วันอาทิตย์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 289

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 289 ชุมนุมยุทธเวทย์แห่งเทียนเฉิน

“ฮี่ ฮี่ ทำตามใจเจ้าเถอะ หวังว่าเจ้าจะได้รับอะไรจากวันนี้กลับไปบ้าง พวกเราทั้งหมดเกิดมาเพื่อเจ้านาย ฝึกฝนพลังทั้งหมดก็เพื่อเป็นศาสตราวุธทรงพลังให้เจ้านาย และนั่นคือสิ่งที่เจ้ายังขาดอยู่ พอนึกย้อนกลับไป รุ่นปู่ของข้าช่างมีสายตายาวไกล พวกเขาอบรมพวกเราว่าคนรุ่นหน้าจะต้องไม่ทอดทิ้งการฝึกฝน ต่อให้ติดอยู่ใต้หุบเหว ก็ต้องยึดมั่นเป็นสิ่งสำคัญอันดับหนึ่ง ตอนนี้ทุกสิ่งได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าพวกเขากล่าวได้ถูกต้อง ยัยหนู ในเมื่อเจ้าบอกว่าตนเองเป็นสตรีของเจ้านาย เช่นนั้นเจ้าต้องใส่ใจเขาให้มากยิ่งกว่าผู้ใด เมื่ออยู่เคียงข้าง จะต้องปกป้องเจ้านายด้วยสองมือของเจ้า อย่าให้กลายเป็นเขาต้องคอยปกป้อง มิเช่นนั้น เจ้าจะเป็นได้เพียงภาระของเจ้านาย เพราะฉะนั้น วันหน้าเจ้าจะเอาแต่เล่นไปทั่วไม่ได้แล้ว เข้าใจหรือไม่?” เหยียนเทียนเว่ยกล่าวอบรม

ต่อหน้าฉู่จิงเทียนและเล่งหยา เขาไม่คิดปิดบังแม้แต่น้อย นี่คือบุคคลที่เย่หวูเฉินให้ความวางใจ หากเขาไม่เชื่อใจก็เท่ากับไม่ไว้ใจเย่หวูเฉิน ดังนั้น ฉู่จิงเทียนและเล่งหยาจึงได้แต่ฟังอย่างโง่งม

แม้ว่าจะถูกท่านปู่อบรมอย่างเข้มงวด แต่เนื่องจาก ‘เจ้านาย’ เกี่ยวพันกับมือตน นางจึงไม่เถียงคำเหมือนทุกครั้ง และกล่าวรับอย่างเชื่อฟัง “ทราบแล้วท่านปู่.... ว่าแต่ ชุมนุมยุทธเวทย์นี้จะเริ่มขึ้นเมื่อไหร่? มีกฎอะไรบ้าง? เหมือนงานประลองประจำปีของพวกเรารึเปล่า?”

“แน่นอนว่าไม่เหมือน เพราะนี่ไม่ใช่การประลองที่เฟ้นหาผู้ชนะ หากแต่งานชุมนุมยุทธเวทย์มีขึ้นเพื่อเป็นเวทีสำแดงพลัง” เหยียนเทียนเว่ยกล่าว

“สำแดงพลัง?” รุ่นเยาว์หลายคนส่งเสียงถามคำถามเดียวกัน

“ถูกต้อง การประลองครั้งนี้ เจ้าสามารถสำแดงพลังสุดขั้วให้โลกได้ประจักษ์ คนไร้ชื่อจะกลายเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก ยกตัวอย่างเช่นพวกเรา” เหยียนชิงหงกล่าวอย่างจริงจัง

