที่แล้ว เขาเดินทางกลับสู่เมืองเทียนหลง เรื่องนี้ได้รับการยืนยันแล้วว่าเป็นความจริง” ฟงหลิงกล่าวอย่างสงบ ทว่าในความสงบนั้น กลับแฝงด้วยความสั่นไหวอย่างไม่อาจปิดบัง เมื่อครู่ที่ผ่านมา ตอนที่เขาทราบข่าวว่าเย่หวูเฉินยังไม่ตาย เขาแทบไม่เชื่อหูตัวเอง สุ้มเสียงที่เย่หวูเฉินกล่าวก่อนกระโดดลงสู่หุบเหวได้สะท้อนดังก้องในหูของเขา “หากว่าข้าเย่หวูเฉินไม่ตายในวันนี้.... ในวันหน้า ข้าจะทำให้ตระกูลฟงของเจ้า.... ต้องย่อยยับไปชั่วนิรันดร์!!” คำสาบานจากหัวใจที่เกรี้ยวกราด แม้เขาจะพอคลายใจที่ได้ยินว่าเย่หวูเฉินกลับมาด้วยสภาพร่างกายพิการ แต่พลังอันน่ากลัวที่เย่หวูเฉินแสดงออกมาในอดีตนั้น ทำให้เขาอดคิดไม่ได้ว่าหากเย่หวูเฉินยังมีสภาพสมบูรณ์ เขาจะนำหายนะร้ายแรงเพียงใดมาสู่ต้าฟง

ฟงเลี่ยกลับไม่แปลกใจขณะกล่าว “ข้ารู้แล้ว วันนี่ที่เรียกเจ้ามา เพราะจะคุยเรื่องงานสมรสใหญ่ของเจ้า ปีนี้เจ้าอายุครบ 23 ปี ในฐานะองค์รัชทายาทกลับยังไม่มีชายาและนางสนม ข้ารู้ดีว่าเจ้าไม่เคยลืมสตรีตระกูลเย่แห่งอาณาจักรเทียนหลง แต่ตอนนี้เริ่มมีคำนินทาไม่ค่อยดีนัก และเรื่องนี้ไม่อาจชักช้าได้อีกแล้ว”

ฟงหลิงสีหน้าสลดลง เขาก้มศีรษะคำนับกล่าว “ทุกสิ่งให้เป็นไปตามบัญชาของเสด็จพ่อ”

“เช่นนั้นหลังจากนี้ห้าวัน ธิดาแห่งขุนพลเยว่ที่เจ้าเคยเห็นจะอายุครบ 18 ปี นางทั้งงดงามและเฉลียวฉลาด การได้ครองคู่กับนาง เยว่หานตงย่อมไม่มีจิตคิดแปรผันในวันหน้า นี่ย่อมเป็นผลดีกับเจ้าในอนาคตยิ่ง”

“บุตรไม่มีสิ่งใดคัดค้าน” ฟงหลิงกล่าวตอบ จากนั้นก้มศีรษะเล็กน้อยและถาม “เสด็จพ่อ บุตรขอถามตามตรง เสด็จพ่อมีใจหมายปองในโลกหล้า สามปีก่อนขณะที่ทุกสิ่งได้เตรียมการพรักพร้อม หากมิใช่เพราะบุตรทำเรื่อง.... แต่ระหว่างสามปีนี้ พวกเรากลับต้องคอยระวังลังเล เพียงส่งทัพแหย่กระตุ้นหรือสอดแนมเท่านั้น ไม่เคยเคลื่อนทัพใหญ่เข้าประจัญ เพราะท่านเคยบอกว่าสำนักจักรพรรดิใต้เข้ามาสอดมือ แต่ตอนนี้ผ่านไปครบสามปีแล้ว เหตุใดเสด็จพ่อถึงยังไม่เคลื่อนทัพอีก?”

เขาย่นหน้าผากมอง หากกลับเห็นฟงเลี่ยมีสีหน้าซีดขาวไร้เลือดราวกระดาษ ทั่วร่างของเขาสั่นเทา เขาหันข้างให้และโบกมือกล่าวอย่างอ่อนแรง “ข้ารู้ว่าเจ้ากังวลใจอยู่ แต่เจ้ารีบร้อนเพราะอยากพิชิตอาณาจักรเทียนหลง หรืออยากพิชิตธิดาตระกูลเย่กันแน่.... เจ้ากลับออกไปซะ เรื่องนี้ ข้ามีแผนของข้าเอง”

[คำเตือนจากจารย์มาร์ : ตอนหน้าอย่าทานสิ่งใดขณะอ่าน]



<<<PREV    .    NEXT>>>