“งานชุมนุมยุทธเวทย์แห่งเทียนเฉินครั้งล่าสุดไม่ได้มีผู้ชนะอันดับหนึ่ง หากแต่ทำให้โลกได้รู้จักกับเทพทั้งสี่ผู้บรรลุพลังขอบเขตเทวะ ทั้งการประลองนี้ยังอิสระไม่มีกฎตายตัว ไม่มีข้อจำกัดใดๆ แม้จะพ่ายแพ้ไปแล้ว ก็ยังสามารถท้าประลองกับคนอื่นต่อได้ เรื่องกติกาก็พื้นๆทั่วไป คือสามารถต่อสู้กันแบบ 1 ต่อ 1 เท่านั้น นอกจากว่าอีกฝ่ายหนึ่งอนุญาตถึงจะสู้กันแบบอื่นได้ อีกทั้งไม่ว่าจะเคยมีความแค้นบาดหมางอันใดต่อกันมา ต่อให้เป็นศัตรูสังหารสามีหรือภรรยา ก็ไม่อนุญาตให้โจมตีแก้แค้นกันที่นี่ ไม่อย่างนั้น จะถูกหมายหัวและลงโทษโดยสำนักจักรพรรดิใต้หรือสำนักจักรพรรดิเหนือ กระบี่ไร้ดวงตา ชีวิตและความตายให้เป็นไปตามที่ฟ้ากำหนด”

“มีคนมาแล้ว” เพียงเหยียนชิงหงกล่าวจบ เหยียนเทียนเว่ยก็มุ่นคิ้วและกล่าวเสียงต่ำ

คนอื่นพยักหน้าตามกัน เหยียนต้วนชางเอ่ยเสียงเบา “ซื่อหยา พวกเราเผยใบหน้าได้ แต่เจ้าไม่ จงปิดบังใบหน้าเอาไว้”

“ทราบแล้ว” เหยียนกงรั่วรับคำ นำผ้าคลุมปิดหน้าตัวเองไว้ เผยออกมาเฉพาะคู่ดวงตากระจ่างงาม

นักบวชตัวอ้วนกลมค่อยๆก้าวเข้ามาปรากฎต่อสายตา ดูมีอายุราวสัก 40-50 ปี เขามีคางที่กว้าง ดวงตาเล็กหยี ในมือถือพัดใบไม้อันใหญ่ที่แตกหักไปกว่าครึ่งใบ เขาสวมใส่อยู่ในชุดนักบวชธรรมดา ยามนี้อยู่ในช่วงฤดูใบไม้ร่วง แม้อากาศเริ่มเย็นลงบ้างแล้ว แต่เสื้อตรงอกเขากลับอ้ากว้าง เมื่อเห็นว่ามีกลุ่มคนมาถึงก่อนหน้าตนเอง เขาก็ยิ้มให้อย่างลึกลับ ดวงตากวาดมองจนมาหยุดอยู่ที่ร่างของเหยียนกงรั่ว จากนั้นไม่เคลื่อนไปไหนอีก ดวงตาเล็กหยีแฝงยิ้มที่ยิ่งมายิ่งแปลกแปร่ง

เหยียนกงรั่วขนลุกไปทั่วร่าง โกรธขึ้งจนกำลังจะด่าใส่ หากกลับถูกหยุดไว้โดยเหยียนกงลั่ว เขากล่าวเสียงต่ำ “คนผู้นี้คือนักบวชต่ำช้าน่าหวาดหวั่น ปรากฎตัวในอาณาจักรคุยชุยเมื่อเกือบสิบปีก่อน มันถูกเรียกว่านักบวชไร้บุปผา แม้จะเป็นนักบวชในศาสนา หากกลับลามกเลวทราม พรากเมียและลูกสาวผู้อื่นเพื่อความสำราญ ในอาณาจักรคุยชุยไม่มีผู้ใดจัดการกับมันได้ คิดไม่ถึงว่ามันจะมาที่นี่จริงๆ”

“.....มันแข็งแกร่งมากนักหรือไง?” เหยียนกงรั่วข่มกลั้นโทสะที่ถูกนักบวชไร้บุปผาใช้สายตาลามเลีย นางขยับไปอยู่ด้านหลังของเหยียนชิวชาเพื่อบังสายตาจากมัน จึงค่อยพอรู้สึกดีขึ้น

“แข็งแกร่งสิ หากไม่แข็งแกร่ง ไหนเลยจะปรากฎกายอยู่ที่นี่ ในอาณาจักรคุยชุยผู้ที่สามารถเอาชนะมันได้มีอยู่ไม่เกินสามคน”  เหยียนกงลั่วกล่าวอย่างเคร่งขรึม

“กล้ามองข้าด้วยสายตาแบบนั้น....ข้าจะต้องควักลูกตามันออกมา!” เหยียนกงรั่วขมวดคิ้ว กล่าวอย่างเกรี้ยวกราด

แม้ว่าระยะทางจะห่างไกลกันมาก แต่สำหรับยอดฝีมือที่แท้จริงล้วนไม่อาจนับเป็นสิ่งใด เสียงของนางได้ยินไปถึงหูของนักบวชไร้บุปผา รอยยิ้มของมันยิ่งแปลกแปร่งขึ้นกว่าเดิม

สำหรับยอดฝีมือที่เก่งกาจเหล่านี้ พวกเขาล้วนมีความภาคภูมิของตนเอง พลังยอดเยี่ยมมักจะเผยออกมาในฉากสุดท้าย ไม่ค่อยมีใครแสดงออกมาพร่ำเพรื่อ เรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่เหยียนเทียนเว่ยคาดการณ์ไว้แล้ว

หลังจากที่นักบวชไร้บุปผามาถึง ผู้คนก็เริ่มทยอยมากันมากขึ้น เพียงไม่นานก็มีไม่ต่ำกว่า 30-40 คน ไม่น่าแปลกใจนัก ที่พวกเขาส่วนใหญ่ใช้สายตามองสำรวจคนอื่นๆอยู่เงียบๆ เว้นแต่พวกที่มาด้วยกันหรือคุ้นเคย นอกนั้นไม่มีการทักทายใดๆต่อกัน หากสายตามากมายล้วนจับจ้องอยู่ที่กลุ่มของเหยียนเทียนเว่ย ผู้ที่สามารถมายังที่แห่งนี้ นอกจากคนที่ต้องการสัมผัสพลังของยอดฝีมือ คนอื่นที่มาล้วนแต่เป็นผู้กล้ามีชื่อเสียง และในกลุ่มของเหยียนเทียนเว่ย ไม่มีใครเป็นที่รู้จักเลยสักคน ยิ่งกว่านั้น พวกนี้ยังมีหนุ่มสาวอายุราว 20 ถึงสี่คน

นอกจากพวกเขาทั้งสี่คนแล้ว ผู้อื่นที่มาล้วนมีอายุไม่ต่ำกว่า 30 ปี

บุรุษผู้หนึ่งใบหน้าซีดขาวราวกับผีปรากฎอยู่ข้างฉู่จิงเทียน มันมองพวกเขาด้วยสีหน้าว่างเปล่าและกล่าว “หนุ่มสาว นี่ไม่ใช่สถานที่ที่พวกเจ้าสมควรมา ในตอนแรก เคยมีพวกมั่นใจในตัวเองมาที่นี่ทุกปี แต่คนหนุ่มสาวเหล่านั้นหากไม่ตายก็ล้วนบาดเจ็บ หลังจากนั้นจึงไม่มีใครกล้ามาที่นี่อีก พวกเจ้าจะให้ดีก็ควรรออีก 25 ปีแล้วค่อยมาใหม่ หรือไม่ก็รออีก 50 ปีข้างหน้า”

“อายุ ไม่ได้หมายถึงทุกสิ่ง” เหยียนต้วนชางกล่าวราบเรียบ

“แต่อย่างน้อยก็บ่งบอกถึงประสบการณ์และพลังที่สั่งสม ข้าไม่อยากก้าวก่ายอะไร แต่คนหนุ่มสาวเหล่านี้ล้วนน่าอัศจรรย์ พวกเขาย่อมมีอนาคตที่ยิ่งใหญ่ในวันหน้า ข้าไม่อยากเห็นพวกเขาถูกทำลายลงแต่เนิ่น พวกเขาอาจมีพลังคุ้มร่างตนเอง แต่หากเข้าต่อสู้กับยอดฝีมือ.... ในบรรดาคนเหล่านี้ มีทั้งคนดีและคนชั่ว บางคนก็ชอบทำลายสุดยอดพรสวรรค์รุ่นเยาว์ ยังไงก็จงระวังไว้” บุรุษผู้นั้นลดเสียงลงและก้าวออกไปโดยไม่สนใจผู้ใด

“เฮ้! เจ้ากำลังดูถูกพวกเราอยู่ ข้าจะบอกให้....”

“ยัยหนู ไม่จำเป็นต้องพูด คนผู้นั้นมีเจตนาดี เหล่าคนที่มารวมตัวกันอยู่ที่นี่ แม้ว่ายอดฝีมือสูงสุดในทวีปไม่ได้มากันทุกคน แต่ก็เรียกได้ว่ามาเกือบครบ ที่เขากล่าวนั้นไม่ผิดเลย เจ้าสมควรระวังตัวไว้” เหยียนชิงหงกล่าวขัดจังหวะเหยียนกงรั่ว จากนั้นมองอย่างมีความหมายที่ฉู่จิงเทียนและเล่งหยา วันนี้นอกจากเย่หวูเฉินต้องการให้พวกเขาสำแดงพลัง เขายังรอชมพลังของสองคนนี้ เย่หวูเฉินยังกล่าวย้ำไว้ด้วยว่า ในงานชุมนุมยุทธเวทย์แห่งเทียนเฉิน ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ห้ามช่วยสองคนนี้ ต่อให้พวกเขากำลังตกอยู่ในอันตรายถึงชีวิต

ผู้คนมากมายปรากฎตัวคนแล้วคนเล่า มีทั้งบุรุษและสตรี บางคนก็ยืนนิ่ง บางคนก็นอนบนพื้นอย่างเกียจคร้าน บางคนก็เชิดหน้าสายตาเย็นชา จำนวนคนที่มาเริ่มใกล้จะถึงหลักร้อย แต่ละคนแผ่กลิ่นอายเบาบาง หากไม่ว่าผู้ล้วนแต่น่าหวาดหวั่น ไม่อาจจินตนาการได้เลยว่า หากทุกคนปลดปล่อยพลังออกมาพร้อมกัน มันจะน่าตกใจเพียงใด

ที่ราบบนยอดผาดาวตกอันกว้างขวาง ยามนี้มีผู้คนทุกประเภทยืนอยู่ เสียงสนทนาเริ่มดังขึ้นอย่างชัดเจน เหยียนชิงหงและเหยียนเทียนเว่ยยังคงเงียบอยู่ คอยมองทุกคนที่เข้ามาใหม่ หลังจากที่เงียบอยู่นาน ทันใดนั้น เหยียนเทียนเว่ยก็ตวัดมองด้วยประกายส่องวาบในดวงตา

ในขณะเดียวกัน มีคนชราอายุมากกว่า 60 ปีจำนวนสี่คนค่อยๆก้าวเข้ามา พวกเขามาถึงพร้อมกับความรู้สึกแผดเผาแปลกประหลาด มันครอบคลุมทั่วพื้นที่บริเวณบนผา ทุกสายตามองไปที่คนชราทั้งสี่แทบจะในเวลาเดียวกัน เนื่องจากกลิ่นอายนี้ เห็นได้ชัดว่าเป็นวิชาเพลิงวิญญาณของสำนักจักรพรรดิเหนือ นั่นหมายถึงว่าคนชราทั้งสี่เป็นคนของสำนักจักรพรรดิเหนือ เป็นผู้กำกับงานชุมนุมยุทธเวทย์แห่งเทียนเฉินในครั้งนี้ ต่อให้มีคนแข็งแกร่งดุจเดียวกับเทพกระบี่ มันก็ไม่กล้ายั่วยุสำนักจักรพรรดิใต้และสำนักจักรพรรดิเหนือ วิชาเพลิงวิญญาณแห่งสำนักจักรพรรดิเหนือ และวิชาหยกวารีแห่งสำนักจักรพรรดิใต้ ล้วนแต่มีลักษณะที่เป็นแบบเฉพาะ ผู้ฝึกยุทธแทบทุกคนในทวีปเทียนเฉินล้วนรู้จักลักษณะของมัน จึงยากนักที่จะระบุผิดพลาดได้

นานกว่า 20 ปีก่อน สำนักจักรพรรดิใต้และสำนักจักรพรรดิเหนือรบกันอย่างติดพัน เวลานั้นด้วยการสอดมือของราชตระกูลเทียนหลง ทำให้สำนักจักรพรรดิเหนือพ่ายแพ้ในที่สุด หลังจากนั้นพวกเขาหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ตลอด 20 ปีไร้ข่าวคราวเลยแม้แต่น้อย ทว่า ผู้ที่มีสายตาเฉียบแหลมย่อมไม่คิดว่าสำนักจักรพรรดิเหนือจะหวาดกลัวต่อสำนักจักรพรรดิใต้ กลับกันพวกเขาได้กลิ่นที่ผิดปกติ วันนี้คนของสำนักจักรพรรดิเหนือกลับมาปรากฎตัว ผู้คนล้วนแต่ไม่แปลกใจ หากยังส่งสายตามองพวกเขาอย่างระมัดระวัง

ด้านหลังของคนชราทั้งสี่ ตามมาด้วยบุรุษหนุ่มผู้หนึ่ง ใบหน้าแย้มยิ้มอายุราว 25 ปี แต่งกายเรียบง่ายหากไม่อาจปกปิดอารมณ์ที่สูงส่งเหนือใคร ไม่ว่าผู้ใดเพียงมองปราดเดียวก็บอกได้ว่าคนผู้นี้ไม่ธรรมดา ทุกคนจดจำบุรุษหนุ่มนี้ไว้ในใจมั่น สายตาที่พวกเขามองนั้น ต่างจากตอนที่มองเล่งหยากับฉู่จิงเทียนอย่างสิ้นเชิง เพียงเพราะคนผู้นั้นมาจากสำนักจักรพรรดิเหนือ

“เฮอะ จอมราชันคาดไว้ไม่ผิด.... คนผู้นั้นคือนายน้อยของพวกมันเหยียนซีหมิง ซานหวา เจ้ามั่นใจแค่ไหน?” เหยียนเทียนเว่ยยกขยับมุมปากเล็กน้อย กล่าวน้ำเสียงบางเบาที่ข้างหูของเหยียนกงลั่ว

เหยียนกงลั่วกำหมัด สีหน้าสงบ ถึงแม้เขาไม่ได้เปิดปากก็บ่งบอกอารมณ์ของตนอย่างชัดเจน ข้าคือนายน้อยสำนักจักรพรรดิเหนือที่แท้จริง! ไหนเลยจะพ่ายแพ้แก่มันได้!

“ด้วยความช่วยเหลือของจอมราชัน จะไม่มีใครรู้ว่าพวกเราใช้วิชาเพลิงวิญญาณเช่นเดียวกับพวกมัน เมื่อเวลามาถึง เจ้าจงใช้ออกให้เต็มที่ ไม่จำเป็นต้องยั้งมือ คนผู้นั้น....คือด่านทดสอบแรกของเจ้า โลหิตบริสุทธิ์แห่งจักรพรรดิเหนือที่ไหลเวียน รวมทั้งการฝึกฝนทรมานตนมาจนถึงบัดนี้ หาก ‘ลูกผสม’ นั่นเจ้ายังไม่อาจเอาชนะได้ เช่นนั้นจะเอาหน้าที่ไหนไปติดตามเจ้านาย!” เหยียนเทียนเว่ยกล่าวอย่างดุดัน

เหยียนกงลั่วพยักหน้าหนัก สายตาตวัดมองที่เหยียนซีหมิง จากนั้นชักสายตากลับมา เหยียนซีหมิงคล้ายไม่รู้ตัว แม้สายตาจะเหลือบมาด้านข้าง หากแต่ไม่พบสิ่งใด



<<<PREV    .    NEXT>>>